เฉินผิงอันเพียงแค่มองประเมินไม่กี่ครั้งก็หลีกทางให้
ท่องอยู่ในยุทธภพมานานแล้ว เรื่องราวแปลกประหลาดมากมายเกี่ยวกับการฝึกตนบนภูเขา ความสารพัดหลากหลายของราชวงศ์ในโลกมนุษย์ พบเห็นมาบ่อยแล้ว สายตาจึงพอมีแววอยู่บ้าง เรื่องที่ประหลาดจึงไม่ประหลาดอีกต่อไป
ขบวนรถนี้มีทั้งสถานะของตระกูลขุนนางแคว้นซูสุ่ย แล้วก็มีทั้งองค์รักษ์ติดอาวุธเบาคอยคุ้มกัน ตรงหลังของพวกเขาสะพายธนู ตรงเอวห้อยดาบ ส่วนปลายของถุงใส่ลูกธนูมองดูคล้ายหิมะสีขาวที่รวมกันอยู่เป็นก้อน แล้วก็มีเด็กรุ่นหลังในยุทธภพที่ท่วงท่าสุขุมหนักแน่น ห้อยดาบไปในทางตรงกันข้าม
วิธีการพกดาบที่เป็นเอกลักษณ์ของหมู่บ้านเหิงเตาทำให้คนจดจำได้อย่างลึกซึ้ง
หนึ่งในนั้นคือชายฉกรรจ์ร่างกำยำที่ด้านหลังสะพายธนูเขาวัวคันมโหฬาร ซึ่งเฉินผิงอันรู้จักเขาดี คนผู้นี้มีนามว่าหม่าลู่ ปีนั้นตอนที่อยู่ในศาลาริมน้ำตกของหมู่บ้านวารีกระบี่ ข้ารับใช้ของหวังซานหูผู้นี้เกิดข้อพิพาทกับตน จึงถูกหวังอี้หรานตวาดตำหนิเสียงดัง ในเรื่องของคำสั่งสอนประจำตระกูลหมู่บ้านเหิงเตานั้นไม่นับว่าเลว หวังอี้หรานมีหน้ามีตาอย่างทุกวันนี้ได้ หาใช่พึ่งพาหานหยวนซ่านอย่างเดียวไม่
ในเมื่อเฉินผิงอันรู้เรื่องการค้าระหว่างหมู่บ้านวารีกระบี่กับหานหยวนซ่านแล้ว บวกกับที่การประลองกระบี่ของซูหลางเจออุปสรรค อันที่จริงสถานการณ์ใหญ่ของหมู่บ้านก็ถือว่ามั่นคงดีแล้ว ต่อให้จำอีกฝ่ายได้ เฉินผิงอันก็ยังคงไม่ทำอะไรมาก ไม่เพียงแต่หลีกทางให้ ยังเป็นฝ่ายเดินเข้าไปในผืนป่าที่ห่างไปไกลช้าๆ มองดูคล้ายจอมยุทธพเนจรคนหนึ่งที่พอเห็นคนของทางการแล้วก็ยอมอ่อนข้อให้หนึ่งส่วน
หม่าลู่ที่ทำหน้าที่เป็นผู้ติดตามปฏิบัติหน้าที่ด้วยความจงรักภักดี ชำเลืองตามองคนที่ผ่านทางมาผู้นั้น สำรวจอีกฝ่ายอย่างละเอียดไปคำรบหนึ่งก็ไม่เก็บเอามาใส่ใจอีก
ในรถม้าคันหนึ่งมีสตรีนั่งอยู่ด้วยกันสามคน สตรีแต่งงานแล้วคนหนึ่งคือภรรยาเอกของฉู่หาว บุตรสาวสายตรงของผู้นำแห่งยุทธภพแคว้นซูสุ่ยคนก่อน ชั่วชีวิตนี้นางมองหมู่บ้านวารีกระบี่และตระกูลซ่งเป็นศัตรูคู่แค้น ปีนั้นฉู่หาวนำทัพใหญ่ของราชสำนักไปล้อมปราบสกุลซ่ง ก็เป็นฉู่ฮูหยินผู้นี้ที่มีคุณความชอบคอยผลักดันอยู่เบื้องหลัง
และยังมีสตรีอีกสองคนที่อายุน้อยกว่า แต่พวกนางต่างก็แต่งกายและทำทรงผมของสตรีที่ออกเรือนแล้ว คนหนึ่งแซ่หาน มีใบหน้าเหมือนเด็ก ยังแฝงความอ่อนเยาว์ไว้หลายส่วน คือน้องสาวของหานหยวนซ่าน นามว่าหานหยวนเสวี๋ย ในฐานะลูกหลานสกุลหานแห่งภูเขาเสี่ยวฉง หานหยวนเสวี๋ยจึงแต่งงานกับบัณฑิตผู้หนึ่งที่ทำหน้าที่เป็นผู้แก้ไขงานด้านเอกสารอยู่นานสามปี ระดับตำแหน่งไม่สูง แค่ระดับหกชั้นโท แต่ถึงอย่างไรก็เป็นขุนนางผู้สูงศักดิ์ของสำนักฮั่นหลิน อีกทั้งยังเขียนถ้อยคำสดุดีในงานพิธีการทางศาสนาได้อย่างไพเราะ ฮ่องเต้ที่เลื่อมใสในลัทธิเต๋าจึงโปรดปรานเขามากเป็นพิเศษ แล้วยังมีที่พึ่งใหญ่อย่างสกุลหานแห่งภูเขาฉงซานนี่อีก เส้นทางอนาคตจึงถูกกำหนดมาแน่นอนแล้วว่าต้องถูกปูด้วยผ้าแพร
สตรีสาวแต่งงานแล้วอีกคนหนึ่งเปี่ยมไปด้วยมาดของความองอาจห้าวหาญ นางคือบุตรีโทนของหวังอี้หราน หวังซานหู เมื่อเทียบกับหานหยวนเสวี๋ยที่เป็นสตรีจากตระกูลขุนนางแล้ว บุรุษที่หวังซานหูแต่งงานด้วยนั้นคือบุรุษที่อายุสิบแปดปีก็สอบติดเป็นทั่นฮวา ว่ากันว่าหากไม่เป็นเพราะฮ่องเต้ไม่ชอบเด็กอัจฉริยะถึงได้ผลักอันดับของเขาไปอีกสองอันดับแล้วล่ะก็ เขาย่อมได้เป็นจ้วงหยวนโดยตรง ตอนนี้ก็เป็นเจ้าเมืองเขตการปกครองหนึ่งของแคว้นซูสุ่ยแล้ว ในวงการขุนนางที่ฮ่องเต้แต่ละยุคสมัยต่างก็ผลักไสเด็กอัจฉริยะนี้ การที่ได้เป็นขุนนางใหญ่ของเขตการปกครองด้วยวัยเพียงสามสิบปีก็ถือว่าหาได้ยากมากแล้ว และตอนนี้อาณาเขตที่สามีของหวังซานหูให้การดูแลก็คือเขตการปกครองชิงซงที่อยู่ติดกับหมู่บ้านวารีกระบี่พอดี อยู่มณฑลเดียวกัน แต่คนละเมืองก็เท่านั้น
การที่ครั้งนี้สตรีทั้งสามคนได้มาพบเจอกัน ฉู่ฮูหยินนั้นเดินทางจากเมืองหลวงมาเพื่อร่วมความครึกครื้นโดยเฉพาะ นางอยากเห็นกับตาตัวเองว่าหลังจากซูหลางมาประลองกระบี่ด้วยแล้ว ชื่อเสียงของหมู่บ้านวารีกระบี่ในยุทธภพก็จะร่วงดิ่งลงเหวทันที ส่วนหวังซานหูนั้นเดิมทีก็ติดตามสามีมาอยู่ในบริเวณใกล้เคียง ฝ่ายของสามีหานหยวนเสวี๋ยที่เป็นจ้วงหยวนกำลังจะได้รับชดเชยเข้าในตำแหน่งที่ขาดแคลน ซึ่งถือว่าเป็นกรณีพิเศษ บางทีอาจจะไม่ได้อยู่ในที่ว่าการหกกรมของต้าหลี แต่ไปเป็นนายอำเภอของอำเภอหลักในมณฑล ในฐานะขุนนางผู้เป็นดั่งพ่อแม่ของชาวบ้านซึ่งมีที่ว่าการอยู่ในมณฑลเดียวกับที่ว่าการเขตการปกครองนั้น ไม่ว่าจะรู้จักวางตัวเข้าสังคมหรือไม่ ก็ล้วนถือว่าเป็นงานย่ำแย่ที่ต้องเหนื่อยทั้งกายและเหนื่อยทั้งใจ
ครั้งนี้หานหยวนเสวี๋ยเดินทางลงใต้มาเยี่ยมเยียนหวังซานหู แน่นอนว่าหวังให้สามีของหวังซานหู ซึ่งในอนาคตก็คือหัวหน้างานของบุรุษตนจะช่วยดูแลกันบ้าง ไม่อย่างนั้นหากผู้ว่าการมณฑลไม่เห็นดีเห็นงาม เจ้าเมืองก็หาเรื่องเล่นงาน ตำแหน่งนายอำเภอของอำเภอหลักที่เป็นที่จับตามองของคนนับหมื่นผู้นี้ย่อมเป็นดั่งดาบสองคม อันที่จริงในวงการขุนนางมีอยู่จุดหนึ่งที่คล้ายคลึงกับการละเล่นของเด็กเล็ก ใครที่สวมรองเท้าคู่ใหม่ก็จะต้องถูกคนโน้นคนนี้เหยียบกันคนละทีสองที พอรองเท้าถูกเหยียบจนสกปรกแล้ว ทุกคนก็จะได้เป็นเหมือนกัน ต่างก็ต้องวางตัวสำรวม ไม่แสดงความสามารถ ไม่ฉายประกายออกมา
ฉู่ฮูหยินขมวดคิ้วมุ่นไม่คลาย ท่าทางน่าสงสาร ต่อให้นางจะอายุไม่น้อยแล้ว แต่เพราะบำรุงตัวเองมาเป็นอย่างดี เสน่ห์แห่งสตรีจึงยังคงอยู่ ไม่เป็นรองให้แก่หญิงสาวอย่างพวกหวังซานหูและหานหยวนเสวี๋ยเลยสักนิด
ก็ไม่แปลกที่ฉู่ฮูหยินจะอดเจ็บใจไม่ได้ เดิมทีคืองิ้วที่น่าสนุกเรื่องหนึ่ง แล้วก็ตีฆ้องตีกลองเปิดม่านการแสดงแล้ว คิดไม่ถึงว่าเจ้าเศษสวะซูหลางเซียนกระบี่ไม้ไผ่เขียวแห่งแคว้นซงซีผู้นั้นลงมือหาเรื่องคนอื่นถึงสองครั้ง แต่กลับไม่อาจช่วงชิงความได้เปรียบใดๆ มาจากหมู่บ้านวารีกระบี่ได้เลย ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าทำให้เจ้าตะพาบเฒ่าที่ครึ่งร่างลงไปอยู่ในดินแล้วอย่างซ่งอวี่เซาผู้นั้นได้ชื่อเสียงดีงามไปไม่น้อย
นางกลัดกลุ้มเป็นกำลัง อดยกมือขึ้นนวดคลึงตรงหัวใจไม่ได้ ชะตาชีวิตของตนช่างรันทดนัก ชีวิตนี้ต้องมาเจอกับบุรุษแล้งน้ำใจถึงสองคน ล้วนไม่มีใครดีสักคน! คนหนึ่งเอาแต่เห็นแก่ส่วนรวม ได้ตัวนางไปแล้ว ยังได้สินสอดก้อนใหญ่ที่เทียบเท่าได้กับเกือบครึ่งหนึ่งของยุทธภพแคว้นซูสุ่ยมาอีก ซ้ำร้ายยังดันมาเป็นพวกขี้ขลาดตาขาว ให้ตายก็ไม่ยอมแตกหักกับซ่งอวี่เซา บอกให้นางรอแล้วรออีก กว่าจะรอจนฉู่หาวรู้สึกว่าสถานการณ์ใหญ่มั่นคงแล้วไม่ใช่เรื่องง่าย ผลกลับกลายเป็นว่าอยู่ดีๆ ก็มาตายไปเสียนี่
หานหยวนซ่านที่เป็นดั่งนกพิราบยึดครองรังนกกางเขนก็ยิ่งหน้าไม่อายยิ่งกว่าเจ้าสวะฉู่หาวผู้นั้นเสียอีก ปีนั้นหลังจากได้ทั้งกายและใจของนางไปแล้ว เขากลับบอกกับนางตามตรงว่า ชีวิตนี้อย่าได้หวังว่าจะแก้แค้นอีกเลย ไม่แน่ว่าวันหน้าสองครอบครัวอาจต้องไปมาหาสู่กันเป็นปกติก็ได้
ยังดีที่ซูหลางมาประลองกระบี่ครั้งนี้ หานหยวนซ่านไม่ได้ปฏิเสธที่นางขอออกจากเมืองหลวงมาชมงิ้ว แต่เขาให้นางรับปากว่าห้ามฉวยโอกาสปล้นสะดมยามไฟไหม้ ห้ามตัดสินใจทำอะไรโดยพลการเด็ดขาด ได้แต่นั่งดูไฟชายฝั่งเท่านั้น ไม่อย่างนั้นก็อย่ามาโทษหากเขาไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์ทางกายและความผูกพันฉันท์สามีภรรยาตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้
ฟังเข้าสิ นี่ใช่คำพูดที่คนควรพูดออกมาไหม?
หลายปีมานี้หานหยวนซ่านอาศัยตัวตนของฉู่หาวยึดครองทั้งฟ้าอำนวย ดินอวยพรและคนสามัคคี ตอนนี้ยังเป็นบุรุษที่มีอำนาจมากที่สุดนอกเหนือจากฮ่องเต้แคว้นซูสุ่ยด้วย แต่เขากลับยังแล้งน้ำใจกับนางถึงเพียงนี้
แต่ว่ายามที่อยู่เพียงลำพัง บางครั้งที่ครุ่นคิดกับตัวเอง หากหานหยวนซ่านไม่ได้ใจจืดใจดำเช่นนี้ เขาก็คงไม่สามารถเดินมาสู่ตำแหน่งสูงได้อย่างทุกวันนี้ และฉู่ฮูหยินอย่างนางก็คงไม่สามารถถูกเหล่าสตรีตระกูลขุนนางที่มีตำแหน่งเป็นฮูหยินตราตั้งในเมืองหลวงพวกนั้นห้อมล้อมเอาใจประดุจดาวล้อมเดือน
หลักการแค่นี้นางยังพอจะเข้าใจอยู่บ้าง
หานหยวนเสวี๋ยเห็นว่าฉู่ฮูหยินอารมณ์ไม่ดีจึงเลิกผ้าม่านขึ้นเบาๆ หวังสูดอากาศผ่อนคลาย
นับตั้งแต่ที่ปีนั้นพี่ชายหายตัวไป อันที่จริงสกุลหานภูเขาเสี่ยวฉงก็เดือดร้อนติดร่างแหเจอกับหายนะใหญ่ ตกอยู่ท่ามกลางสถานการณ์อันตรายไปด้วย บิดาออกคำสั่งไม่อนุญาตให้ทุกคนเข้าร่วมงานเลี้ยงใดๆ ทางตระกูลปิดประตูทบทวนตัวเองถึงสองปี เพียงแต่ว่าภายหลังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น นางถึงได้รู้สึกว่าบุรุษในตระกูลเริ่มมีชีวิตชีวาโลดแล่นในราชสำนักและบนสนามรบได้อีกครั้ง ถึงขั้นเจริญรุ่งเรืองยิ่งกว่าในอดีตเสียอีก นางรู้แค่ว่าฉู่หาวแม่ทัพใหญ่ที่อยู่ในตำแหน่งสูงกุมอำนาจสำคัญผู้นั้นคล้ายจะสนิทสนมกับสกุลหานอย่างมาก และนางเองก็เคยพบเจอเขาอยู่สองสามครั้ง แล้วก็มักจะรู้สึกว่าสายตาที่แม่ทัพใหญ่ผู้นั้นมองตนประหลาดอย่างยิ่ง ไม่ใช่สายตาที่บุรุษใช้มองสตรีที่ตัวเองถูกใจ กลับเหมือนสายตาที่ผู้อาวุโสมีต่อเด็กรุ่นหลังมากกว่า ส่วนฉู่ฮูหยินที่มีหน้ามีตาที่สุดในเมืองหลวงผู้นี้ก็ยิ่งชอบพานางออกไปท่องเที่ยวชานเมืองในช่วงฤดูใบไม้ผลิด้วยกัน สนิทสนมกับนางเป็นอย่างยิ่ง
ครั้งนี้หลังจากได้ยินข่าวว่าการประลองกระบี่ของซูหลางล้มเหลว อันที่จริงความคิดแรกของฉู่ฮูหยินก็คือกลับเมืองหลวงทันที แต่นางและจวนเจ้าเมืองต่างก็ได้จดหมายลับจากทางเมืองหลวงมาคนละฉบับ ดังนั้นถึงได้มีการออกนอกเมืองในครั้งนี้
จดหมายทางบ้านที่ฉู่ฮูหยินได้รับฉบับนั้น หานหยวนซ่านใช้ถ้อยคำเฉียบขาด บอกกับนางว่าให้นางเป็นฝ่ายไปเยี่ยมเยือนหมู่บ้านวารีกระบี่ด้วยตัวเอง ไม่อย่างนั้นวันหน้าก็อย่าหวังว่าจะได้เป็น ‘ผู้นำฮูหยินตราตั้ง’ ท่ามกลางกลุ่มสตรีทั้งหลายในเมืองหลวงอีก ในเมื่อตอนนั้นนางมาจากยุทธภพ ถ้าอย่างนั้นก็จงไสหัวกลับยุทธภพไปซะ
ฉู่ฮูหยินทั้งตกใจทั้งหวาดกลัว เจ็บปวดเจียนขาดใจ แล้วจะไม่ให้นางกลัดกลุ้มเป็นทุกข์ได้อย่างไร
ยังดีที่เด็กรุ่นหลังอย่างหวังซานหูและหานหยวนเสวี๋ยสองคนนี้ให้ความเคารพนับถือนางตลอดมา ในใจนางจึงพอจะรู้สึกดีขึ้นมาได้บ้าง
เฉินผิงอันพลันหยุดเท้า เพียงไม่นานในผืนป่าก็มีคนในยุทธภพกลุ่มใหญ่กรูกันออกมา ต่างคนต่างถืออาวุธ เรือนกายแข็งแรงปราดเปรียว
ทางฝั่งของขบวนรถก็สัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวของผืนป่าแถบนี้ ทหารม้าฝีมือดีของแคว้นซูสุ่ยที่สวมเกราะเบาทำขึ้นเป็นพิเศษรีบกระจายตัวกันออกไป ปลดธนูที่สะพายไว้ด้านหลังลงมา
ลูกหลานหมู่บ้านเหิงเตาก็ยิ่งไม่หวาดเกรง พวกเขาโอบล้อมรถม้าคันนั้นเอาไว้ ตั้งท่าเตรียมพร้อมรับมือกับศัตรู
เฉินผิงอันไม่รู้ความเป็นมาของ ‘นักฆ่า’ กลุ่มนี้ เขามองประเมินทั้งสองฝ่ายคร่าวๆ ก็ไม่อาจพูดได้ว่าใช้ไข่กระทบหินอะไร แต่ย่อมพ่ายแพ้อย่างมิต้องสงสัย
อาจเป็นเพราะแม่ทัพใหญ่แคว้นซูสุ่ยอย่าง ‘ฉู่หาว’ ที่ถูกรับกลับเข้าวงศ์วานผู้นี้ได้วางแผนร้ายคิดจะยึดครองตำแหน่งสำคัญในราชสำนัก ชื่อเสียงของเขาไม่ดีจริงๆ จึงถูกจอมยุทธผู้ผดุงคุณธรรมในยุทธภพมองเป็นโจรร้ายที่เป็นภัยต่อบ้านเมือง แต่ละคนจึงคิดจะสังหารเขาให้จงได้ เพียงแต่การสังหารฉู่หาวนั้นยากเหมือนเดินขึ้นสวรรค์ สังหารคนข้างกายฉู่หาวกลับพอจะมีโอกาสมากกว่า ‘ฉู่หาว’ สามารถสร้างภาพบรรยากาศเช่นนี้ขึ้นในราชสำนักได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่แคว้นซูสุ่ยกลายเป็นแคว้นใต้อาณัติของสกุลซ่งต้าหลีแล้ว ในสายตาของราชสำนักแคว้นซูสุ่ย ฉู่หาวจึงกลายเป็นคนที่เห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตัว ช่วยเหลือขุนนางบุ๋นของต้าหลีที่ปักหลักอยู่ในแคว้นซูสุ่ยให้ข่มและผลักไสขุนนางบุ๋นที่นิสัยเถรตรงของแคว้นซูสุ่ยหลายคน ท่ามกลางขั้นตอนนี้ แน่นอนว่าฉู่หาวย่อมไม่ถือสาที่จะเบียดบังผลประโยชน์ส่วนรวมมาเป็นของส่วนตัวอย่างพอเหมาะพอดี นี่จึงยิ่งเป็นการยืนยันสถานะโจรขายชาติของ ‘ฉู่หาว’ มากขึ้นไปอีก แน่นอนว่าเขาได้สร้างศัตรูไว้มากมายนับไม่ถ้วน ไม่ว่าจะในวงการปัญญาชนหรือยุทธภพ การกวาดล้างคนเลวข้างองค์จักรพรรดิย่อมกลายมาเป็นความนิยมที่สมเหตุสมผล
ฉู่ฮูหยินยกมือขึ้นปิดปากที่อ้าปากหาว เห็นได้ชัดว่าเคยชินกับพวกแมงเม่าที่กระโจนเข้ากองไฟเหล่านี้แล้ว
หานหยวนเสวี๋ยพูดบ่น “คนในยุทธภพพวกนี้ก็ไม่รู้จักเบื่อกันบ้างเลย ดีแต่มาระบายความโกรธแค้นใส่สตรีอย่างพวกเรา นี่จะนับว่าเป็นวีรบุรุษชายชาตรีได้อย่างไรกัน”
หลายปีที่ผ่านมานี้ลูกหลานสกุลหานภูเขาเสี่ยวฉงต้องพบเจอการลอบโจมตีมาไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้งแล้ว แม้แต่สามีของพี่หญิงซานหูก็ยังถูกคนในยุทธภพลอบฆ่าครั้งหนึ่งเนื่องจากสนิทกับฉู่หาวและคนเถื่อนต้าหลี หากไม่เป็นเพราะมีเลขาธิการฝ่ายบู๊ของต้าหลีให้การปกป้องคุ้มครอง พี่หญิงซานหูก็อาจกลายมาเป็นหญิงหม้ายไปแล้ว ดังนั้นพอหานหยวนเสวี๋ยนึกถึงว่าสามีของตนก็ต้องออกจากเมืองหลวง และอาจจะเจอกับศัตรูคู่แค้นที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนพวกนี้เหมือนกัน นางก็ให้เป็นกังวลอย่างยิ่ง
สายตาของหวังซานหูทอประกายระยิบระยับ นางคันไม้คันมือเต็มที เพียงแต่ว่าเมื่อยื่นมือไปตรงเอวตามจิตใต้สำนึกแล้วลูบเจอเพียงความว่างเปล่า นางก็รู้สึกผิดหวังอย่างยิ่ง หลังจากแต่งงานเป็นภรรยาของผู้อื่น บิดาก็ไม่อนุญาตให้นางฝึกวรยุทธและพกดาบอีกแล้ว
คราวก่อนนางเดินทางไปขอฝนจากศาลเทพวารีในเขตการปกครองพร้อมกับสามี ตอนที่เดินทางกลับจวนก็เจอกับการลอบฆ่าครั้งหนึ่ง หากไม่เป็นเพราะตอนนั้นนางไม่ได้พกดาบ และสุดท้ายนักฆ่าคนนั้นไม่อาจเข้ามาประชิดตัวได้ หลังจากนั้นมาหวังอี้หรานก็ยังไม่อนุญาตให้นางพกดาบ เพียงแต่ดึงตัวยอดฝีมือในหมู่บ้านอีกหลายคนเพื่อให้มาคอยคุ้มกันบุตรสาวและบุตรเขยที่เขตการปกครองชิงซง
เหล่าผู้กล้าของแคว้นซูสุ่ยที่สาบานว่าจะสังหารโจรชั่วขายชาติมีประมาณสามสิบกว่าคน น่าจะมาจากสำนักบนภูเขาที่แตกต่างกัน ต่างคนต่างมากันเป็นกลุ่ม
สภาพการณ์ของเฉินผิงอันค่อนข้างน่ากระอักกระอ่วน เขาได้แต่ยืนอยู่ที่เดิม ปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาแสร้งทำเป็นดื่มเหล้า หลีกเลี่ยงไม่ให้กลายเป็นว่าเมื่อศึกใหญ่เกิดขึ้นแล้วตนจะตกเป็นเป้าของทั้งสองฝ่าย
ส่วนเรื่องที่จะขัดขวางไม่ให้คนเหล่านี้สละตนเพื่อผดุงความชอบธรรมนั้น เฉินผิงอันไม่คิดจะทำ
น่าจะเป็นเพราะเฉินผิงอันไม่กระดุกกระดิก รู้จักกาลเทศะอย่างยิ่ง เหล่าผู้กล้าในยุทธภพทั้งหลายจึงไม่ได้ถือสาเขา พวกเขาเปลี่ยนเส้นทางที่บุกพุ่งไปด้านหน้าโดยอ้อมผ่านเฉินผิงอันออกไปคล้ายตั้งใจ แต่ก็คล้ายไม่เจตนา
แล้วจู่ๆ ก็มีมือดาบวัยกลางคนคนหนึ่งที่วิ่งผ่านเฉินผิงอันไปแล้วตะโกนขึ้นเสียงดังว่า “หมู่บ้านวารีกระบี่ขอสังหารกลุ่มโจรกบฏฉู่ ณ ที่แห่งนี้!”
เฉินผิงอันรู้สึกเอือมระอาเล็กน้อย
นี่เห็นได้ชัดว่าจะบีบให้หมู่บ้านวารีกระบี่และอริยะกระบี่ผู้เฒ่าแห่งแคว้นซูสุ่ยเดินไปสู่ทางตาย จำต้องออกมาปรากฏตัวในยุทธภพอีกครั้ง แล้วเข่นฆ่ากับหมู่บ้านเหิงเตาให้ตายกันไปข้าง เพื่อที่จะบอกให้ฉู่หาวรู้ว่าเขาไม่อาจรวบรวมยุทธภพให้เป็นหนึ่งได้แล้ว
เป็นทั้งแผนการลับ แล้วก็เป็นทั้งแผนการที่เปิดเผย
ขอแค่วันนี้ทั้งสองฝ่ายมีคนตาย หมู่บ้านวารีกระบี่ก็จะกลายเป็นคนที่ดินเหลืองเปื้อนติดเต็มกางเกง ต่อให้ไม่ใช่ขี้ก็ถูกคนมองเป็นขี้ ยิ่งคนตายมากเท่าไหร่ หมู่บ้านวารีกระบี่ก็จะยิ่งถูกหามขึ้นไปบนกองเพลิงกองใหญ่อย่างยุทธภพมากเท่านั้น พวกเขาจะต้องยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับราชสำนักแคว้นซูสุ่ย ถึงเวลานั้นทั้งยุทธภพและวงการปัญญาชนของแคว้นซูสุ่ยจะต้องเหมือนถูกฉีดยากระตุ้น พากันตีฆ้องร้องป่าวสู้สุดชีวิตกับหมู่บ้านวารีกระบี่และผู้อาวุโสซ่ง
เฉินผิงอันรัดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ให้เรียบร้อย ร่างของเขาเอนไปด้านหลังเล็กน้อย ชั่วพริบตาก็ถอยกรูดออกไป แล้วเสี้ยววินาทีเฉินผิงอันก็มาหยุดอยู่ข้างกายของมือดาบแห่งยุทธภพคนนั้น เขายกฝ่ามือขึ้นกดลงบนหน้าของคนผู้นั้น เพียงผลักเบาๆ ร่างของอีกฝ่ายก็ปลิวหวือออกไปสิบกว่าจั้ง พอกระแทกพื้นก็หมดสติไปทันที ลุกไม่ขึ้นอีก
จากนั้นเฉินผิงอันก็ถอยกรูดไปด้านหลังอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายพลิ้วกายอยู่ระหว่างสองฝ่ายพอดี ทั้งสกัดขวางทหารม้าฝีมือดีของขบวนรถที่อยู่ด้านหลัง แล้วก็ทั้งขัดขวางไม่ให้เหล่าผู้กล้าในยุทธภพเหล่านั้นกระโจนเข้าหาความตายอย่างห้าวหาญ
ลูกธนูจำนวนนับไม่ถ้วนแหวกอากาศออกไป สาดยิงไปยังคนในยุทธภพที่เป็นผู้นำหลายคน
เฉินผิงอันโบกชายแขนเสื้อครั้งเดียว ลูกธนูสามดอกก็ร่วงดิ่งลงเบื้องล่างแล้วปักลงพื้นอย่างไม่สมเหตุสมผลทันที
หลังจากที่เด็กหนุ่มคนหนึ่งหยุดเท้าแล้วก็ใช้ปลายกระบี่ชี้ตรงไปยังคนหนุ่มชุดเขียวสวมงอบผู้นั้น ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย ตวาดอย่างเดือดดาลว่า “เจ้าคือสุนัขรับใช้พรรคฉู่อย่างนั้นหรือ?! เหตุใดต้องขัดขวางไม่ให้หมู่บ้านวารีกระบี่ของพวกเราสังหารโจรร้ายผดุงคุณธรรม!”
เฉินผิงอันถอนหายใจ “กลับไปเถอะ คราวหน้าหากคิดจะฆ่าคนก็อย่าเอาชื่อของหมู่บ้านวารีกระบี่มาแอบอ้างอีก”
ผู้เฒ่าคนหนึ่งพลันตะโกนขึ้นเสียงดัง “ฉู่เยว่อี้ ในฐานะลูกบุญธรรมของพ่อบ้านเฒ่าฉู่ ยิ่งเป็นลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อของอริยะกระบี่ผู้เฒ่าซ่ง เหตุใดเจ้าถึงไม่ยินดีสังหารศัตรูพร้อมกับพวกเรา? ช่างเถิด เจ้าฉู่เยว่อี้มีปณิธานอยู่บนจุดสูงสุดแห่งวิถีกระบี่ พวกเราสามารถอภัยให้ได้ แต่พวกเราไม่กลัวตาย ดังนั้นวันนี้จึงไม่ขอให้เจ้าร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับพวกเรา ขอแค่เจ้าหลีกทางให้พวกเราก็พอ!”
เฉินผิงอันไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ผู้อาวุโสช่างมีแผนการแยบยลยิ่งนัก แล้วก็จริงดังคาด พอกลุ่มทหารม้าด้านหลังได้ยินว่าเขาคือ ‘ฉู่เยว่อี้’ แห่งหมู่บ้านวารีกระบี่ ห่าลูกธนูรอบที่สองก็พร้อมใจกันสาดยิงเข้ามาหาเขา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งชายฉกรรจ์ร่างกำยำนามหม่าลู่ผู้นั้นที่ควบม้าออกมา ไม่พูดจาให้เสียเวลาแม้สักครึ่งคำก็ปลดคันธนูเขาวัวที่สะดุดตาอย่างยิ่งคันนั้นลง เขาที่นั่งอยู่บนม้าสูงง้างธนูสุดแรงเหนี่ยว ลูกธนูเหล็กกล้าที่ทำขึ้นเป็นพิเศษหอบเอาพลานุภาพแห่งสายลมและสายฟ้าพุ่งแหวกความว่างเปล่าตรงเข้าหาแผ่นหลังที่ขวางหูขวางตานั่นโดยตรง
เทพภูเขาในพื้นที่ที่เคยโชคดีได้ดื่มเหล้ากับ ‘เซียนกระบี่’ ผู้นั้นเหงื่อแตกเต็มศีรษะ เขาที่อยู่ในศาลเทพภูเขาเริ่มเสียใจภายหลังแล้วที่ตนโคจรวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตตรวจสอบแม่น้ำภูเขาในเขตการปกครอง
ครั้งนั้นของปีนั้นก็พอๆ กับเวลานี้ ผู้ฝึกยุทธจากแผ่นดินกลางที่มาเยือนหมู่บ้านวารีกระบี่ไม่สนใจการลอบสำรวจตรวจสอบของเขาแม้แต่น้อย เพียงแต่ว่าหลังจากผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่ขอบเขตสูงส่งจนเกินจะคาดเดาผู้นั้นได้ฝักกระบี่ไม้ไผ่ชิ้นนั้นไป ขณะที่เขากำลังบังคับลมออกเดินทางไกลก็ได้ปล่อยหมัดหนึ่งลงมาอย่างไม่มีลางบอกเหตุ ต่อยให้ยอดเขาแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้กับศาลเทพภูเขาปริแตก ทำเอาเทพภูเขาที่ระดับขั้นไม่ต่ำแห่งแคว้นซูสุ่ยผู้นี้ตกใจจนขวัญเกือบกระเจิงหาย
ในสายตาของเทพภูเขาที่ตำแหน่งเทพเป็นรองแค่ห้าขุนเขาของแคว้นซูสุ่ยท่านนี้ ญาติและสตรีในครอบครัวของแม่ทัพใหญ่ฉู่หาว บวกกับคนยุทธภพที่ตะโกนก้องว่าจะสังหารคนกลุ่มนั้น ทั้งสองฝ่ายล้วนเป็นพวกที่ไม่รู้จักกลัวตาย พวกเขาไม่มีทางรู้เลยว่าตัวเองกำลังหาเรื่องใครอยู่กันแน่
ตอนนี้ซูหลางคือยอดฝีมืออันดับหนึ่งในยุทธภพของหลายสิบแคว้นซึ่งรวมแคว้นซูสุ่ย แคว้นไฉ่อีเป็นหนึ่งในนั้น แต่แล้วอย่างไรเล่า? คิดว่าตัวเองเป็นเซียนกระบี่จริงๆ งั้นหรือ? ไม่รู้เลยหรือว่าเหนือภูเขายังมีภูเขา? จงจำไว้เถิดว่าบนโลกใบนี้ยังมีผู้ฝึกตนที่หลุบตาต่ำมองโลกมนุษย์ด้วยสายตาเย็นชาอยู่!
ดังนั้นผลลัพธ์เป็นอย่างไร ครั้งที่อยู่ซุ้มป้ายหินของเมืองเล็ก เผชิญหน้ากับเซียนกระบี่ไผ่เขียว ก็เป็นแค่เรื่องหมัดเดียวของคนเขาเท่านั้น เซียนกระบี่หนุ่มผู้นี้ไม่ได้ออกกระบี่ด้วยซ้ำ ส่วนหลังจากนั้นที่ซูหลางวิ่งไปชดใช้ความผิดที่หมู่บ้านวารีกระบี่ วางตัวสำรวมลดสถานะให้ต่ำลง กว่าจะได้รับความเคลื่อนไหวใหญ่โตขนาดนั้นมาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย นั่นก็เพียงแค่เพราะเซียนกระบี่หนุ่มยอมไว้หน้าซูหลางเท่านั้น ไม่อย่างนั้นชั่วชีวิตนี้ชื่อเสียงของซูหลางก็คงจบสิ้นแล้ว
เทพภูเขาตัดสินใจแล้วว่าจะไม่มีทางเข้าไปเหยียบน้ำขุ่นบ่อนี้เด็ดขาด
—–