บนภูเขาพีอวิ๋น
เหมาเสี่ยวตงเปิดปากพูดคุยกับทางสำนักศึกษาหลินลู่ เหล่าอาจารย์ที่มีชาติกำเนิดจากต้าสุยถึงได้พบกับองค์ชายเกาเซวียนที่มาขอศึกษาต่อที่นี่
ไม่อย่างนั้นก็คงไม่มีใครกล้าเปิดปากพูดเรื่องนี้ ไม่ใช่พวกเขากลัวว่าจะหาหายนะมาสู่ตัว ผู้ที่กลายมาเป็นอาจารย์สอนหนังสือในสำนักศึกษาซานหยาได้จะไม่มีความกล้าหาญและปณิธานแห่งบัณฑิตบ้างเลยหรือ? พวกเขากังวลว่าตัวเองจะสร้างความเดือดร้อนให้เกาเซวียนที่มาอยู่ต่างบ้านต่างเมืองต่างหาก นั่นคือลูกหลานเกอหยางต้าสุยที่เสนอตัวมาเป็นตัวประกันที่นี่แทนพี่ชายเชียวนะ!
หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้พบกันแล้ว เหมาเสี่ยวตงถึงได้จากไป
บรรพบุรุษสกุลเกาเกอหยางที่เป็นขอบเขตสิบเอ็ดผู้นั้นไม่ได้ปรากฏตัว
เกาเซวียนมองอาจารย์ผู้เฒ่าแต่ละคนที่มีความรู้สูงสุดของต้าสุยประสานมือโค้งคำนับตนเสร็จแล้ว แต่ละคนพอเงยหน้าขึ้นมาล้วนมีน้ำตาไหลอาบหน้า คนหนุ่มที่เดิมทีไม่รู้สึกว่าการมาอยู่ที่นี่จะเป็นความอยุติธรรมที่ใหญ่เทียมฟ้าอะไรก็เริ่มน้ำตารื้นเช่นกัน
เกาเซวียนมองบัณฑิตต้าสุยที่เส้นผมสีขาวโพลนเหล่านั้นแล้วก็ใช้สถานะลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อรุ่นหลังประสานมือโค้งคำนับพวกเขากลับคืนอย่างนอบน้อม
เหล่าอาจารย์แต่ละคนจัดอาภรณ์ให้เป็นระเบียบเรียบร้อย นั่งตัวตรงอย่างเคร่งขรึมรับการคารวะครั้งนี้
ที่จุดชมทัศนียภาพที่ถูกตั้งชื่อให้ว่า ‘ศาลาไพศาล’ ของสำนักศึกษาหลินลู่ บัดนี้บรรพจารย์สกุลเกาเกอหยางที่มาอยู่ต้าหลีพร้อมกับเกาเซวียนก็ได้ปรากฏตัวอยู่เคียงข้างเหมาเสี่ยวตงและเจียวเฒ่าเฉิงสุ่ยตง
บรรพบุรุษสกุลเกาพูดคุยแค่ไม่กี่ประโยคก็จากไป
เขาไม่ได้รับหน้าที่เป็นรองเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษา แต่ปิดบังชื่อแซ่ไปเป็นอาจารย์สอนหนังสือทั่วไปเท่านั้น ลูกศิษย์ในสำนักศึกษาล้วนชอบฟังวิชาที่เขาสอน เพราะผู้เฒ่าจะเล่าเรื่องที่อยู่นอกเหนือจากตำราและความรู้ เป็นเรื่องที่ไม่เคยได้เห็นและไม่เคยได้ยินมาก่อน ยกตัวอย่างเช่นความลี้ลับมหัศจรรย์ของสำนักประพันธ์และพื้นที่มงคลกระดาษขาว เพียงแต่ว่าอาจารย์ของต้าหลีที่อยู่ในสำนักศึกษาหลินลู่กลับไม่ค่อยชอบอาจารย์ผู้เฒ่าเกาที่ ‘ไม่ทำการทำงาน’ ผู้นี้เท่าไหร่นัก ด้วยรู้สึกว่าการถ่ายทอดความรู้ให้แก่ลูกศิษย์ของเขาไม่เข้มงวดมากพอ เลื่อนลอยและขอไปทีมากเกินไป ทว่าเหล่ารองเจ้าขุนเขาทั้งหลายยังไม่เคยเอ่ยอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ อาจารย์สอนหนังสือของต้าหลีที่อยู่ในสำนักศึกษาหลินลู่จึงได้แต่เลิกคิดเล็กคิดน้อย
ในศาลาไพศาลเหลืออยู่แค่รองเจ้าขุนเขาสองท่านที่มาจากสำนักศึกษาต่างกัน เฉิงสุ่ยตงมองดูคล้ายกำลังพูดคุยเรื่องในวันวานกับเหมาเสี่ยวตงด้วยถ้อยคำที่ไร้ความยำเกรง
เจียวเฒ่าเล่าเรื่องมากมายของสำนักศึกษาให้เหมาเสี่ยวตงฟัง แล้วก็พูดถึงเฉินผิงอันของภูเขาลั่วพั่ว หนึ่งในนั้นคือพูดเรื่องเล็กๆ เรื่องหนึ่งที่เฉินผิงอันมาขอร้องให้ชายหญิงต่างถิ่นคู่หนึ่งมาพักอยู่ในสำนักศึกษา ไม่ได้ฝากให้เว่ยป้อนำความมาบอกแก่สำนัก แต่มาเยือนด้วยตัวเอง ขอร้องให้เขาที่เป็นรองเจ้าขุนเขาช่วยเหลือ
เหมาเสี่ยวตงพูดหน้าเคร่ง “ในที่สุดก็พอจะเข้าใจหลักการการอยู่ร่วมโลกกับคนอื่นบ้างแล้ว”
เจียวเฒ่าหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง
บนยอดเขาของภูเขาพีอวิ๋น หนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีทอดสายตามองไปไกล ชื่นชมทัศนียภาพของกลุ่มขุนเขาอยู่ด้วยกัน
พวกเขาก็คือหลิ่วชิงซานแห่งสวนสิงโตและนักพรตหญิงเรือนเตาซือหลิ่วป๋อฉี
หลิ่วชิงซานเอ่ย “ไปถึงเมืองหลวงต้าหลีและมหาสมุทรใหญ่ทางเหนือสุดของแจกันสมบัติทวีปแล้ว พวกเราก็กลับกันเถอะนะ? พวกเรากลับไปพบท่านพ่อ กลับไปพบพี่ใหญ่ของข้าด้วยกัน”
หลิ่วป๋อฉีพยักหน้ารับเบาๆ ใบหน้าของนางแดงก่ำเล็กน้อย
ตามคำสัญญาแรกเริ่มสุด วันที่เดินทางกลับไปถึงบ้านเกิด ก็คือวันที่พวกเขาสองคนจะแต่งงานกัน
ในสายตาของนาง บัณฑิตหลิ่วชิงซานก็คือภูเขาเขียวลูกหนึ่งที่มีต้นไม้เขียวชอุ่มตลอดทั้งสี่ฤดูกาล ภูเขาเขียวที่มีชีวิตชีวากว้างใหญ่ไพศาล น้ำวสันตฤดูกระเพื่อมเป็นริ้วคลื่น
เขามีความรู้ความสามารถ เขาเป็นห่วงบ้านเมืองเป็นห่วงปวงประชา เขาปฏิบัติต่อคนอื่นด้วยความจริงใจ เขาคือปัญญาชนผู้งามสง่า…ไม่มีข้อบกพร่องแม้แต่น้อย
แต่ตนกลับเป็นผู้ฝึกตนที่หน้าตาธรรมดา รู้จักแต่การรบราเข่นฆ่า พูดจาไม่สุภาพอ่อนหวาน ดื่มชาเหมือนดื่มสุรา ไม่เป็นพิณ หมากล้อม พู่กันหรือวาดภาพ ไม่มีความอ่อนโยนแม้แต่น้อย ดูเหมือนว่านางจะมีแต่ข้อบกพร่อง
อันที่จริงตลอดทางที่เดินทางท่องเที่ยวร่วมกันมานี้ นางเป็นกังวลตลอดเวลาว่าการจากลาในอนาคตที่จะเกิดขึ้น จะไม่ใช่วันที่หลิ่วชิงซานซึ่งเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาแก่ตายไป
แต่เป็นวันใดวันหนึ่งที่จู่ๆ หลิ่วชิงซานก็เบื่อหน่ายนาง รู้สึกว่าแท้จริงแล้วนางไม่มีค่าพอให้เขาชอบไปตลอดจนกระทั่งเส้นผมขาวโพลน
หลิ่วป๋อฉีกลัดกลุ้มเป็นกังวลอย่างถึงที่สุด
จนกระทั่งมาถึงภูเขาลั่วพั่วแล้วประโยคนั้นของอาจารย์ผู้เฒ่าจูช่วยคลายปมในใจของนาง
‘ข้าเห็นภูเขาเขียวช่างงดงาม คาดว่าภูเขาเขียวคงมองข้าเช่นนี้ดุจเดียวกัน’ (ภูเขาเขียวภาษาจีนคือชิงซาน ตรงกับชื่อของหลิ่วชิงซาน)
ข้าหลิ่วป๋อฉีมองหลิ่วชิงซานอย่างไร ชื่นชอบหลิ่วชิงซานมากแค่ไหน หลิ่วชิงซานก็จะมองข้าเช่นนั้น แล้วก็จะชอบข้ามากเท่านั้น
แต่หลิ่วป๋อฉีก็ยังอยากจะถามให้แน่ใจอีกสักครั้ง นางจึงปลุกความกล้าของตัวเอง แต่พอถึงเวลาเข้าจริงๆ ก็ยังอดตื่นเต้นมากไม่ได้ นางกำด้ามดาบเทพเจ้าจิ้งดาบพกที่ห้อยไว้ตรงเอวแน่น หันหน้ามาถาม “ชิงซาน ข้าอยากถามเจ้าเรื่องหนึ่ง เจ้าห้ามรู้สึกว่าข้าโง่ ยิ่งห้ามหัวเราะเยาะข้า…”
เพียงแต่ไม่รอให้หลิ่วป๋อฉีเอ่ยต่อ หลิ่วชิงซานก็กุมมือข้างที่กุมดาบของนางเอาไว้ด้วยสองมือ ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “รู้หรือไม่ว่าในสายตาของข้า เจ้างดงามแค่ไหน เป็นความงดงามที่แม้แต่ตัวเจ้าเองก็จินตนาการไม่ถึง”
หลิ่วป๋อฉีก้มหน้าลงน้อยๆ แพขนตาขยับไหวเบาๆ
หลิ่วชิงซานเอ่ยเสียงเบา “ต้องโทษข้า ข้าควรบอกเจ้าให้เร็วกว่านี้ หากไม่เป็นเพราะอาจารย์ผู้เฒ่าจูเอ่ยเตือน ปลุกให้คนสะดุ้งตื่นจากความฝัน ข้าอาจจะบอกเจ้าช้ากว่านี้ อาจจะต้องรอให้กลับไปถึงสวนสิงโตเสียก่อน ถึงจะบอกความในใจให้เจ้าฟัง”
หลิ่วป๋อฉีเงยหน้า เมื่อปมในใจถูกคลายออก สายตาของนางก็ไม่เหลือความเขินอายอีกต่อไป มีเพียงริ้วแดงบางๆ ที่ยังคงค้างอยู่บนใบหน้าที่แสดงให้รู้ถึงคลื่นกระเพื่อมในหัวใจของนางก่อนหน้านี้
หลิ่วป๋อฉีเอ่ยเบาๆ “ท่านอาจารย์ผู้เฒ่าจูต้องตกต่ำกลายมาเป็นคนเฝ้าบ้านให้เฉินผิงอัน ช่างน่าเสียดายจริงๆ”
หลิ่วชิงซานหลุดหัวเราะพรืด
นึกอยากจะช่วยพูดแทนเฉินผิงอันสักสองสามประโยค เพียงแต่อยู่ดีๆ ก็นึกถึงคำสั่งสอนของอาจารย์ผู้เฒ่าจูขึ้นมาได้
แค่ไม่ยอมถอยให้ในเรื่องที่เป็นความผิดมหันต์ก็พอแล้ว ในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ จะยังต้องเอาหลักเหตุผลมาแย้งกับสตรีที่รักไปไย? เจ้าแต่งภรรยาเข้าบ้าน หรือคิดจะเป็นอาจารย์ที่รับลูกศิษย์เข้าสำนักกันแน่
หลิ่วชิงซานพลันรู้สึกว่าอาจารย์ผู้เฒ่าจูผู้นั้นสมกับเป็นเขาสูงตั้งตระหง่าน ทุกคำพูดล้วนมีค่าดุจหยกดุจทองคำอย่างแท้จริง ครั้งนี้ก่อนจะออกไปจากเขตการปกครองหลงเฉวียนจะต้องไปขอความรู้จากอาจารย์ผู้เฒ่าอีกครั้งให้จงได้
……
ร้านยาตระกูลหยาง เด็กหนุ่มที่เป็นทั้งลูกจ้างร้านและเป็นลูกศิษย์ของหยางเหล่าโถวรู้สึกเพียงว่าไม่รู้จะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไรแล้ว ร้านยาฮวงจุ้ยไม่ดีเอาเสียเลย มีความแค้นกับเงินโดยแท้
จะปล่อยให้กิจการซบเซาแบบนี้ต่อไปก็ไม่ใช่เรื่องกระมัง เด็กหนุ่มที่มีชื่อว่าสือหลิงซานรู้สึกว่าจะดีจะชั่วก็รับอีกฝ่ายเป็นอาจารย์แล้ว ถึงอย่างไรก็ควรจะทำเรื่องที่กตัญญูต่ออาจารย์บ้าง ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจโดยพลการ วิ่งไปถามท่านอาที่ทำงานอยู่ในที่ว่าการผู้ตรวจการงานเตาเผาว่าจะช่วยหาลูกค้ามาเข้าร้านได้บ้างหรือไม่ ผลกลับถูกท่านอาด่าเสียยกใหญ่ บอกว่าตอนนี้ชื่อเสียงของร้านยาและตระกูลหยางฉาวโฉ่ไปทั่วหัวถนน ใครจะกล้าไปซื้อยาที่นั่น
เด็กหนุ่มกลับมาที่ร้านอย่างห่อเหี่ยว ผลกลับเห็นศิษย์พี่เจิ้งต้าเฟิงนั่งแทะถังหูลู่อยู่ตรงหน้าประตูใหญ่ด้วยท่าทางที่ชวนสะอิดสะเอียนยิ่งนัก หากเป็นเวลาปกติ สือหลิงซานก็คงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น แต่ตอนนี้ศิษย์พี่หญิงกำลังคุยกับเจิ้งต้าเฟิงอยู่ โทสะของเขาจึงพุ่งขึ้นมาสามจั้ง นั่งแปะลงไปบนขั้นบันไดระหว่างม้านั่งตัวเล็กสองตัว เจิ้งต้าเฟิงยิ้มตาหยีกล่าวว่า “หลิงซาน ไปเหยียบขี้หมามาจากตรอกเถาเย่หรือ? ศิษย์พี่ว่าสีหน้าเจ้าดูไม่ค่อยดีเลยนะ”
สือหลิงซานกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ไม่ใช่เรื่องของท่าน กลับไปเฝ้าประตูภูเขาลั่วพั่วของท่านเถอะ”
เจิ้งต้าเฟิงวางมาดเป็นศิษย์พี่ผู้มีเมตตา ลูบศีรษะของเด็กหนุ่มแล้วจับเขย่า จึงถูกเด็กหนุ่มสะบัดมือตบทิ้ง เจิ้งต้าเฟิงอมถังหูลู่ไว้ลูกหนึ่ง จึงพูดเสียงอู้อี้ได้ยินไม่ชัด “ตอนนี้ศิษย์พี่รวยแล้ว ที่ภูเขาลั่วพั่วยังมีเรือนอยู่อีกหลังหนึ่ง เมื่อเทียบกับกระท่อมดินเหนียวที่หน้าประตูตะวันออกนั่นก็ใหญ่กว่ากันตั้งเยอะ เจ้าจะไปเป็นแขกเมื่อไหร่ล่ะ?”
สือหลิงซานกล่าว “ไปเป็นแขกอะไรกัน การค้าของที่ร้านจะยังทำอยู่ไหมเล่า”
เจิ้งต้าเฟิงพูดอย่างเสียดาย “น่าเสียดายจริงๆ บ้านใหม่มีอยู่สองห้อง เตียงใหญ่มากเป็นพิเศษ แล้วก็แข็งแรงแน่นหนานัก ไม่ว่าจะนอนกลิ้งอย่างไรก็ไม่ส่งเสียงดังสักแอะ เดิมทีคิดจะเชิญให้เจ้ากับแม่หนูซูไปนอนค้างสักคืน บ้านใหม่นี่นะ อย่างไรก็ต้องหากลิ่นอายของคนเข้าไปเพิ่มเติมสักหน่อย กินข้าวด้วยกันสักมื้อ จิบเหล้าพลางๆ ไปด้วย เฮ้อ หากรังเกียจที่ระยะทางไกลไปก็ช่างเถิด แต่แม่หนูซูรับปากแล้ว ก็ดีเหมือนกัน สองคน นอนกันคนละห้อง ไม่ต้องเบียดอยู่บนเตียงเดียวกัน”
สือหลิงซานอ้าปากค้าง เสียใจภายหลังอย่างถึงที่สุด
สตรีที่ถูกเจิ้งต้าเฟิงเรียกว่าแม่หนูซูผู้นั้นไม่เอ่ยอะไรสักคำ ต่อให้ก่อนหน้านี้เจิ้งต้าเฟิงจะไม่ได้พูดเรื่องนี้กับนางเลยแม้แต่น้อย นางก็ไม่กล้าเถียงอะไร
เมื่อครู่นี้สอบถามข้อสงสัยในการเรียนวรยุทธจากศิษย์พี่เจิ้ง แม้ว่าวิถีวรยุทธของศิษย์พี่เจิ้งจะพังลงไปแล้ว แต่ความรู้ยังคงอยู่ นางจึงไม่มีใจคิดดูแคลนเขาแม้แต่น้อย
เมื่อเทียบกับเด็กหนุ่มตรอกเถาเย่ที่ยังไม่ได้เริ่มฝึกตนอย่างจริงจัง นางรับรู้เรื่องวงในและความลับมากมายได้เร็วกว่าเขา วิสัยทัศน์จึงเปิดกว้าง ต่อให้ฟ้าดินเกิดเปลี่ยนแปลงไป นางก็ยังไม่ให้ความสนใจกิจการของร้านยาแห่งหนึ่งที่ไม่ต่างจากแมลงวันเจาะเข้าโพรงโน้นแทรกซอนเข้าโพรงนี้ (เปรียบเปรยถึงการแสวงหาผลประโยชน์โดยไม่เลือกวิธีการเพื่อให้ตัวเองอยู่รอด) อยู่ดี
เมื่อครู่นี้นางกำลังจะสอบถามศิษย์พี่เจิ้งถึงเรื่องประหลาดมองไม่เห็นก่อนหน้านี้ที่จิตของนางสัมผัสได้เล็กน้อย แต่กลับถูกสือหลิงซานมาขัดจังหวะเข้าเสียก่อน
เจิ้งต้าเฟิงกล่าว “สือหลิงซาน มัวนั่งบื้ออยู่ทำไม ไปเอาของกินมาแสดงความกตัญญูต่อศิษย์พี่ของเจ้าเข้าสิ”
สือหลิงซานนั่งอยู่ตรงกลางระหว่างศิษย์พี่ชายและศิษย์พี่หญิง ก้นติดพื้นไม่ขยับ
กลับเป็นสตรีที่ลุกขึ้นไปหยิบอาหารในร้าน
เจิ้งต้าเฟิงฟาดฝ่ามือออกไป “โง่เง่าจริงๆ เจ้ารอเป็นชายโสดขึ้นคานได้เลย”
สือหลิงซานลุกขึ้นยืน พูดอย่างขุ่นเคือง “ระวังข้าจะซัดท่านกลับนะ”
เจิ้งต้าเฟิงนวดคลึงปลายคาง “แม่หนูซูหน้าตางดงามถึงเพียงนี้ วันหน้าต้องมีบุรุษมากมายคิดอยากแย่งชิงกันแต่งเข้าบ้านแน่นอน เฮ้อ ไม่รู้ว่าในอนาคตจะเป็นเจ้าตะพาบตัวไหนที่โชคดีได้วาสนานี้ไปครอง ประมือกับแม่หนูซูยามค่ำคืน ข้าที่เป็นศิษย์พี่ พอคิดถึงว่าไม่ช้าก็เร็ววันนั้นต้องมาถึงก็รู้สึกเหนื่อยใจจริงๆ ยังดีที่แม่หนูซูเชื่อฟังคำบอกของศิษย์พี่อย่างข้าตลอดมา คิดดูแล้วต่อให้วันหน้าตาถั่วเลือกคนไม่ดีมาก็ยังต้องให้ผ่านด่านศิษย์พี่อย่างข้าไปก่อน คงต้องให้ข้าช่วยนางตัดสินใจแน่ๆ …”
สือหลิงซานที่สับสนมึนงงเริ่มรู้สึกเลอะเลือน ราวกับว่าถูกศิษย์พี่คนนี้เอาดินเหลืองมาป้ายหน้าอย่างไรอย่างนั้น
สือหลิงซานหันหน้ากลับไปมองในร้าน ศิษย์พี่หญิงยืนอยู่ตรงโต๊ะคิดเงิน กำลังเขย่งเท้าเอื้อมไปหยิบของในชั้นวางยาสมุนไพร ในร้านมีสมุนไพรบางอย่างที่สามารถกินได้โดยตรงเลย
พอศิษย์พี่หญิงเขย่งเท้า เอวยืดขึ้น เรือนร่างก็ยิ่งอรชรเข้าไปอีก
สือหลิงซานหันหน้ากลับมาโดยเร็ว นั่งแปะกลับไปที่ขั้นบันไดอีกครั้ง
ชื่อจริงของศิษย์พี่หญิงคือซูเตี้ยน ชื่อเล่นคือแยนจือ ว่ากันว่าในอดีตความฝันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของศิษย์พี่หญิงก็คือเปิดร้านเล็กๆ ขายเครื่องประทินโฉมแห่งหนึ่ง ชื่อของนางได้ท่านอาเป็นคนตั้งให้ ชื่อเล่นก็เป็นท่านอานางที่เรียก เป็นชื่อที่ตั้งอย่างไม่เอาใจใส่เสียเลย
และเวลานี้เองก็มีเด็กหนุ่มสะพายห่อสัมภาระคนหนึ่งวิ่งมาจากทางฝั่งของเมืองเล็ก
เจิ้งต้าเฟิงลูบหน้าตัวเอง จบกัน ต้องมาเจอกับเจ้าลูกกระต่ายที่ใจจืดใจดำมาตั้งแต่เด็กผู้นี้อีกแล้ว ย้อนนึกถึงในอดีต กี่ครั้งกันที่เจ้าเด็กนี่ทำให้เขาต้องถูกพี่สะใภ้ว่าร้ายใส่ความอย่างอยุติธรรม?
หลี่ไหววิ่งมาถึงหน้าประตูร้านก็ยิ้มหน้าเป็นเอ่ยว่า “โอ้โหแหะ นี่ไม่ใช่ต้าเฟิงหรอกหรือ มานั่งอาบแดดหรือไร เมียเจ้าล่ะ บอกพวกอาซ้อว่าอย่ามัวไปแอบอยู่เลย รีบออกมาพบข้าเถอะ ข้าได้ยินมาว่าเจ้าแต่งเมียได้ตั้งเจ็ดแปดคน ได้ดิบได้ดีนักล่ะ!”
พูดเรื่องไหนไม่พูด ดันพูดเรื่องแทงใจดำกันเสียนี่
เจิ้งต้าเฟิงกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ไสหัวไปไกลๆ เลย!”
หลี่ไหวหัวเราะร่าพลางวิ่งเข้าไปในร้านยา เขาวิ่งตรงไปที่เรือนด้านหลัง ปากก็ตะโกนไปด้วยว่า “ตาเฒ่าหยาง ตาเฒ่าหยาง เจ้าเดาดูสิว่าข้าเอาอะไรมา?!”
หยางเหล่าโถวที่นั่งอยู่ในเรือนด้านหลังเงยหน้าขึ้นมองหลี่ไหว
หลี่ไหวปลดห่อสัมภาระนั่นลงจากหลัง แล้วก็วิ่งฉิวเข้าไปในห้องหลักที่ทั้งเจิ้งต้าเฟิง ซูเตี้ยนและสือหลิงซานต่างก็มองเป็นพื้นที่ต้องห้ามโดยตรง จากนั้นก็โยนห่อสัมภาระลงบนเตียงของหยางเหล่าโถวอย่างไม่ใส่ใจ แล้วถึงได้ออกจากห้อง วิ่งมาหยุดอยู่ข้างกายหยางเหล่าโถว หยิบโถใบหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ “ยาสูบชั้นเยี่ยมที่ซื้อมาจากร้านร้อยปีของเมืองหลวงต้าสุย! หนึ่งตำลึงต้องจ่ายถึงแปดเฉียนเชียวนะ ยอมหรือไม่?! ต้องถามว่าเจ้ากลัวหรือไม่ดีกว่า วันหน้าเวลาสูบยาจะต้องคิดถึงความดีของข้า พ่อข้า แม่ข้า พี่สาวข้าก็ห้ามลืมเด็ดขาดเชียว!”
เด็กหนุ่มยื่นโถยาสูบใบนั้นส่งไปให้ เขาชูมือสองข้างขึ้น ยื่นนิ้วออกมาแปดนิ้วแล้วแกว่งส่ายให้ดู
เจิ้งต้าเฟิงยกม้านั่งมานั่งในเรือนด้านหลัง รอชมงิ้ว
สือหลิงซานก็ตามมาด้วย สงสัยใคร่รู้ยิ่งนักว่าเจ้าเด็กนี่โผล่มาจากไหน เหตุใดถึงไม่รู้จักเด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่ หากกับแค่เจิ้งต้าเฟิงก็ช่างเถิด แต่นี่แม้แต่กับอาจารย์ของตนก็ยังไร้ความเคารพยำเกรงด้วย
ซูเตี้ยนลังเลเล็กน้อย ก่อนจะมายืนอยู่ตรงผ้าม่านไม้ไผ่เช่นกัน
—–