กระบี่จงมา Sword of Coming – บทที่ 477.3 น้ำในนทีใสกระจ่าง จันทราใกล้ชิดคน

บทที่ 477.3 น้ำในนทีใสกระจ่าง จันทราใกล้ชิดคน

ทั้งที่รู้ดีว่าเทพวารีที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างถูกต้องท่านหนึ่งมาเยือน ชายฉกรรจ์คนนั้นก็ยังไม่แม้แต่จะชายตามอง

กลับเป็นคนจิ๋วชุดสีชาดที่ร่างมีขนาดเท่าฝ่ามือที่รีบกระโดดลุกขึ้นยืน เอาสองมือเกาะขอบกระถางธูป พูดเสียงดังว่า “ท่านเทพวารี เหตุใดวันนี้ถึงได้นึกถึงแมลงที่น่าสงสารอย่างพวกเราสองคนได้เล่า มานั่งๆๆ ไม่ต้องเกรงใจ คิดเสียว่าได้กลับมาบ้านของตัวเอง สถานที่แม้จะเล็ก ควันธูปก็บางเบา แม้แต่ผลไม้สักถาดและชาร้อนๆ สักถ้วยก็ยังไม่มี นับว่าละเลยท่านเทพวารีจริงๆ แล้ว ขอภัยด้วย ขออภัย…”

ชายฉกรรจ์ยกฝ่ามือข้างหนึ่งกดให้เด็กจิ๋วชุดสีชาดผลุบจมลงไปในกองขี้เถ้า มันจะได้ไม่ต้องพูดมากชวนรำคาญหูต่อ

เทพวารีชุดดำไปยกเก้าอี้ผุพังตัวหนึ่งมาจากมุมกำแพงที่อยู่ห่างไปไกล พอนั่งลงแล้วก็ชำเลืองตามองเจ้าตัวน้อยที่โผล่หัวออกมาจากกระถางธูป ยิ้มถามว่า “เรื่องใหญ่ขนาดนี้ก็ยังไม่ยอมบอกให้เจ้าตัวน้อยที่มีชีวิตพึ่งพาอยู่กับเจ้าฟังสักคำหรือ?”

ชายฉกรรจ์เอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ยังไม่มีอะไรแน่นอนไม่ใช่หรือ จะพูดทำผายลมอะไร”

เทพวารีชุดดำหยิบพัดพับออกมาตบลงบนที่วางแขนเก้าอี้เบาๆ ยิ้มกล่าวว่า “นั่นก็มีแค่ความต่างระหว่างเรื่องน่ายินดีใหญ่กับเรื่องน่ายินดีเล็ก เจ้าก็ช่างอดทนได้ดีนัก”

ชายฉกรรจ์นั่งอยู่บนเก้าอี้เย็นๆ ตัวนี้มานานหลายปีแล้ว ไม่เคยมีหวังว่าจะได้เลื่อนตำแหน่ง แน่นอนว่าต้องมีเหตุผล ไม่อย่างนั้นถึงอย่างไรก็ควรจะได้เป็นเทพอภิบาลเมืองของอำเภอไปแล้ว คนรู้จักเก่าหลายคนในอดีต ตอนนี้ต่างก็มีชีวิตที่ไม่เลว จะโทษที่เด็กจิ๋วควันธูปชุดสีชาดจะเอาแต่พร่ำบ่นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เวลาไม่มีอะไรทำก็ไปนั่งเหม่ออยู่บนหลังคาศาล รอคอยตาปริบๆ ให้มีขนมเปี๊ยะจากฟ้าหล่นลงมาใส่หัวไม่ได้ ชายฉกรรจ์พูดประโยคหนึ่งด้วยสีหน้าเฉยเมย “ผ่านมานานหลายปีขนาดนี้แล้ว ขนาดฉี่ที่ดื่มไม่เหลือไอร้อน (เป็นคำพูดเสียดสีแสดงให้เห็นถึงความไม่พอใจผู้อื่น หรืออาจกล่าวถึงคนที่ทำอะไรชักช้า อืดอาด) ข้าผู้อาวุโสยังไม่เคยพูดอะไร จะขาดไปแค่ไม่กี่วันนี่ไม่ได้เลยหรือ?”

คำพูดแบบนี้ ใครได้ยินแล้วจะสบายใจบ้าง?

เด็กชุดสีชาดเหลือกตามองบน โกหกกระมัง เรื่องน่ายินดีงั้นหรือ? เรื่องน่ายินดีจะหล่นใส่หัวนายท่านของตนได้หรือไร? ลำพังศาลเล็กเก่าโทรมแห่งนี้ หากหลังจากนี้ยังสามารถรักษาสถานะศาลเทพแห่งผืนดินเอาไว้ได้ มันก็ควรจะวิ่งไปจุดธูปที่ศาลเทพภูเขา ศาลเทพวารีและศาลเทพอภิบาลเมืองทั้งหมดให้ถ้วนทั่วแล้ว ตอนนี้มันตัดใจได้อย่างสิ้นเชิงแล้วจริงๆ ขอแค่ไม่ต้องถูกคนขับไล่ออกจากศาล ทำให้มันต้องแบกกระถางธูประหกระเหเร่ร่อนไปทั่ว ก็ถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดีที่ใหญ่เทียมฟ้าแล้ว ตอนนี้ศาลเทพอภิบาลเมืองแห่งต่างๆ ล้วนมีการกระจายข่าวอย่างหนึ่งต่อๆ กันไปลับๆ บอกว่าหลังจากที่เขตการปกครองหลงเฉวียนได้เลื่อนขั้นเป็นมณฑล องค์เทพน้อยใหญ่ตลอดทั้งบนและล่างล้วนต้องถูกจัดระเบียบใหม่อีกหนึ่งรอบ ครั้งนี้แม้แต่แผนทรมานตัวเองมันก็ยังเอาออกมาใช้แล้ว แต่นายท่านก็ยังไม่ยอมย้ายบ้าน ไม่ยอมไปร่วมงานเลี้ยงท่องราตรีที่องค์เทพขุนเขาเหนือจัดขึ้น นี่ถึงทำให้ผู้คนพากันพูดว่าภูเขาหมั่นโถวจบเห่แล้ว ทำให้มันต้องอกสั่นขวัญผวาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ใจนึกอยากจะตายไปพร้อมๆ กับนายท่านเสียเลย ชาติหน้าจะได้พยายามช่วงชิงไปเกิดในครรภ์ที่ดีให้จงได้

เทพวารีชุดดำมีสีหน้าจนใจ “คนอื่นไม่ต้องพูดถึง เจ้าไม่แยแสพวกเขาก็แล้วไปเถิด แต่พวกเรารู้จักกันมากี่ปีแล้ว หากจะเรียกว่าเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมยากก็คงไม่มากเกินไปกระมัง? วันที่ศาลของข้าถูกสร้างขึ้น เจ้าก็จะไม่ไปงั้นหรือ?”

ชายฉกรรจ์เอ่ย “ข้าไปแล้วเจ้าก็จะยิ่งเห็นในความดีของข้า? ความสัมพันธ์ของพวกเราก็ยังคงใหญ่แค่ก้นอยู่ดีไม่ใช่หรือ ถึงอย่างไรการไปร่วมแสดงความยินดีถึงบ้านก็ควรจะมีของขวัญติดไม้ติดมือไปบ้างกระมัง ข้าผู้อาวุโสไม่มีเงิน ไม่คิดจะทำเรื่องที่ตบหน้าตัวเองให้กลายเป็นคนอ้วนหรอก”

เด็กชุดสีชาดโมโหทันควัน ถลันลุกขึ้นยืน สองมือเท้าเอวฉับ แหงนหน้าถลึงตาใส่นายท่านของตัวเอง “มารดาเจ้ากินดีหมีหัวใจเสือมาหรือไร? ทำไมพูดจากับท่านเทพวารีแบบนี้?! เจ้าคนโง่ไม่รู้จักดีชั่ว รีบขอโทษท่านเทพวารีเดี๋ยวนี้เลยนะ!”

ชายฉกรรจ์เหล่ตามองมันหนึ่งที

เด็กจิ๋วชุดแดงน้ำตาคลอเจียนหยด หันหน้าไปมองเทพวารีชุดดำ ต้องใช้พลังไปไม่น้อยกว่าจะเค้นน้ำตาสองสามหยดออกมาได้ “ท่านเทพวารี ท่านเองก็รู้จักกับนายท่านของข้ามานานแล้ว ขอร้องท่านช่วยข้าเกลี้ยกล่อมเขาหน่อยเถอะ หากยังเป็นอย่างนี้ต่อไป แม้แต่ขี้เถ้าก็คงไม่มีให้ข้ากินแล้ว ชีวิตข้าช่างรันทดนัก…”

เทพวารีชุดดำเอ่ยหยอกล้อ “ใช่ว่าจะไม่มีศาลเทพอภิบาลเมืองที่ใดเชื้อเชิญให้เจ้าย้ายบ้านเสียหน่อย คนมากมายอยากให้เจ้าไปอยู่อาศัยในเรือนใหญ่โตโอ่อ่า อยู่ในกระถางธูปใบใหญ่ แม้แต่กรอบป้ายก็ยังให้เจ้าเลือกได้ตามใจชอบ ช่างเป็นโชควาสนาที่ยิ่งใหญ่นัก ในเมื่อรู้ว่าตัวเองมีชีวิตรันทด แล้วทำไมถึงไม่ใช้ชีวิตให้สุขสบายเล่า จะมาฝืนทนอยู่ที่นี่ ไม่มีวันได้ลืมตาอ้าปากไปไย”

เด็กจิ๋วชุดแดงตบหน้าอกตัวอย่างอย่างแรง ไม่ได้กะกำลังให้ดี ตัวเองจึงสำลักพ่นควันธูปออกมาเต็มปาก หลังจากไออยู่สองสามทีก็พูดเสียงก้องกังวานว่า “นี่เรียกว่าความทระนงในศักดิ์ศรี!”

พูดจาวางโตจบแล้ว ท้องก็เริ่มร้องโครกคราก เด็กจิ๋วชุดสีชาดรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย เตรียมจะปีนออกจากกระถางธูป ข้าผู้อาวุโสไปกินลมตะวันออกเฉียงเหนือเอาก็ได้ (เปรียบเปรยว่าไม่มีอะไรให้กินจนต้องได้แต่กินลมแทน) ไม่อยู่ให้เกะกะสายตาสหายสุนัขจิ้งจอกอย่างพวกเจ้าสองคนแล้ว

คิดไม่ถึงว่าชายฉกรรจ์จะหยิบธูปแม่น้ำภูเขาก้านหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ ถูสองนิ้วเข้าด้วยกัน สะเก็ดไฟก็ลุกพรึ่บ แน่นอนว่าต้องเป็นธูปประเภทที่คุณภาพเลวร้ายราคาถูกที่สุด จากนั้นก็โยนเข้าไปในกระถางธูปอย่างง่ายๆ เด็กจิ๋วชุดแดงกระโจนเข้าใส่ ปากก็บ่นไปด้วยว่าหมูยังกินดีกว่านี้เลย แต่ก็รีบขยับตัวนั่งอยู่ท่ามกลางกองขี้เถ้า ยกสองมือประคองธูปก้านนั้นแล้วแทะราวกับแทะอ้อย โคลงศีรษะไปมา ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มมีความสุข

เทพวารีชุดดำหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง แล้วก็เริ่มคลี่พัด ลมเย็นโชยมาเป็นระลอก ไอน้ำแผ่อบอวล ทำให้จิตใจคนโล่งสบายปลอดโปร่ง

ชายฉกรรจ์ลังเลอยู่เล็กน้อยก็พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “รบกวนเจ้าฝากไปบอกเว่ยป้อและใต้เท้าหลางจงกรมพิธีการที่เจ้าคุ้นเคยคนนั้นหน่อยว่า หากไม่ใช่เทพอภิบาลเมืองของมณฑล เป็นแค่เทพอภิบาลเมืองเขตการปกครองหรือเทพอภิบาลเมืองอำเภออะไร ก็อย่ามาหาข้าเลย ข้าจะอยู่ที่นี่ต่อนั่นแหละ”

เทพวารีชุดดำขมวดคิ้ว “จะเอาแบบนี้จริงๆ หรือ?”

ชายฉกรรจ์เกาหัว สีหน้าเลื่อนลอยมองไปยังกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวกรากอยู่นอกศาล

เทพวารีชุดดำเอ่ยสัพยอก “เจ้าสนิทกับเว่ยป้อขนาดนั้น หากข้าจำไม่ผิด ปีนั้นก็เคยมีบุญคุณยิ่งใหญ่ต่อเขาและสตรีที่น่าสงสารผู้นั้นด้วย เหตุใดถึงไม่ไปพูดกับเขาเองเล่า?”

ชายฉกรรจ์แค่นเสียงหยัน “ก็แค่ทำเรื่องที่ไม่ผิดต่อมโนธรรมในใจตัวเองเท่านั้น จะถือเป็นบุญคุณอะไรได้? จะต้องให้คนอื่นตอบแทนให้ได้เลยหรือ? ถ้าอย่างนั้นข้าจะต่างอะไรกับพวกคนที่มัวแต่ยุ่งอยู่กับการพยายามเลื่อนขั้น หาทางรวยเพื่อเพิ่มควันธูป? เรื่องของเทพอภิบาลเมืองแห่งใหม่นี้ ไม่ใช่ข้าที่เป็นคนไปขอร้องต้าหลีเสียหน่อย ถึงอย่างไรข้าก็ป่าวประกาศไปแล้ว สุดท้ายเลือกใครก็เหมือนกันอยู่ดีไม่ใช่หรือ? เลือกข้าอาจจะไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป แต่ไม่เลือกข้าก็ยิ่งไม่ใช่เรื่องร้าย ข้าไม่อยากทำให้ใครลำบากใจทั้งนั้น”

เทพวารีชุดดำพยักหน้ารับ “ก็ได้ ข้าได้แต่ช่วยนำความไปบอกเท่านั้น เรื่องอื่นเจ้าก็คงต้องภาวนาให้ตัวเองโชคดีแล้วล่ะ หากสำเร็จก็ยังพูดง่าย แต่ข้าว่ายาก หากไม่สำเร็จ เจ้าก็คงหนีไม่พ้นต้องถูกเทพอภิบาลเมืองมณฑลคนใหม่หาเรื่องเล่นงาน บางทีอาจไม่ต้องให้เขาลงมือเองด้วยซ้ำ ถึงเวลานั้นเทพอภิบาลเมืองของเขตการปกครองและอำเภอย่อมต้องขยันหมั่นเพียร หาเรื่องกระทบกระเทียบเจ้าทุกครั้งที่มีโอกาสแน่นอน”

ชายฉกรรจ์ทำสีหน้าไม่แยแส

ถึงอย่างไรศาลบุ๋นบู๊นั้นก็ไม่จำเป็นต้องพูดมาก ย่อมต้องตั้งบูชาบรรพบุรุษสองสกุลอย่างเฉาหยวนอยู่แล้ว ส่วนสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งแม่น้ำและภูเขาน้อยใหญ่ที่เหลือก็ล้วนต้องเรียงตามลำดับขั้นตอน ลำคลองหลงซวี แม่น้ำเถี่ยฝู ภูเขาลั่วพั่ว ภูเขาเฟิงเหลียง ถ้าเช่นกันก็จะเหลือเก้าอี้เทพอภิบาลเมืองว่างอยู่สองตำแหน่ง บวกกับศาลเทพอภิบาลเมืองมณฑลที่หลังจากได้เลื่อนขั้นเป็นมณฑลแล้ว เทพอภิบาลเมืองใหม่สามท่านที่ยังไม่ปรากฏว่าจะเป็นใครนี้จึงกลายเป็นขนมหวานสามชิ้นที่พอจะปรึกษาหารือและลงมือจัดการได้ สองแซ่อย่างเฉาหยวนย่อมต้องยึดครองหนึ่งในสามตัวเลือกนี้อย่างแน่นอน แค่ช่วงชิงกันว่าจะมีคำต่อท้ายว่ามณฑล เขตการปกครองหรืออำเภอก็เท่านั้น ไม่มีใครกล้าแย่งชิงกับพวกเขา ถึงอย่างไรสองแม่ทัพหลักของกองทัพใหญ่สองในสามกองของเหล็กต้าม้าหลีที่กรีฑาทัพลงใต้ก็คือเฉาผิงและซูเกาซาน คนหนึ่งคือลูกหลานสกุลเฉา อีกคนหนึ่งคือผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจในกองทัพแทนคนสกุลหยวน สกุลหยวนมีพระคุณยิ่งใหญ่ต่อซูเกาซานที่มีชาติกำเนิดจากกองทัพชายแดนยากจน ไม่ใช่แค่ครั้งเดียวเท่านั้น อีกทั้งจนถึงทุกวันนี้ซูเกาซานก็ยังอาลัยอาวรณ์คุณหนูสกุลหยวนผู้นั้นอยู่มิคลาย ดังนั้นถึงได้ถูกวงการขุนนางของต้าหลีเรียกว่าลูกเขยสกุลหยวนครึ่งตัว

เรื่องนี้เกี่ยวพันไปถึงเส้นสายวงการขุนนางที่ซับซ้อน จำเป็นต้องให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายร่ายใช้เวทอภินิหารของใครของมันกันเอาเอง

เด็กจิ๋วชุดสีชาดที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตา ‘แทะอ้อย’ เติมเต็มท้องของตัวเองเงยหน้าขึ้น ถามอย่างมึนงงว่า “เมื่อครู่นี้พวกเจ้าพูดเรื่องอะไรกันนะ?”

ชายฉกรรจ์พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “กำลังคิดว่าพ่อแม่ของเจ้าคือใคร”

จากนั้นเทพวารีก็เริ่มเล่าถึงลูกค้าที่มาเยือนร้านของตนก่อนหน้านี้ แล้วพูดให้ฟังถึงการคาดเดาของตัวเอง

ชายฉกรรจ์มีสีหน้าเคร่งเครียด

เด็กจิ๋วชุดสีชาดที่กินอิ่มแล้วก็พลันอารมณ์ดี ส่งเสียงเรอหนึ่งทีก่อนจะพูดกลั้วหัวเราะคิกคัก “เจ้าอย่าว่าไปเชียวนะ ข้าเพิ่งได้รู้จักกับสหายคนหนึ่งของเขตการปกครองหลงเฉวียน ก่อนหน้านี้ข้าไปเที่ยวเล่นแถวเมืองหงจู๋ใช่ไหมล่ะ แต่คราวนี้เดินไกลไปหน่อย ไปถึงแถบภูเขาฉีตุนโน่น เลยได้เจอแม่นางสองคน หนึ่งเด็กหนึ่งผู้ใหญ่ บอกว่ารอคอยคนอยู่ที่นั่น คนหนึ่งนั้นหน้าตางดงามจริงๆ ส่วนอีกคนหนึ่ง…เอาเถอะ ไม่ใช่ว่าข้าสนิทสนมกับพวกนางแล้วจะพูดจาผิดต่อมโนธรรมในใจตัวเองได้ ก็คือนางไม่ได้หน้าตาดีขนาดนั้น เพียงแต่ข้ากลับสนิทกับนางมากกว่า รู้สึกถูกชะตาด้วยเป็นพิเศษเลยละ นางตื๊อถามข้าอยู่ได้ว่าที่ไหนมีรังผึ้งใหญ่ที่สุด ดีเลย เรื่องนี้ข้าถนัด ก็เลยพาพวกนางไป รังผึ้งรังใหญ่ที่อยู่ตรงปากบ่อใกล้จะกลายเป็นภูตกันได้อยู่แล้ว ผลเป็นอย่างไรพวกเจ้าลองเดาดูสิ แม่นางทั้งสองถูกผึ้งรังใหญ่ไล่ตอม ถูกต่อยจนกลายเป็นหัวหมูสองหัว ข้าขำจะตาย แน่นอนว่าตอนนั้นข้าก็สงสารพวกนางมากจริงๆ เลยต้องเช็ดน้ำตาอยู่หลายที แต่พวกนางเองก็มีคุณธรรม ไม่เพียงแต่ไม่โทษข้าที่เป็นคนนำทาง ยังเชื้อเชิญให้ข้าไปเป็นแขกที่ภูเขาลั่วพั่วอะไรด้วย เจ้าถ่านดำน้อยที่สนิทกับข้าคนนั้นมีคุณธรรม มีบารมีอำนาจเป็นพิเศษ นางบอกว่านางคือลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของอาจารย์ ขอแค่ข้าไปที่ภูเขาลั่วพั่วก็จะมีของกินดีๆ ของเล่นดีๆ รออยู่”

ชายฉกรรจ์คว้าจับจุดสำคัญได้ทันใด ขมวดคิ้วมุ่นถามว่า “ด้วยความกล้าน้อยนิดแค่นี้ของเจ้าก็ยังกล้าไปเจอคนเป็นๆ ด้วยรึ?!”

เด็กจิ๋วชุดสีชาดเอ่ยอย่างขุ่นเคือง “ตอนนั้นข้าหลบอยู่ใต้ดินต่างหาก แต่กลับถูกเจ้าถ่านดำน้อยนั่นใช้ไม้ไผ่ทิ่มลงมา บอกว่าหากยังกล้าทำตัวลับๆ ล่อๆ นางก็จะใช้วิชาตระกูลเซียนฆ่าข้าให้ตาย ภายหลังข้าถึงเพิ่งรู้ว่าตัวเองหลงกลนาง นางเพียงแค่มองเห็นข้า แต่ไม่มีความสามารถมากพอจะลากข้าออกไป เฮ้อ ก็ดีเหมือนกัน หากไม่ตีกันคงไม่ได้รู้จักกัน พวกเจ้าไม่รู้อะไร แม่นางน้อยที่มองดูเหมือนถ่านดำผู้นั้นมีความรู้กว้างขวาง สถานะสูงศักดิ์ พรสวรรค์เลิศล้ำ ตระกูลร่ำรวยเงินทอง เปี่ยมไปด้วยความองอาจแห่งยุทธภพ…”

เด็กจิ๋วชุดสีชาดทำสีหน้าเลื่อมใส แล้วจู่ๆ ก็พลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ มันที่นั่งอยู่ในกองขี้เถ้าธูปออกแรงเต็มกำลังโยนเหรียญทองแดงเหรียญหนึ่งที่ชาวบ้านใช้กันออกมา “เห็นหรือยัง นี่คือค่านำทางที่นางมอบให้ข้า ใจกว้างมากเลยใช่ไหมล่ะ? พวกเจ้ามีเพื่อนแบบนี้ไหม?”

ชายฉกรรจ์หัวเราะหยัน “เป็นเงินร้อนน้อยหรือเงินฝนธัญพืชล่ะ? เจ้าเอาขยับมาใกล้ๆ ให้ข้าได้มองชัดๆ หน่อยสิ”

เด็กจิ๋วชุดแดงเอาเหรียญทองแดงกลับไปซ่อนไว้อีกครั้ง ตวัดตามองค้อนอีกฝ่าย “นางบอกแล้วว่า ในฐานะคนบนภูเขาที่ต้องคบค้าสมาคมกับเงินเทพเซียนอยู่ตลอดทั้งปี มอบเงินเทพเซียนพวกนั้นดูดาษดื่นเกินไป ข้ารู้สึกว่านางมีเหตุผล!”

เทพวารีชุดดำโบกพัด ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “มีเหตุผลมากจริงๆ”

ชายฉกรรจ์คร้านจะสนใจเจ้าตัวน้อยที่สมองไม่สมประกอบผู้นี้อีก

……

ท่ามกลางม่านราตรี

ริมตลิ่งแม่น้ำเถี่ยฝู

มือดาบชุดเขียวเดินอยู่เพียงลำพัง

ในถ้ำสวรรค์เล็กหลีจูในอดีต พื้นที่มงคลหลีจูในปัจจุบัน กฎเกณฑ์ที่อริยะหร่วนเป็นผู้ตั้งล้วนใช้ได้ผลเสมอ

ทอดสายตามองไปในผืนป่ากว้าง นภากาศคล้ายอยู่ต่ำยิ่งกว่าแมกไม้ น้ำในนทีใสกระจ่าง จันทราใกล้ชิดคน

ขยับเข้าไปใกล้ศาลเทพวารีแห่งนั้น

สตรีที่กอดกระบี่ยาวห้อยพู่สีทองนางหนึ่งปรากฏตัวอยู่บนถนน มองกระบี่ยาวที่สะพายอยู่ด้านหลังของผู้มาเยือน ดวงตาของนางฉายประกายร้อนแรง เอ่ยถามว่า “เฉินผิงอัน ข้าสามารถใช้สถานะของมือกระบี่ประลองฝีมือกับเจ้าสักครั้งได้หรือไม่?”

เฉินผิงอันมองอดีตสาวใช้ผู้ถือกระบี่ที่อยู่ข้างกายเหนียงเนียงในวังหลวงผู้นั้น ปัจจุบันกลายมาเป็นหนึ่งในองค์เทพวารีที่ระดับขั้นสูงสุดของต้าหลีแวบหนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยว่า

“ข้ากลัวว่าจะฆ่าเจ้าตาย”

—–

กระบี่จงมา Sword of Coming

กระบี่จงมา Sword of Coming

Status: Ongoing
” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์  ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์  หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า  แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “
เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา
เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม
และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง
ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้
–ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท