กระบี่จงมา Sword of Coming – บทที่ 478.2 ในใจคนจำต้องมีตะวันจันทรา

บทที่ 478.2 ในใจคนจำต้องมีตะวันจันทรา

เฉินผิงอันฟังมาถึงตรงนี้ก็อึ้งตะลึงไป หลิ่วชิงซานไม่เหมือนคนประเภทที่จะตัดหัวไก่เผากระดาษเหลืองเอ่ยคำสาบานเลยนะ เขาไม่ใช่ลูกศิษย์เปิดขุนเขาผู้นั้นของตนเสียหน่อย

สือโหรวหัวเราะพลางไขข้อข้องใจให้ฟัง ที่แท้ก็เป็นหลิ่วป๋อฉีที่รับจูเหลี่ยนเป็นพี่ใหญ่ บอกว่าจูเหลี่ยนจะต้องไปที่แคว้นชิงหลวนเพื่อร่วมงานแต่งงานระหว่างนางกับหลิ่วชิงซานให้ได้

เฉินผิงอันนวดคลึงหว่างคิ้ว นี่มันอะไรกับอะไรกันแน่

นอกจากนี้ยังมีเรื่องจริงจังที่ไม่ถือว่าเล็กอีกสองสามเรื่อง สือโหรวเล่าให้ฟังไม่มาก เพราะนางหวังว่าเฉินผิงอันจะไปคุยกับจูเหลี่ยนเอง นางจำต้องยอมรับว่า ไม่ว่าจูเหลี่ยนทำอะไร เรื่องเล็กหรือใหญ่ก็ล้วนมั่นคงเชื่อถือได้เสมอ เพียงแต่ปากของเขากลับชวนให้คนหงุดหงิดใจเสียจริง และยังมีสายตาของเขาที่ขนาดนางซึ่งเป็นผีสาวก็ยังอดขนลุกขนชันไม่ได้

หลิวจ้งรุ่นแห่งเกาะจูไชทะเลสาบซูเจี่ยนยังไม่ได้มาเยือนด้วยตัวเอง แต่ส่งลูกศิษย์คนสนิทคนหนึ่งให้พกของขวัญมาเยี่ยมเยือนภูเขาลั่วพั่ว ตอนนั้นเว่ยป้อปรากฎตัวด้วยตัวเอง ทำให้สตรีอายุน้อยที่มีขอบเขตแค่ถ้ำสถิตผู้นั้นตกใจไม่น้อย ภายหลังก็ถึงขั้นพูดจาไม่คล่องแคล่ว

นอกจากนี้ก็คือเทพวารีสองท่านของแม่น้ำอวี้เจียงและแม่น้ำป๋ายกู่แคว้นหวงถิงที่ทยอยกันมาเยือนภูเขาลั่วพั่ว ยังคงเป็นจูเหลี่ยนและเจิ้งต้าเฟิงที่ทำหน้าที่เป็นผู้ต้อนรับ

เรื่องราวน้อยใหญ่ สิ่งละอันพันละน้อย เฉินผิงอันฟังสือโหรวอธิบายอย่างเป็นระเบียบขั้นตอนจนจบก็ชี้ไปที่ห้องหลัก ยิ้มถามว่า “ใบหน้าของเจ้าสองคนนั้นเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”

สือโหรวอึ้งตะลึง ก่อนจะกล่าวอย่างจนใจว่า “เผยเฉียนซุกซนก็แล้วไปเถิด คิดไม่ถึงว่าแม่นางหลี่ก็จะปล่อยให้เผยเฉียนทำตัวเหลวไหลไปด้วย คุณชายท่านไม่รู้อะไร ตอนที่เห็นสภาพน่าสงสารของพวกนางสองคนในร้าน อารมณ์ของข้าก็พอๆ กับสตรีจากเกาะจูไชผู้นั้นเลย แต่พวกนางเองกลับดูมีความสุขสนุกสนานกันดี ยังนัดหมายกันด้วยว่าคราวหน้าหากต่างคนต่างฝึกวิชาดีๆ จนสำเร็จแล้วจะไปบุกบ่อมังกรถ้ำพยัคฆ์ด้วยกันอีก”

เฉินผิงอันไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

ไม่รู้ว่าเหตุใด พอสือโหรวมาอยู่ที่ร้านก็คล้ายว่าจะมีอิสระเสรีกว่าตอนที่อยู่บนภูเขาลั่วพั่ว นางถึงกับเอ่ยสัพยอกเฉินผิงอันว่า “คุณชายออกเดินทางครั้งนี้ ได้เอาของขวัญกลับมาให้ใครอีกหรือเปล่า?”

เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที พลิกหมุนข้อมือหยิบของเล็กๆ สามชิ้นที่ซื้อจากท่าเรือภูเขาตี้หลงออกมา ยื่นถ้วยตื้นที่ทำจากวัสดุสีแดงและแท่นฝนหมึกให้กับสือโหรว ส่วนตัวเองถือตราประทับคู่ที่ถูกแกะสลักด้วยมือของนักประพันธ์บางท่านของแคว้นหนึ่งทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ เอาวางไว้ข้างหูแล้วเคาะเบาๆ ฟังเสียงใสกังวานนั้นแล้วเอียงศีรษะกล่าวว่า “ของสามชิ้นจ่ายไปสิบสองเหรียญเงินเกล็ดหิมะ หากเจ้าชอบก็เลือกไปได้หนึ่งชิ้น เดี๋ยวข้าค่อยบอกเผยเฉียนว่าซื้อมาแค่สองชิ้น”

สายตาของสือโหรวเหลือบมองถ้วยตื้นสีแดงน่ารักน่าเอ็นดูใบนั้นอยู่หลายที แต่สุดท้ายก็ยังส่ายหน้า “ช่างเถิด”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เวลามอบของให้คนอื่น ส่วนใหญ่ล้วนมอบเป็นคู่ เลขคี่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ อีกไม่นานข้าก็ต้องออกเดินทางไกลอีกครั้งหนึ่งแล้ว คงไม่กลับมาในระยะเวลาสั้นๆ นี้ เจ้าก็ถือซะว่าเป็นหงเปาของตรุษจีนปีหน้าก็แล้วกัน”

สือโหรวชูถ้วยตื้นสีแดงในมือขึ้นเบาๆ “ถ้าอย่างนั้นก็ชิ้นนี้?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับแล้วเอ่ยเตือนว่า “อย่าหลุดพูดไปล่ะ เด็กน้อยชอบจดจำบัญชีแค้น นางไม่กล้าพูดมากกับข้า แต่เจ้าคงต้องทนฟังนางบ่นอยู่หลายปีอย่างเลี่ยงไม่ได้”

สือโหรวเก็บถ้วยใบเล็กนั่นไป แล้วยื่นแท่นฝนหมึก ‘โชคดีตลอดกาล’ ใบนั้นคืนให้กับเฉินผิงอัน

สือโหรวกล่าวอย่างสงสัยว่า “คุณชายชอบมอบของขวัญให้คนอื่นขนาดนี้เชียวหรือ?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เจ้าอาจจะไม่รู้ ตั้งแต่เล็กจนโต ข้าชอบหาเงินและเก็บสะสมเงินมากที่สุด เหรียญทองแดงแต่ละเหรียญที่เก็บสะสมมาอย่างยากลำบากตอนนั้น บางครั้งเวลานอนไม่หลับก็จะหยิบไหใบเล็กออกมาแกว่งเบาๆ เสียงที่เหรียญทองแดงกระทบกันอยู่ในไหใบเล็ก เจ้าคงไม่เคยได้ยินมาก่อนกระมัง? ภายหลังตอนที่เจิ้งต้าเฟิงยังเป็นคนเฝ้าประตูตะวันออกของเมืองเล็ก ข้าเคยทำการค้าอย่างหนึ่งกับเขา ทุกครั้งที่เอาจดหมายฉบับหนึ่งไปส่งให้ครอบครัวในเมืองเล็กก็จะได้เหรียญทองแดงมาหนึ่งเหรียญ ทุกครั้งที่ไปเอาจดหมายจากเจิ้งต้าเฟิง ข้าแทบอยากจะให้เจิ้งต้าเฟิงโยนจดหมายเป็นกระบุงมาให้ข้าด้วยซ้ำ แต่ว่าถึงท้ายที่สุดก็หาเงินมาได้แค่ไม่กี่เหรียญทองแดง หลังจากนั้นมาก็เกิดเรื่องบางอย่างขึ้น ข้าจึงออกจากบ้านเกิดไป”

สือโหรวยิ้มพลางส่ายหน้า

เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ โน้มตัวไปด้านหน้า “ไม่ได้บอกว่าตอนนี้ข้ามีเงินแล้วเลยเปลี่ยนมามีนิสัยมือเติบใจกว้าง ไม่ใช่แบบนั้น แต่เป็นเพราะการที่ปีนั้นข้าหลงใหลในทรัพย์สินเงินทองขนาดนั้นก็เพื่อที่ว่าวันใดวันหนึ่งข้าจะได้ไม่ต้องคอยคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องเล็กน้อยอีก ไม่ต้องรู้สึกเหมือนถูกมัดมือมัดเท้าในทุกครั้งที่ควรต้องจ่ายเงิน ยกตัวอย่างเช่นตอนที่ไปไหว้หลุมศพพ่อแม่ของข้าก็จะได้ซื้อของที่ดีมากขึ้น เวลาถึงปีใหม่ ก็ไม่ถึงขั้นที่ซื้อกลอนคู่ไม่ได้ ได้แต่ไปมองกลอนคู่บนประตูใหญ่ของเรือนด้านข้าง แล้วก็คิดว่าบ้านตัวเองก็มีเหมือนกัน ความยากจนที่ตัวเองเคยชินแล้ว และการพยายามหาความสุขท่ามกลางความทุกข์แบบนั้น ไม่ว่าใครที่มองเห็นก็ต้องรู้สึกว่าไร้เดียงสาเบาปัญญาอย่างยิ่ง”

สือโหรวไม่รู้แล้วว่าควรจะต่อคำอย่างไร

เฉินผิงอันเงียบคิดไปครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “คำพูดบางอย่างอาจจะทำลายบรรยากาศ แต่ถึงอย่างไรอีกเดี๋ยวข้าก็ต้องไปจากเขตการปกครองหลงเฉวียนแล้ว เจ้าก็ฝืนใจฟังหน่อยแล้วกัน เพราะฟังไปแล้ว อย่างน้อยภายในเวลาสามปีก็ไม่ต้องได้ยินข้าพูดให้รำคาญใจอีก”

สือโหรวยิ้มกล่าว “เชิญคุณชายพูด”

เฉินผิงอันชี้ไปที่สือโหรว “คราบร่างเซียนร่างนี้ ข้าไม่เคยรู้สึกว่าเจ้าเป็นฝ่ายได้เปรียบอะไร แต่ความโชคดีในใต้หล้านี้ เมื่อผ่านประตูบ้านเข้ามาแล้วก็เหมือนลมและน้ำที่พัดหมุนวนไปรอบหนึ่ง ส่วนใหญ่ล้วนรั้งเอาไว้ไม่อยู่ ในเมื่อรับโชควาสนานี้ไว้แล้ว อันดับแรกในใจก็ไม่ควรมีความคลางแคลง ควรทำอย่างไรถึงได้ถือไว้ได้อย่างมั่นคง นั่นต่างหากจึงจะถือว่ามีความสามารถ ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่ อาจรู้สึกว่าข้าจงใจเอ่ยถ้อยคำที่เป็นการซื้อใจคน แต่ข้าก็ต้องพูด ข้าไม่เคยหวังให้เจ้าสือโหรวอาศัยคราบร่างเซียนนี้ทำอะไรบางอย่างเพื่อภูเขาลั่วพั่วในอนาคต ข้าหวังเพียงว่าเจ้าสือโหรวอยู่ที่ภูเขาลั่วพั่วก็ดี อยู่ที่ร้านเล็กๆ ในตรอกฉีหลงแห่งนี้ก็ดี ล้วนสามารถอยู่ร่วมกับคนอื่นอย่างปรองดอง ไม่เอาแต่รู้สึกว่าตัวเองเข้ากับคนอื่นไม่ได้ แล้วนั่นคือปัญหาของคนอื่น ต้องหัดเรียนรู้ที่จะเข้าเมืองตาหลิ่วหลิ่วตาตาม แน่นอนว่านี่ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เป็นงานที่ต้องอดทนดั่งน้ำหยดลงหินทุกวัน ทว่าพวกเราที่มีชีวิตอยู่ก็ล้วนเป็นแบบนี้ไม่ใช่หรือ? ถูกไหม?”

สือโหรวใคร่ครวญอยู่พักหนึ่ง “คุณชายพูดจาจริงใจมีคุณธรรม ข้าจะไตร่ตรองให้มาก”

เฉินผิงอันเก็บตราประทับคู่และแท่นฝนหมึกลงไป ปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่มาดื่มเหล้า “เจ้าสังเกตหรือไม่ว่า บนภูเขาลั่วพั่ว หรือไม่ก็บ้านบรรพบุรุษในตรอกหนีผิง ตอนนี้คนเหล่านี้ต่างก็มีระดับความสูงต่ำของสถานะและขอบเขต แต่ความใกล้ชิดหรือห่างเหินของความสัมพันธ์ ล้วนไม่ได้อาศัยสิ่งนี้มาเป็นตัวตัดสิน ที่ข้าพูดเรื่องพวกนี้กับเจ้าสือโหรว ไม่ใช่ว่าต้องการให้เจ้าเปลี่ยนไปเป็นคนในแบบที่ข้าคิดไว้ในใจให้จงได้ เพียงแต่ไม่อยากให้ในใจเจ้าเกิดความรู้สึกอยุติธรรม แม้ความน้อยเนื้อต่ำใจจะเป็นเรื่องจริง แต่กลับคิดไปเลยเถิดเกินความจริง”

สือโหรวถาม “เฉินผิงอัน วันหน้าหากคนบนภูเขาลั่วพั่วมีมากขึ้นแล้ว เจ้าก็จะพูดคุยแลกเปลี่ยนความในใจแบบนี้กับทุกคนทุกครั้งหรือ?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “หากในอนาคตมีสำนักบนภูเขาเป็นของตัวเองจริงๆ มีคนมาเพิ่มสิบกว่าคนหรืออาจถึงร้อยคน ถึงเวลานั้นข้าต้องไม่มีเวลามาให้ความสนใจได้หมดเป็นแน่ แต่ก็ไม่เป็นไรนี่นา ข้ามีพวกเจ้าอยู่ด้วย อีกทั้งข้าก็รู้สึกมาโดยตลอดว่าไม่จำเป็นต้องใช้หลักการเหตุผลเสมอไป เมื่อคนเรายืนได้ตรง จิตใจดี เจ้ากับพวกจูเหลี่ยน เจิ้งต้าเฟิง แต่ละคนต่างก็มีข้อดีในแบบของตน หลักการและเหตุผลก็จะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ…”

เฉินผิงอันพลันยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาแล้วยื่นออกไป “ก็เหมือนกับลมวสันตฤดูยามค่ำคืนที่บำรุงให้ความอบอุ่นแก่สรรพสิ่งอย่างไร้เสียง เมื่อเทียบกับคำพร่ำบ่นของคนที่ไม่ถือว่าเป็นบัณฑิตอย่างข้าแล้วก็ดีกว่ามากนัก”

สือโหรวจ้องใบหน้าด้านข้างของคนหนุ่มนิ่ง นางได้แต่เหม่อลอยไร้คำพูด

หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็เริ่มฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลู ส่วนสือโหรวกลับไปที่ห้องของตัวเอง

เว่ยป้อมาปรากฏตัวอยู่ใต้ชายคา ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เจ้าทำธุระของตัวเองไปก่อน ข้ารอได้”

ครึ่งชั่วยามต่อมา เฉินผิงอันถึงได้ลืมตาขึ้น ถอนหายใจหนึ่งที “รอนานแล้ว”

เว่ยป้อถาม “เกิดอะไรขึ้น?”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “อันที่จริงปีนั้นที่ข้าขึ้นไปบนเกาะกงหลิ่ว ได้เจอกับหลิวเหล่าเฉิงผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนคนนั้น ได้ฟังเขาเล่าเรื่องการประสบพบเจอมารในใจกับปากตัวเอง ข้าก็เลยรู้สึกได้ว่า แท้จริงแล้วนั่นเหมือนเป็นการช่วยดึงต้นกล้าให้เติบโต (การพยายามฝืนกฎเกณฑ์ธรรมชาติ/หรือการรีบร้อนเร่งให้งานใดๆสำเร็จโดยใช้วิธีที่ผิด จนก่อให้เกิดผลเสียหายตามมา) ต่อสภาพจิตใจของข้า ภายหลังผู้อาวุโสชุยก็บอกว่าการถามใจของข้าในทะเลสาบซูเจี่ยนครั้งนั้น เดิมทีควรเป็นด่านเคาะหัวใจที่ผู้ฝึกตนโอสถทองหรืออาจถึงขั้นผู้ฝึกตนก่อกำเนิดต้องประสบพบเจอ ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดก็คือหลังจากที่ปีนั้นเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตของข้าแตกสลายไป สภาพจิตใจก็แตกแยกตามไปด้วย การเดินทางไกลหลายครั้ง สิ่งที่ได้พบเห็น ได้เรียนรู้และได้บรรลุจนกระจ่างแจ้งตลอดทางที่ผ่านมา แม้จะช่วยประกบพวกมันเข้าด้วยกัน แต่ก็ยังห่างจากการสร้างสะพานแห่งความเป็นอมตะที่สามารถทานลมทานฝนขึ้นมาใหม่ได้สำเร็จอยู่ไกลมาก ผลกลับกลายเป็นว่าตอนอยู่บนเกาะชิงเสีย จิตบุ๋นของข้าแหลกสลายไปเอง ก็ยิ่งเป็นการเพิ่มน้ำค้างแข็งลงบนหิมะ แม้สุดท้ายแล้วข้าที่อยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนจะโน้มน้าวตัวเองได้สำเร็จ ทว่าระหว่างขั้นตอนของการโน้มน้าวตัวเองนั้นยังมีภาระอีกมากมายที่แบกไว้อยู่กับตัว ปมของปัญหา ตามหลักเหตุและผลแล้วจึงเกิดการขัดแย้งกันเองจากรากฐาน เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับทะเลสาบซูเจี่ยน เป็นแค่เรื่องของข้าเอง”

เฉินผิงอันดื่มเหล้าหนึ่งอึก คราวนี้เขาหมายจะอาศัยเหล้าดับทุกข์จริงๆ “ข้าเคยเชื่อมั่นว่า ขอแค่รู้หลักการเหตุผลมากเท่าไหร่ การออกหมัด ออกกระบี่ของข้าก็จะยิ่งเร็ว ยิ่งนานวันก็ยิ่งเร็วมากขึ้นเท่านั้น”

เฉินผิงอันพึมพำกับตัวเอง “แต่หลังจากที่ข้าเข้าใจความซับซ้อนของโลกใบนี้ และดีชั่วในจิตใจคนที่ยากจะคาดเดามากขึ้นเรื่อยๆ ก็หวังมาโดยตลอดว่าก่อนที่ตนจะลงมือ จะต้องมองให้เห็นเส้นสายหนึ่งเส้นหรือหลายๆ เส้นของอีกฝ่ายให้ได้ก่อน พยายามคิดถึงความเป็นไปได้บางอย่างให้มากขึ้น ทางที่ดีที่สุด ทางที่เลวร้ายที่สุด จากนั้นค่อยใช้วิชากระบี่มาทำการตัดแบ่งและขีดเส้นจำกัด เมื่อเป็นเช่นนี้ถึงจะไม่มีความผิดพลาดได้อย่างที่ข้าคาดหวัง การลงมือในเวลานั้นถึงจะเร็วขึ้นได้”

เฉินผิงอันยังคงพูดกับตัวเองต่อไป “แต่หากเรื่องราวเกิดขึ้นกะทันหัน จำเป็นต้องแบ่งแยกถูกผิดเป็นตายในทันที ไม่มีพื้นที่ให้ข้าได้ใช้ทฤษฎีลำดับขั้นตอน ไม่ปล่อยให้ข้าได้ไปใคร่ครวญศึกษาจิตใจของคนและความจริงอย่างละเอียด ข้าควรจะทำอย่างไร?”

เว่ยป้อพยักหน้ารับ “ยิ่งเป็นหลักการเหตุผลที่ถูกต้องมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งหนักมากเท่านั้น ในฐานะผู้ฝึกยุทธเต็มตัว เจ้าเองก็กำลังหาเรื่องใส่ตัว เพราะตัวเจ้าเองก็รู้ชัดเจนดีว่า ตัวเอง…ไม่สบายใจ หวนย้อนนึกถึงช่วงเวลาในอดีต ตอนที่เจ้าเฉินผิงอันยากจนมากที่สุด กลับกลายเป็นว่าสภาพจิตใจของเจ้าผ่อนคลายมากที่สุด เพราะช่วงเวลานั้นเจ้าแน่ใจยิ่งกว่าสิ่งใดว่า หลักการเหตุผลที่ตัวเองต้องยึดมั่นยืนหยัดเอาไว้มีอยู่แค่ไม่กี่ข้อเท่านั้น ดังนั้นส่วนที่ทนได้ก็ทน ส่วนที่ทนไม่ได้ก็สู้สุดชีวิต เป็นเหตุให้ไม่ว่าจะเผชิญหน้ากับไช่จินเจี่ยนก็ดีหรือฝูหนันหัวก็ช่าง หรือภายหลังที่เผชิญหน้ากับวานรย้ายขุนเขาของภูเขาตะวันเที่ยงและหม่าขู่เสวียนแห่งตรอกซิ่งฮวา ปณิธานหมัดของเจ้ามีกี่ชั่งกี่ตำลึง เจ้าก็ปล่อยมันออกไปเท่านั้น ถามใจตัวเองแล้วไม่ละอาย ปณิธานหมัดบริสุทธิ์ มองความเป็นความตายเป็นเรื่องที่ไม่สำคัญ ขอแค่ให้ข้าได้ออกหมัดก่อนก็พอ”

เฉินผิงอันเอ่ยเสียงทุ้มหนัก “ถูกต้อง!”

เว่ยป้อเอนตัวพิงเสาระเบียง “ดังนั้นเจ้าเลยคิดจะไปเยือนอุตรกุรุทวีปสักรอบหนึ่ง หวังว่าเมื่ออยู่ที่นั่นจะไร้พันธนาการ หวังว่าผู้ฝึกกระบี่และผู้ฝึกยุทธของที่นั่นจะไม่ชอบใช้หลักการเหตุผล มีแต่การกระทำอย่างกำเริบเสิบสานจริงๆ นี่ก็คือวิธีแก้ไขปัญหาที่เจ้าใคร่ครวญมาได้หลังออกจากทะเลสาบซูเจี่ยน แต่เมื่อเจ้าออกจากภูเขาลั่วพั่ว กลับคืนไปยังสถานที่เดิมที่เคยไปท่องเที่ยวอีกครั้ง ได้พบกับสหายเก่า ก็ได้ใช้สายตาอีกแบบหนึ่งมามองโลกใบนี้ ผลคือค้นพบว่าตัวเองเริ่มสั่นคลอนแล้ว คิดว่าต่อให้ไปถึงอุตรกุรุทวีป ก็จะยังมีนิสัยอืดอาดชักช้าอยู่เหมือนเดิม เพราะหากจะว่าไปแล้ว คนก็คือคน แต่ละคนย่อมมีการพบพรากจากลา มีความทุกข์ความสุขในแบบที่ต่างกันออกไป คนน่าสงสารย่อมมีจุดที่น่ารังเกียจ คนที่น่ารังเกียจก็ย่อมมีจุดที่น่าสงสาร ต่อให้ฟ้าดินจะกว้างใหญ่แค่ไหน ใจคนก็ล้วนเป็นเช่นนี้”

เฉินผิงอันเงียบงันไม่ต่อคำ เพียงแค่กระดกเหล้าดื่มอีกหนึ่งอึก

เว่ยป้อเอ่ยเบาๆ ว่า “ดูท่าคงเป็นทางตันที่มิอาจคลี่คลายอีกอย่างหนึ่งแล้ว หากไม่เปลี่ยนไปเป็นเฉินผิงอันอีกคนหนึ่ง ก็ได้แต่เดินกะเผลกไปเบื้องหน้า ฝึกหมัดฝึกกระบี่ ต่อให้ขอบเขตสามารถเลื่อนขึ้นไปได้ แต่ก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่สามารถทำได้ ‘เร็วที่สุด’ อย่างที่คาดหวังไว้ในใจ”

เว่ยป้อเปลี่ยนหัวข้อไปพูดเรื่องอื่น “จู่ๆ ก็รู้สึกว่าดูเหมือนต่อให้เดินทางไกลแค่ไหน พบเห็นมามากเท่าไหร่ โลกใบนี้ก็คล้ายว่าจะมีบางอย่างที่ไม่ถูกต้องอยู่เสมอ แต่ก็บอกไม่ถูกอีกว่าไม่ถูกต้องตรงไหนใช่ไหม ก็เลยได้แต่อดกลั้นเอาไว้ และข้อสงสัยที่ไม่ใหญ่ไม่เล็กนี้ ดูเหมือนว่าดื่มเหล้าไปก็ไร้ประโยชน์ ถึงขั้นยังไม่อาจนำไปพูดกับใครได้ด้วย”

เฉินผิงอันเบิกตากว้าง ประโยคนี้ของเว่ยป้อตรงใจเขาอย่างยิ่ง!

แต่เว่ยป้อกลับยังมีท่าทีเกียจคร้านอยู่ดังเดิม เขาแหงนหน้ามองดวงจันทร์ “ในใจของคนคนหนึ่งจำเป็นต้องมีตะวันจันทรา”

เว่ยป้อหรี่ตาลง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “จะขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไปไม่ได้”

เฉินผิงอันจมสู่ภวังค์ของความคิด

เว่ยป้อหันหน้ามายิ้มให้ “ในเมื่อทิศทางใหญ่ไร้ข้อผิดพลาด ก็แค่อาจต้องทุกข์ทรมานเท่านั้น แล้วจะต้องกลัวอะไร? เจ้าเฉินผิงอันยังกลัวความยากลำบากอีกหรือ? ทำไม ไม่เหมือนกับปีนั้นที่ไม่มีอะไรเลย ดูเหมือนว่าจู่ๆ พอเริ่มมีความหวังในชีวิตขึ้นมาก็เริ่มมีภาระของผู้ที่แข็งแกร่งแล้วอย่างนั้นหรือ? ไม่สู้เจ้าใช้วิธีการที่โง่เง่าที่สุดมาตรวจสอบตัวเองดู ข้อแรก การใช้เหตุผลไม่เคยเป็นเรื่องร้าย ใช้เหตุผลดีๆ ก็ยิ่งเป็นสิ่งที่หาได้ยาก ข้อสอง ตอนนี้รู้สึกว่าหลักการเหตุผลขัดขวางการออกหมัดและออกกระบี่ของเจ้า ก็อย่าได้สงสัยว่า ‘ข้อแรก’ ของตนนั้นผิด นี่บอกได้แค่ว่าเจ้ายังทำได้ไม่ดีพอ หลักการเหตุผลยังไม่กระจ่างชัดมากพอ อีกทั้งการออกกระบี่และออกหมัดของเจ้าในเวลานี้ก็ยังคงไม่เร็วพออยู่ดี”

ดวงตาของเฉินผิงอันฉายประกายสดใสเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน แต่ก็ได้แค่ยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “พูดง่ายแต่ทำยากน่ะสิ”

เว่ยป้อแบมือ “นั่นเป็นเรื่องของเจ้า ไม่เกี่ยวอะไรกับข้านี่นา”

เฉินผิงอันพลันยิ้มอย่างผ่อนคลาย “ฟังคำพูดของท่านเพียงไม่นาน แต่ได้ประโยชน์กว่าอ่านตำราสิบปีเสียอีก”

เว่ยป้อจุ๊ปากพูด “ไม่เสียแรงที่เป็นเจ้าของภูเขาประจบสอพลอ”

เฉินผิงอันหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “เจ้าเองก็มองภูเขาลั่วพั่วแบบนี้เหมือนกันหรือ?”

เฉินผิงอันรีบลดเสียงหัวเราะลงทันที หลีกเลี่ยงไม่ให้ดังรบกวนคนในห้องหลัก

เว่ยป้อพลันเอ่ยขึ้นว่า “เกี่ยวกับเรื่องการเลื่อนขั้นของบิดากู้ช่าน อันที่จริงราชสำนักต้าหลีโต้เถียงกันดุเดือดมาก ตำแหน่งไม่ใหญ่ แรกเริ่มสุดทางกรมพิธีการอยากจะเลื่อนเทพหยินเจ้าของจวนผู้นี้ขึ้นเป็นเทพอภิบาลเมืองของมณฑล แต่นายท่านผู้เป็นเสาหลักของแคว้นอย่างเฉาหยวนย่อมไม่ยินยอมอยู่แล้ว ดังนั้นกรมอาญาและกรมครัวเรือนจึงจับมือกันอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อนเพื่อเล่นงานกรมพิธีการ ส่วนตอนนี้ก็มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอีก กรมขุนนางของผู้เฒ่าตระกูลกวนก็จะเข้ามาเหยียบน้ำขุ่นบ่อนี้ด้วย คิดไม่ถึงว่าเทพอภิบาลเมืองของมณฑลเล็กๆ แห่งหนึ่งจะชักนำให้เกิดน้ำวนลูกใหญ่ขนาดนี้ขึ้นในราชสำนัก กลุ่มอิทธิพลแต่ละฝ่ายพากันเข้ามามีส่วนร่วม เห็นได้ชัดว่าไม่ว่าใครก็ไม่ยินดีให้อ๋องเจ้าเมืองและราชครูชุยฉาน หรือมากสุดคือเพิ่มเหนียงเนียงในวังหลวงผู้นั้นเข้ามา กลายเป็นว่าพวกเขาสามคนปรึกษากันก็จบเรื่องแล้ว”

เฉินผิงอันตบม้านั่งยาวใต้ก้นของตัวเอง ถามหยั่งเชิงว่า “เพื่อตำแหน่งที่ว่างอยู่ตำแหน่งนั้นน่ะหรือ?”

เว่ยป้อพยักหน้ารับ “เป็นเพราะถ่วงเวลามานานเกินไปแล้วจริงๆ เดิมทีก็ไม่สอดคล้องกับกฎระเบียบ ดังนั้นกองทัพม้าเหล็กสามกองที่อยู่ภาคกลางของแจกันสมบัติทวีปถึงได้มีคนบางคนเกิดหวั่นไหวขึ้นมาแล้ว”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ข้าไม่สนใจเรื่องพวกนี้”

เว่ยป้อยิ้มกล่าว “พูดเรื่องพวกนี้กับเจ้าก็แค่อยากจะสอนให้เจ้ารู้ว่าทุกบ้านล้วนมีคัมภีร์ที่อ่านยาก ไม่ได้มีแค่เจ้าเฉินผิงอันคนเดียวเท่านั้นที่ยากลำบาก”

เฉินผิงอันเอ่ย “เจ้าหยุดทำตัวเป็นคนยืนพูดไม่ปวดเอวเสียทีเถอะ”

เว่ยป้อชำเลืองตามองเฉินผิงอัน “เจ้าเป็นคนที่นั่งอยู่ ยังกล้ามาตำหนิข้าที่ยืนอยู่อย่างนั้นหรือ?”

เว่ยป้อยืดตัวขึ้นยืนตรง “เอาล่ะ คุยกันแค่นี้พอ ทางฝั่งของแม่น้ำเถี่ยฝู เจ้าไม่ต้องสนใจ ข้าจะคอยควบคุมนางเอง”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ

—–

กระบี่จงมา Sword of Coming

กระบี่จงมา Sword of Coming

Status: Ongoing
” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์  ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์  หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า  แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “
เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา
เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม
และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง
ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้
–ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท