กระบี่จงมา Sword of Coming – บทที่ 473.1 เรื่องเล็กๆ เกี่ยวกับฝักกระบี่ไม้ไผ่

บทที่ 473.1 เรื่องเล็กๆ เกี่ยวกับฝักกระบี่ไม้ไผ่

เฉินผิงอันมาถึงหน้าประตูใหญ่แล้วก็ปลดงอบลง

ผู้อาวุโสซ่งยังคงสวมชุดยาวสีดำอยู่เหมือนเดิม เพียงแต่ตอนนี้ไม่ได้พกกระบี่อีกต่อไปแล้ว อีกทั้งยังแก่ขึ้นเยอะมาก

อริยะกระบี่แห่งแคว้นซูสุ่ยท่านนี้มีสีหน้าเหลือเชื่อ เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงทุ้มหนัก “เจ้าเด็กน้อย?”

เฉินผิงอันจะพยักหน้าก็ไม่ใช่ ส่ายหน้าก็ไม่ใช่ สุดท้ายก็ยังคงพยักหน้ารับ

ซ่งอวี่เซาหัวเราะเสียงดังกังวาน ยื่นฝ่ามือมาตบบ่าเฉินผิงอันหนักๆ “เจ้าตัวดี โตเร็วจริงๆ ข้าเกือบจะจำเจ้าไม่ได้อยู่แล้ว ทำไมไม่สวมรองเท้าสานสะพายหีบไม้ไผ่แล้วเล่า? ไม่แน่ว่าข้าอาจจะจำเจ้าได้ในทันทีเลยก็ได้”

เฉินผิงอันยิ้มถาม “ไปกินหม้อไฟกันไหม?”

ซ่งอวี่เซาไม่ได้ตอบคำถาม แต่ถามย้อนกลับว่า “ที่เมืองเล็กเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ จู่ๆ ปราณกระบี่ของซูหลางก็ขาดสะบั้นไป เกี่ยวข้องกับเจ้าหรือ?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ถูกข้าขวางเอาไว้ ต่อยเจ้าซูหลางผู้นั้นกลับเข้าไปในเมืองเล็ก เขาน่าจะไม่มาหาเรื่องท่านผู้อาวุโสอีกแล้ว”

เขาไม่ได้แต่งเรื่องขึ้นมาอย่างขอไปที ถึงอย่างไรผู้อาวุโสซ่งก็เป็นคนเก่าแก่ในยุทธภพที่เขาเคารพนับถืออย่างถึงที่สุด ยากที่จะโกหกเขาได้

เพียงแต่เรื่องราวทางโลกมักจะมีความจริงที่เหมือนเท็จ และคำเท็จที่เหมือนจริงอยู่มากมาย

ผู้เฒ่าคนเฝ้าประตูไม่เชื่อ หลานชายซ่งอวี่เซาอย่างซ่งเฟิ่งซานและภรรยาของเขาหลิ่วเชี่ยนก็ไม่ค่อยเชื่อเหมือนกัน

มีเพียงซ่งอวี่เซาที่เชื่อ เขาดึงแขนเฉินผิงอันมาหาตัว “ในเมื่อเรื่องราวยุติลงแล้ว งั้นก็ไป ไปนั่งข้างใน กินหม้อไฟมีอะไรให้ต้องรีบร้อนกัน กินหม้อไฟเสร็จ เจ้าใช้หนี้คืนหมดสิ้นแล้วก็คงปัดก้นเดินจากไป ข้าจะกล้ารั้งเจ้าไว้อีกหรือ? อีกอย่างต่อให้รั้งไว้ก็รั้งไม่อยู่”

ซ่งเฟิ่งซานกับหลิ่วเชี่ยนหันมามองหน้ากันเอง

ผู้เฒ่าคนเฝ้าประตูก็ยิ่งแอบกลืนน้ำลาย

ตอนที่เฉินผิงอันเดินสวนไหล่กับผู้เฒ่าคนเฝ้าประตู เขาก็หยุดเท้า ก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว ยิ้มกล่าวว่า “เห็นไหม ข้าบอกแล้วว่าสนิทกับหมู่บ้านของพวกเจ้ามาก คราวหน้าห้ามขวางข้าล่ะ ไม่อย่างนั้นข้าจะปีนกำแพงเข้าไปเลย”

ผู้เฒ่าคนเฝ้าประตูไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ได้แต่กุมหมัดเอ่ยขออภัย “คุณชายเฉิน ก่อนหน้านี้เป็นข้าที่ตาถั่ว ล่วงเกินแล้ว”

เฉินผิงอันแหงนหน้ายกมือทำท่ากระดกเหล้า

ผู้เฒ่าคนเฝ้าประตูรู้ใจ ยกนิ้วโป้งให้เฉินผิงอัน

ซ่งอวี่เซาลากเฉินผิงอันเดินไปด้วยกัน

ซ่งเฟิ่งซานไม่ได้ตามไปทันที แต่ถามเบาๆ ว่า “เหล่าฉี เกิดอะไรขึ้น?”

ผู้เฒ่าคนเฝ้าประตูจึงเล่าเรื่องตลกก่อนหน้านี้ให้เขาฟังไปรอบหนึ่ง แม้จะเรื่องน่าอายของตัวเอง แต่เขาก็เล่าอย่างเห็นเป็นเรื่องตลกอย่างอารมณ์ดี

ซ่งเฟิ่งซานยื่นนิ้วข้างหนึ่งมานวดคลึงหว่างคิ้วของตัวเอง

หลิ่วเชี่ยนยิ้มกล่าว “นี่ก็ดีมากไม่ใช่หรือ หากแพร่ออกไปย่อมเป็นเรื่องดีงามใหญ่เทียมฟ้าที่คนในยุทธภพจะเล่าลือกัน”

ผู้เฒ่าคนเฝ้าประตูหัวเราะกว้างอย่างชอบใจ

ที่ห้องโถงของหมู่บ้าน ทุกคนพากันนั่งลง หลิ่วเชี่ยนรินน้ำชาให้ทุกคนด้วยตัวเอง

เฉินผิงอันดื่มชาไปหนึ่งอึกก็ถามอย่างใคร่รู้ “ปีนั้นฉู่หาวยังไม่ตายหรือ?”

ซ่งเฟิ่งซานส่ายหน้า “ตายจนตายไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว เพียงแต่ถูกหานหยวนซ่านเข้ามาสวมรอยตัวตนของเขาแทน หานหยวนซ่านเชี่ยวชาญด้านการแปลงโฉมมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว”

เฉินผิงอันพลันกระจ่างแจ้ง

สี่พิฆาตแห่งแคว้นซูสุ่ยในช่วงแรกเริ่มสุดได้แก่ผีสาววัดโบราณเหวยเว่ย หานหยวนซ่าน บุคคลแห่งลัทธิมารที่ถูกโจวจวี่นักปราชญ์แห่งสำนักศึกษาฆ่าตายอยู่ในหมู่บ้านวารีกระบี่ สุดท้ายอยู่ห่างไกลไปสุดขอบฟ้า อยู่ใกล้แค่เพียงเบื้องหน้า ก็คือภรรยาของซ่งเฟิ่งซาน หลิ่วเชี่ยน

สิ่งที่หลิ่วเชี่ยนทำไปก็เพื่อผลักชื่อเสียงในยุทธภพของสามีอย่างซ่งเฟิ่งซานและหมู่บ้านวารีกระบี่ให้สูงขึ้นไป

ส่วนคุณชายสกุลหานจากภูเขาเสี่ยวฉงอย่างหานหยวนซ่านผู้นั้น กลับมีจิตใจทะเยอทะยาน กลอุบายลึกล้ำ วิธีการที่เลือกใช้ก็ยิ่งไม่เลว เขาคิดจะควบคุมสถานการณ์ของยุทธภพในหนึ่งแคว้น พาตัวเข้าสู่ใจกลางของราชสำนัก จากนั้นหานหยวนซ่านคิดจะทำอะไรอีก ก็เกินกว่าที่ใครจะคาดการณ์ได้

หานหยวนซ่านสามารถทำเรื่องใหญ่ขนาดนี้ได้สำเร็จโดยการใช้รูปโฉมและตัวตนของฉู่หาว ใช้ฝ่ามือหนึ่งปิดแผ่นฟ้าอยู่ในราชสำนักและยุทธภพของแคว้นซูสุ่ย เฉินผิงอันไม่แปลกใจ แต่ในเมื่อซ่งเฟิ่งซานและหลิ่วเชี่ยนสองสามีภรรยากุมจุดอ่อนที่ใหญ่ขนาดนี้ของเขาไว้ได้ หานหยวนซ่านไม่ใช่ฉู่หาวตัวจริง แต่เขากลับยังบีบบังคับหมู่บ้านวารีกระบี่ถึงเพียงนี้ เหตุใดหมู่บ้านวารีกระบี่ถึงไม่เหลือเรี่ยวแรงให้เอาคืนเลย? หานหยวนซ่านไม่กลัวสักนิดเลยหรือว่าหมู่บ้านวารีกระบี่จะฉีกหน้า เปิดโปงตัวตนของเขา?

ซ่งเฟิ่งซานคล้ายจะมองทะลุมาเห็นความสงสัยของเฉินผิงอัน จึงอธิบายด้วยรอยยิ้มว่า “ก็แค่แสดงให้คนอื่นดูเท่านั้น เป็นการค้าขายอย่างหนึ่ง ‘ฉู่หาว’ ต้องการอาศัยสิ่งนี้มาปูทางให้แก่หมู่บ้านเหิงเตาที่สวามิภักดิ์ต่อเขา รวบรวมยุทธภพให้เป็นหนึ่ง หานหยวนซ่านรู้ว่าหมู่บ้านวารีกระบี่ของพวกเราไม่มีทางจะไปเป็นสุนัขรับใช้ของราชสำนัก จึงเริ่มทุ่มเทแรงกายไปประคับประคองหวังอี้หรานแห่งหมู่บ้านเหิงเตาขึ้นมาแทน สำหรับเรื่องนี้พวกเราไม่มีความเห็นแตกต่าง ตำแหน่งสำนักใหญ่อันดับหนึ่งของยุทธภพ หวังอี้หรานสนใจ แต่พวกเราไม่สนใจ พวกเราจึงอยากจะขอยืมใช้โอกาสนี้หาสถานที่ที่น้ำใสภูเขาเขียวสักแห่งหนึ่ง ไปใช้ชีวิตอยู่ให้ห่างจากความวุ่นวายในโลกมนุษย์ เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน หานหยวนซ่านจะใช้นามของราชสำนักแคว้นซูสุ่ยแบ่งพื้นที่แห่งหนึ่งบนภูเขามาสร้างหมู่บ้านแห่งใหม่ให้กับพวกเรา ที่นั่นคือพื้นที่ฮวงจุ้ยดีเยี่ยมที่ท่านปู่หมายตาไว้นานแล้ว หานหยวนซ่านจะพยายามเอาตำแหน่งแม่ย่าลำคลองมาให้ภรรยาของข้าให้ได้ ส่วนข้าจะปฏิเสธงานเลี้ยงรับรองทั้งหมด ไม่ไปมาหาสู่กับคนในยุทธภพ ตั้งใจฝึกกระบี่ให้ดี”

หลิ่วเชี่ยนไม่ใช่สตรีทั่วไป สถานะและสติปัญญาของนางล้วนไม่ธรรมดา

ภูเขาเขียวยังอยู่ ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีฟืน

เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที “ถอยไปหนึ่งก้าว ฟ้ากว้างใหญ่ มหาสมุทรไพศาล พี่ใหญ่ซ่งสามารถตั้งใจฝึกวิชากระบี่ อาซ้อก็ได้มีอนาคตที่ยืนยาว อีกทั้งพื้นที่กิจการของบรรพบุรุษยังถูกเลือกให้เป็นที่ตั้งศาลเทพภูเขา ก็ถือว่าเป็นการสร้างบุญกุศลที่ไม่เล็ก จะมีร่มเงาบรรพบุรุษคอยปกป้องลูกหลาน แต่มีเรื่องเดียวที่ต้องระวังก็คือผู้อาวุโสกับพี่ใหญ่ซ่ง ในอนาคตพวกท่านต้องคอยมาดูที่นี่บ่อยๆ หากควันธูปของเทพภูเขาคนใหม่ไม่สะอาดก็จะต้องตัดขาดแต่โดยเร็ว แน่นอนว่านั่นคือผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดแล้ว”

ซ่งอวี่เซากับซ่งเฟิ่งซานหันมามองหน้าแล้วยิ้มให้กัน

เฉินผิงอันพลันกระจ่างแจ้งอยู่ในใจ คิดดูแล้วตนคงจะปากมากเกินไป แล้วก็จริง ไม่ว่าจะเป็นผู้อาวุโสซ่งก็ดี หรือซ่งเฟิ่งซานก็ช่าง อันที่จริงล้วนคุ้นเคยกับเรื่องบนภูเขาเป็นอย่างดี โดยเฉพาะผู้อาวุโสที่ยิ่งชอบสะพายกระบี่ท่องเที่ยวไปทั่วทิศ ไม่อย่างนั้นตอนนั้นก็คงไม่สามารถซื้อกระบี่ประจำกายจากท่าเรือตระกูลเซียนภูเขาตี้หลงมาให้ซ่งเฟิ่งซานได้

เฉินผิงอันจึงบอกกับตัวเองเงียบๆ ว่า ไม่ว่าเรื่องใดก็ไม่ควรรีบร้อน ยังต้องอยู่ที่หมู่บ้านบนภูเขานี้ไปอีกหลายวัน

ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องในครอบครัวของตระกูลซ่งเอง อันที่จริงเฉินผิงอันเพิ่งจะมาถึง จึงไม่อาจพูดหรือถามอะไรได้มากนัก

ในหัวใจของเฉินผิงอัน ไม่ว่าคนอื่นจะเดินท่องอยู่ในยุทธภพอย่างไร แต่ยุทธภพของเขาก็ไม่ควรจะกลายเป็นว่าวันนี้ข้าต่อยหนึ่งหมัดให้ซูหลางถอยไป พรุ่งนี้กินหม้อไฟกับซ่งอวี่เซา วันมะรืนก็ขี่กระบี่กลับทางเหนือ โดยที่ช่วงเวลาระหว่างนี้ไม่คิดใคร่ครวญถึงเรื่องใดทั้งนั้น ราวกับว่าตั้งแต่ต้นจนจบมีเพียงการออกหมัดที่เร็วที่สุด ขี่กระบี่ที่เร็วที่สุด ดื่มสุราได้สาแก่ใจที่สุด กินหม้อไฟอย่างเต็มคราบที่สุด เรียนวิชาหมัดและวิชากระบี่จนพอจะประสบความสำเร็จแล้ว ชีวิตคนก็ควรจะง่ายดายเช่นนี้ ยิ่งนานวันก็ยิ่งประหยัดแรงกายประหยัดแรงใจ

ไม่ควรจะเป็นเช่นนี้ บางทีเมื่อไปถึงอุตรกุรุทวีปที่ไม่คุ้นเคย อาจจะแตกต่างออกไป เพราะคงจะไม่ได้คิดพิจารณาอะไรมากขนาดนั้น

ดังนั้นหลังจากพบหน้ากัน จึงได้แต่ถามเรื่องของคนอื่นเพื่อเอามาคิดวิเคราะห์เรื่องบางอย่างของตระกูลซ่งในทางอ้อม

แต่มีอยู่ข้อหนึ่งที่เฉินผิงอันรู้แน่ชัดดี สามารถตัดใจทิ้งกิจการบรรพบุรุษอันเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านบนภูเขานี้ไปได้ ความกล้าหาญนี้ไม่ถือว่าน้อย และเรื่องนี้ก็ยิ่งไม่ใช่เรื่องเล็กๆ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้อาวุโสซ่งยังเต็มใจตอบตกลง นี่ก็ยิ่งไม่ง่ายดาย

สำหรับคนในยุทธภพรุ่นผู้อาวุโส ศักดิ์ศรีนั้นใหญ่ยิ่งกว่าแผ่นฟ้า ผู้อาวุโสซ่งก็คือคนเก่าแกในยุทธภพ อันที่จริงหวังอี้หรานก็นับว่าใช่เหมือนกัน แต่ซูหลางเซียนกระบี่ไผ่เขียวของแคว้นซงซีกลับไม่ถือว่าใช่

อย่างอื่นไม่พูดถึง พูดถึงแค่การที่ซูหลางปรากฏตัวครั้งนี้ การที่เขาออกกระบี่ในเมืองเล็กก็ถือว่าไม่สอดคล้องกับกฎเกณฑ์อย่างยิ่ง

เพราะตามกฎเกณฑ์เก่าแก่ที่สืบทอดกันมารุ่นสู่รุ่นของยุทธภพ ในเมื่ออริยะกระบี่ซ่งแห่งแคว้นซูสุ่ยปฏิเสธการท้ารบของซูหลางไปอย่างเปิดเผยแล้ว อีกทั้งยังไม่ได้ใช้ข้ออ้างหรือเหตุผลใดมาปฏิเสธ ยิ่งไม่ได้เหลือที่ว่างให้พูดคุยอย่างการเอ่ยถ้อยคำทำนองว่าขอยืดระยะเวลาไปอีกสองสามปีแล้วค่อยต่อสู้กัน อันที่จริงนี่ก็เท่ากับว่าซ่งอวี่เซาเป็นฝ่ายยกตำแหน่งอันดับหนึ่งแห่งเวทกระบี่ให้กับคนอื่นไปแล้ว นี่ก็คล้ายคลึงกับการเล่นหมากล้อมที่ใครเป็นผู้โยนเม็ดหมากก็เท่ากับว่ายอมแพ้ เพียงแต่ไม่ได้พูดสามคำว่า ‘ข้ายอมแพ้’ ออกมาก็เท่านั้น สำหรับพวกคนเก่าแก่ในยุทธภพอย่างซ่งอวี่เซานี้ สองมือที่ยกประคองส่งไปให้ นอกจากจะเป็นสถานะและยศแล้ว ยังมีชื่อเสียงและหน้าตาที่สั่งสมมาทั้งชีวิตอีกด้วย สามารถพูดว่ายกชีวิตครึ่งหนึ่งออกไปให้อีกฝ่ายแล้ว

ซ่งอวี่เซากลับทำเพียงแค่ยิ้มมองเฉินผิงอัน เจ้าเด็กน้อยในปีนั้น ตอนนี้ใช้ได้แล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าคอแข็งบ้างแล้วหรือยัง กินเผ็ดได้มากขึ้นแล้วหรือไม่? ยังเชื่อถ้อยคำที่บอกว่าดื่มเหล้าแก้เผ็ดของเขาอยู่อีกไหม? ผู้เฒ่าสงสัยใคร่รู้เป็นอย่างยิ่งว่า ปีนั้นหลังจากที่เฉินผิงอันได้พบเจอกับแม่นางที่ตัวเองคิดถึงคำนึงหาทุกเมื่อเชื่อวันแล้ว สรุปว่าเขาทำสำเร็จหรือไม่? หรือว่าเขาจะปากอีกา อีกฝ่ายจึงปฏิเสธเฉินผิงอันมาด้วยประโยคว่า ‘เจ้าเป็นคนดี’ จริงๆ?

ฟังคำอธิบายที่นับว่ายังพอสมเหตุสมผลของซ่งเฟิ่งซานแล้ว เฉินผิงอันก็รู้สึกสงสัยขึ้นมาอีก จึงอดถามไม่ได้ “ถ้าอย่างนั้นซูหลางล่ะเป็นมาอย่างไรกันแน่? ข้าดูจากพลังอำนาจที่เขาเตรียมจะออกกระบี่ในเมืองเล็กแล้ว เป็นของจริงแท้แน่นอน เขาคิดจะตัดสินเป็นตายกับผู้อาวุโสแน่ๆ อีกทั้งยังไม่ใช่แค่แบ่งแยกให้รู้ว่าวิชากระบี่ใครสูงต่ำกว่ากันเท่านั้นด้วย”

คราวนี้เป็นซ่งอวี่เซาที่ไขข้อสงสัยให้เฉินผิงอันฟังด้วยตัวเอง “เทพกระบี่แคว้นไฉ่อีที่ข้าเคารพนับถือที่สุดในปีนั้น เกรงว่าก็คงมีขอบเขตเดียวกับซูหลางในทุกวันนี้ ซูหลางมีพรสวรรค์สูง หลังจากฝ่าทะลุขอบเขตแล้วก็อยากจะหาหินลับกระบี่สักก้อนมาช่วยทำให้ขอบเขตของเขามั่นคง เขามองหาไปทั่วหลายสิบแคว้น และข้าซ่งอวี่เซาก็เป็นผู้ใช้กระบี่พอดี ชื่อเสียงก็มากพอ อีกทั้งยังด้อยกว่าเขาซูหลางหนึ่งขอบเขต…ถือว่าครึ่งขอบเขตแล้วกัน แน่นอนว่าข้าย่อมเป็นตัวเลือกหินลับมีดที่เหมาะสมที่สุดสำหรับเขา”

อันที่จริงซ่งอวี่เซาไม่ได้รู้สึกอยากดื่มชาอะไรนัก เพียงแต่ว่าทุกวันนี้เขาดื่มเหล้าน้อยลงแล้ว มีเพียงช่วงเทศกาลสำคัญเท่านั้นที่จะเป็นข้อยกเว้น หลานชายและหลานสะใภ้คอยควบคุมเขาราวกับป้องกันโจรอย่างไรอย่างนั้น ช่วยไม่ได้ ก็เลยได้แต่ดื่มชาแล้วคิดว่ามันคือสุราที่รสชาติจืดจางที่สุด ก็ยังดีกว่าไม่ได้ดื่มอะไรเลย

ผู้เฒ่าเอ่ยต่อว่า “เพียงแต่ซูหลางก่อเรื่องครั้งนี้ทำให้ข้ารู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก หากรับปากว่าจะต่อสู้กับเขา ไม่ว่าจะแพ้ก็ดีหรือตายก็ช่าง ล้วนไม่สำคัญ แต่กลับจะเป็นการทำลายการค้าระหว่างพวกเรากับหานหยวนซ่าน”

กล่าวมาถึงตรงนี้ ซ่งอวี่เซาก็ดื่มชาหนึ่งอึก หลิ่วเชี่ยนจึงรีบลุกขึ้นเติมชาให้เขาอีกครั้งทันที

ซ่งอวี่เซาอดบ่นไม่ได้ “ต่อให้ดื่มชาไปสักกี่ตำลึงก็ยังไม่มีรสชาติของสุราอยู่ดี ตอนนี้เฉินผิงอันมาแล้ว ใช้ชารับรองแขก ไม่ค่อยดีกระมัง”

หลิ่วเชี่ยนกำลังจะนั่งลง แต่ในเมื่อท่านปู่เอ่ยถาม นางจึงยืนต่อแล้วยิ้มบางๆ ตอบว่า “ท่านปู่ เรื่องนี้เฟิ่งซานเป็นคนตัดสินใจ”

ซ่งเฟิ่งซานพูดหน้าเคร่ง “เทศกาลไหว้พระจันทร์ของปีนี้ ไม่ว่าจะเป็นช่วงเริ่มฤดูหนาวหรือปีใหม่น้อย ท่านปู่ก็ล้วนดื่มเหล้าไปครบจำนวนแล้ว”

ซ่งอวี่เซาถอนหายใจ แล้วก็ไม่ได้ยืนกรานต่อ

เฉินผิงอันรู้สึกดีใจไม่น้อย มองออกว่าตอนนี้ปู่หลานสองคนสนิทสนมกลมเกลียวกันดียิ่ง ไม่ได้ต่างคนต่างมีเงื่อนตายที่เทพเซียนก็ยากจะคลี่คลายอยู่ในใจเหมือนในอดีตอีก

ซ่งอวี่เซาพูดหัวข้อก่อนหน้านี้ต่ออีกครั้ง สีหน้าเขาค่อนข้างจะเย้ยหยันตัวเอง “ข้าแพ้แล้ว ด้วยสันดานของคนในยุทธภพแคว้นซูสุ่ยทุกวันนี้ย่อมต้องมีคนนับไม่ถ้วนที่พากันซ้ำเติม วันหน้าต่อให้ย้ายบ้านก็คงไม่หยุดกันง่ายๆ ใครก็อยากจะมาเหยียบย่ำพวกเราสักที อย่างน้อยก็ต้องถ่มน้ำลายใส่สักหลายๆ ครั้ง หากข้าตายไป ไม่แน่ว่าหานหยวนซ่านอาจถึงขั้นกลับคำ ปล่อยให้หวังอี้หรานฮุบกลืนหมู่บ้านวารีกระบี่ไปโดยตรงเลยก็เป็นได้ อริยะกระบี่แคว้นซูสุ่ยอะไรกัน ตอนนี้ไม่มีค่าแม้แต่ครึ่งเหรียญทองแดง น่าเสียดายก็แต่การฉายประกายคมกริบของซูหลางกลายเป็นความว่างเปล่า จึงคิดอยากจะคว้าอะไรที่จับต้องได้จริง นี่เป็นหลักการทั่วไปของมนุษย์ เพียงแค่ไม่ค่อยสอดคล้องกับกฎเกณฑ์ในยุทธภพของคนรุ่นเก่าเท่าใดนัก แต่ตอนนี้จะยังมาพูดกฎเกณฑ์เก่าแก่อะไรกันอีกเล่า มีแต่จะเป็นเรื่องชวนให้ขบขันก็เท่านั้น”

ซ่งเฟิ่งซานทำท่าจะพูดแต่ก็หยุดไป

ซ่งอวี่เซาโบกมือ ยิ้มกล่าวว่า “ไม่ต้องคิดมาก คิดเสียว่าแค่บ่นให้เฉินผิงอันฟังไม่กี่คำเท่านั้น ปู่อย่างข้ามีนิสัยอย่างไร เจ้ายังไม่รู้อีกหรือ? หากยังวางหัวโขนที่ว่างเปล่าพวกนี้ไม่ลงจริงๆ ก็คงไม่มีทางรับปากตกลงทำการค้ากับหานหยวนซ่าน พูดไปพูดมาก็ยังเป็นเพราะฝีมือสู้คนอื่นไม่ได้ ไม่อาจฝ่าทะลุคอขวดนั้นไปได้ตลอดชีวิต นี่ถึงได้เปิดโอกาสให้แก่ซูหลางที่ตามมาภายหลังพุ่งแซงหน้าไป คนเรียนกระบี่ ใครเล่าจะไม่อยากครอบครองความเป็นหนึ่งเดียว ข้างกายไร้คนยืนเคียงบ่า?”

ซ่งอวี่เซาเป็นฝ่ายเล่าเรื่องบางส่วนเกี่ยวกับซูหลางให้ฟัง แล้วจากนั้นก็เอ่ยถ้อยคำแสดงความเสียดายที่ไร้คนรับฟังให้แก่ยุทธภพที่ตัวเองอยู่ “ยุทธภพของหลายสิบแคว้นในอดีต ผู้อาวุโสเทพกระบี่แคว้นไฉ่อีมีคุณธรรมและชื่อเสียงสูงสุด ต่อให้หลินกูซานแห่งแคว้นกู่อวี๋จะไม่รู้จักทำตัวเป็นคนที่ดี ต่อให้ข้าซ่งอวี่เซาไม่คู่ควรกับตำแหน่ง ชอบเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วทิศ ต่อให้ซูหลางจะฉายประกายคมกริบทั่วร่าง มีปณิธานที่ยิ่งใหญ่ยาวไกล ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ในยุทธภพก็ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยความมีชีวิตชีวา ไม่ว่าเรียนรู้จากใครก็ล้วนมีเส้นทางให้เดิน ตอนนี้เทพกระบี่ผู้เฒ่าตายไปแล้ว หลินกูซานก็ตายไปแล้ว ข้าก็เหมือนคนตายไปแล้วครึ่งตัว จึงเหลือแค่ซูหลางเท่านั้น ซูหลางอยากจะขึ้นครองตำแหน่ง ขอแค่วิชากระบี่ของเขาสูงได้ถึงขั้นนั้นก็ไม่มีใครขัดขวางเอาไว้ได้ ข้ากลัวก็แต่ว่าเขาซูหลางจะเป็นตัวริเริ่มสิ่งที่ไม่ดี ในสมองของคนหนุ่มสาวรุ่นหลังที่ฝึกกระบี่อยู่ในยุทธภพจะขาดแรงฮึดเฮือกนั้นไป รู้สึกเพียงวิชากระบี่ของข้าสูงแล้ว กฎเกณฑ์จะนับเป็นผายลมอะไรได้ อยากฆ่าใครก็ฆ่า นี่ก็เหมือน…เจ้าเฉินผิงอัน หรือซ่งเฟิ่งซานที่ตรงเอวรัดเงินหมื่นกว้าน ร่ำรวยเป็นเศรษฐีอยู่ในพื้นที่หนึ่ง ขอแค่ยินดีก็สามารถไปทุ่มเงินก้อนใหญ่ที่หอโคมเขียวได้ ราชินีบุปผาที่ไม่ว่าจะงดงามหรือสูงส่งเท่าไหร่ก็สามารถดึงมาไว้ในอ้อมกอด แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าบนเส้นทางที่พวกเจ้าก้าวเดิน เมื่อพบเจอกับสตรีที่ทำอาชีพสุจริตแล้วเจ้าจะสามารถใช้เงินไปหมิ่นเกียรติ ใช้อำนาจไปรังแกพวกนางได้…”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “ข้าไม่เคยไปหอโคมเขียว”

หางตาเหลือบไปเห็นว่าหลิ่วเชี่ยนก้มหน้าดื่มชา มุมปากคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ซ่งเฟิ่งซานก็รีบพูดคล้อยตามทันที “ข้าเองก็ไม่เคยไป ไม่เคยไปเลยสักครั้ง!”

ขิงยิ่งแก่ก็ยิ่งเผ็ด ผลักคนลงหลุมโดยไม่ปรึกษาหารือกันเลยสักนิด ซ่งอวี่เซาหันหน้ากลับมา ยิ้มตาหยีเอ่ยเตือนหลิ่วเชี่ยนว่า “หากบุรุษคนหนึ่งไม่เคยไปหอโคมเขียวจริงๆ หรือไม่มีความคิดนี้อยู่เลย จะไม่มีทางพูดจาหนักแน่นได้ขนาดนี้ มีแต่จะยิ้มแล้วปล่อยผ่านไป เห็นเป็นเรื่องสบายๆ”

หลิ่วเชี่ยนพยักหน้ารับเบาๆ เอ่ยเสียงอ่อนโยน “เหมือนจะจริงนะเจ้าคะ”

—–

กระบี่จงมา Sword of Coming

กระบี่จงมา Sword of Coming

Status: Ongoing
” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์  ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์  หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า  แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “
เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา
เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม
และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง
ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้
–ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท