ในที่สุดสตรีแต่งงานแล้วซึ่งมีสถานะสูงศักดิ์เป็นถึงไทเฮาต้าหลีก็นึกถึงซ่งเหอผู้เป็นบุตรชาย และเป็นฮ่องเต้ต้าหลีคนใหม่ที่อยู่ข้างกายตัวเองขึ้นมาได้ จึงยิ้มเอ่ยว่า “คุณชายเฉิน นี่คือซ่งเหอบุตรชายของข้า พวกเจ้าน่าจะเพิ่งเคยเจอกันเป็นครั้งแรก หวังว่าวันหน้าจะไปมาหาสู่กันบ่อยๆ คุณชายเฉินเป็นบุคคลที่เป็นที่ภาคภูมิใจซึ่งได้ครอบครองชะตาบู๊ของต้าหลีเรา และนับแต่ที่ต้าหลีของพวกเราก่อตั้งแคว้นมา ไม่ว่าจะเป็นท่านอาของข้าหรือซ่งเหอก็น่าจะ แล้วก็สมควรที่จะปฏิบัติต่อคุณชายเฉินอย่างมีมารยาท”
ฮ่องเต้หนุ่มโน้มกายมาเบื้องหน้าเล็กน้อย ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “คารวะท่านเฉิน”
ไม่ได้วางมาดของผู้เป็นใหญ่เหนือใครในแผ่นดินแม้แต่น้อย
ขึ้นเรือมาครั้งนี้เป็นการปลอมตัวมาเพื่อผูกมิตรกับยอดฝีมือตามป่าเขาทั้งหลาย พิธีการในโลกมนุษย์จึงพอจะวางลงไว้ก่อนได้
ในอดีตซ่งเหอได้รับชื่อเสียงอันดีงามจากขุนนางบุ๋นบู๊ต้าหลี และคำประเมินที่ยอดเยี่ยมจากราชสำนัก นอกจากจะเป็นเพราะเหนียงเนียงต้าหลีสอนมาดีแล้ว ตัวเองเขาก็ไม่เลวด้วยเหมือนกัน
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “มีโอกาสจะต้องไปเยี่ยมที่เมืองหลวงแน่”
สตรีแต่งงานแล้วยิ้มกล่าว “ราชสำนักวางแผนว่าจะเลื่อนเขตการปกครองหลงเฉวียนเป็นมณฑล อู๋ยวนก็ได้เลื่อนขั้นเป็นผู้ว่า ตำแหน่งเจ้าเมืองที่ว่างอยู่ ไม่ทราบว่าในใจคุณชายเฉินมีตัวเลือกที่เหมาะสมหรือไม่?”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “ไม่ควรจะเลือกจากนายอำเภอหยวนกับผู้ตรวจการเฉาหรอกหรือ? นายอำเภอหยวนมุมานะตั้งใจทำงาน แบ่งแยกการลงโทษและให้รางวัลอย่างชัดเจน ปกครองอาณาเขตของหนึ่งอำเภอจนถึงขั้นมีของตกอยู่บนถนนก็ไม่มีคนเก็บ ผู้ตรวจการเฉาใกล้ชิดกับชาวบ้าน ช่วยทำเรื่องใหญ่ให้กลายเป็นเรื่องเล็ก ภาระงานทั้งในและนอกเตาเผามังกรล้วนสำคัญ แต่ก็ไม่เคยทำอะไรพลาด ทั้งสองคนล้วนเป็นขุนนางที่ดี ไม่ว่าเลื่อนตำแหน่งให้กับใคร ชาวบ้านของเขตการปกครองหลงเฉวียนอย่างพวกเราก็ล้วนดีใจทั้งสิ้น”
ซ่งเหอฮ่องเต้องค์ใหม่ชำเลืองตามองเฉินผิงอันอย่างไม่ให้เป็นที่จับสังเกต
นี่โง่จริงๆ หรือแกล้งโง่กันแน่?
เฉาหยวนสองแซ่สกุลอันเป็นเสาหลักของแคว้นแก่งแย่งแข่งขันกันในราชสำนักยังไม่พอ ยังลงต่อสู้กันในสนามรบอีก พวกเขาปัดแข้งปัดขากันมากี่รุ่นคนแล้ว? หากมอบให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็เท่ากับว่าเมินเฉยอีกฝ่ายหนึ่ง สถานะเจ้าเมืองของหนึ่งเขตการปกครอง อันที่จริงไม่ใหญ่ แต่หากตกลงบนตัวของเสาค้ำยันแคว้นคนใดก็ตามกลับไม่ใช่เรื่องเล็กแล้ว ถอยไปพูดหมื่นก้าว ต่อให้เจ้าประมุขเฉาหยวนไม่มีใจที่เห็นแก่ตัว มีน้ำใจและเปิดเผย ราชสำนักพูดอย่างไรก็รับไว้อย่างนั้น แต่เหล่าทายาทสายตรงและเหล่าลูกศิษย์ที่อยู่เบื้องล่างพวกเขาจะคิดอย่างไร? ฝั่งหนึ่งลำพองใจ อีกฝั่งหนึ่งต้องอดทนอดกลั้น ราชสำนักราดน้ำมันลงบนกองเพลิงเช่นนี้ คิดจะจุดไฟเผาตัวเองหรืออย่างไร?
สตรีแต่งงานแล้วยิ้มพูดด้วยสีหน้าผ่อนคลายเป็นธรรมชาติ “บางทีคุณชายเฉินที่เป็นผู้ฝึกตนบนภูเขาและยังชอบท่องเที่ยวไปตามภูเขาแม่น้ำ อาจเป็นเหตุให้ไม่ได้สัมผัสกับขุนนางในท้องถิ่นมากนัก เมื่อไม่มีความสัมพันธ์ในทางส่วนตัว ดังนั้นจึงไม่อาจพูดอะไรได้มาก แต่ว่ายังมีอยู่เรื่องหนึ่ง ตามหลักแล้วคุณชายเฉินก็น่าจะยังพอมีความคิดอยู่บ้าง ในอนาคตเมื่อหลงเฉวียนได้เลื่อนเป็นมณฑล ตัวเลือกเทพอภิบาลเมืองสามท่านของอำเภอ เขตการปกครองและมณฑลยังไม่ได้ถูกกำหนด เทพภูเขาของภูเขาลั่วพั่วในปีนั้นไม่ได้แจ้งคุณชายเฉินก่อนก็เลือกซ่งเย่จางอดีตขุนนางผู้ตรวจการให้มาดำรงตำแหน่ง แม้จะบอกว่าสอดคล้องกับหลักพิธีการ แต่บอกตามตรง อันที่จริงยังคงเป็นราชสำนักของพวกเราที่ค่อนข้างจะ…แล้งน้ำใจไปสักหน่อย ไม่ว่าอย่างไรก็ควรปรึกษากับคุณชายเฉินก่อนแล้วค่อยตัดสินใจกันอีกที ดังนั้นเทพอภิบาลเมืองสามท่านของครั้งนี้ คุณชายเฉินไม่จำเป็นต้องมีความกังวลใดๆ ข้าที่เป็นสตรีและซ่งเหอบุตรชายของข้า รวมถึงราชสำนักต่างก็เชื่อในนิสัยใจคอและสายตาของคุณชายเฉิน ถือเสียว่าคุณชายเฉินช่วยต้าหลีของพวกเราเลือก เลือกไข่มุกเม็ดสองเม็ดที่หายไปท่ามกลางมหาสมุทรกว้างใหญ่”
สตรีแต่งงานแล้วเอ่ยเกลี้ยกล่อมต่ออีกว่า “คุณชายเฉินจะต้องเดินทางไกลอีกครั้งหนึ่งแล้ว แต่ถึงอย่างไรเขตการปกครองหลงเฉวียนก็เป็นบ้านเกิดของเจ้า มีคนกันเองที่ตัวเองเชื่อใจได้สักคนสองคน เวลาที่คุณชายเฉินออกไปข้างนอก มีคนคอยช่วยดูแลภูเขาต่างๆ ซึ่งรวมถึงภูเขาลั่วพั่วก็จะได้วางใจได้บ้าง”
เฉินผิงอันส่ายหน้า พูดด้วยสีหน้าเสียดายว่า “ข้าไม่ค่อยคุ้นเคยกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาแม่น้ำและพวกเทพแห่งผืนดิน เทพอภิบาลเมือง รวมไปถึงวิญญาณวีรบุรุษที่ตายไปซึ่งอยู่โดยรอบถ้ำสวรรค์หลีจูสักเท่าไหร่ ทุกครั้งที่เดินทางไปกลับล้วนรีบร้อน ไม่อย่างนั้นคงต้องเห็นแก่ตัวสักครั้ง ขอให้ทางราชสำนักช่วยแต่งตั้งเทพอภิบาลเมืองที่สนิทสนมกันให้มาเฝ้าพิทักษ์เขตการปกครองหลงเฉวียนจริงๆ ข้าเฉินผิงอันมีชาติกำเนิดมาจากตรอกยากจน ไม่เคยได้เรียนหนังสือสักวัน ยิ่งไม่คุ้นเคยกับกฎเกณฑ์ในราชสำนัก เพียงแต่ท่องอยู่ในยุทธภพมานานแล้วก็เลยยังพอจะรู้หลักการหยาบๆ ที่ว่า ‘ขุนนางอำเภอไม่สู้ขุนนางในพื้นที่’ อยู่บ้าง”
ซ่งเหอหัวเราะอยู่ในใจ พูดถูกแล้ว เจ้าเฉินผิงอันแค่รู้จักเว่ยป้อองค์เทพแห่งขุนเขาเหนือคนเดียวเท่านั้น และยังสนิทสนมกันจนเกือบจะสวมกางเกงตัวเดียวกันได้อยู่แล้ว
ใบหน้าของสตรีแต่งงานแล้วก็เต็มไปด้วยความเสียดาย “ตัวเลือกของเทพอภิบาลเมืองทั้งสามท่าน ทางฝั่งของกรมพิธีการเถียงกันดุเดือดน่าดู อีกไม่นานก็จะกำหนดได้แล้ว อันที่จริงตอนนี้กรมโยธากำลังปรึกษากันเรื่องที่ตั้งและขนาดเล็กใหญ่ของศาลเทพอภิบาลเมืองทั้งสามแห่งแล้ว คุณชายเฉินพลาดโอกาสนี้ไปช่างน่าเสียดายจริงๆ ถึงอย่างไรสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งควันธูปที่ดำรงอยู่ได้อย่างยาวนานประเภทนี้ หากได้หยั่งรากลงสู่ภูเขาและแม่น้ำขึ้นมา ก็ไม่เหมือนพวกขุนนางในที่ว่าการที่มักจะเปลี่ยนเก้าอี้นั่งกันบ่อยๆ น้อยหน่อยก็หลายสิบปี มากหน่อยก็หลายร้อยปีที่ไม่ได้เปลี่ยนตำแหน่งเลย”
เฉินผิงอันทอดถอนใจ “ความหวังดีของทางราชสำนัก ข้ารับเอาไว้แล้ว เส้นทางในยุทธภพยาวไกล ภูเขาสูงแม่น้ำไหลยาว หวังว่าในอนาคตจะมีโอกาสเช่นนี้อีก”
สตรีแต่งงานแล้วลุกขึ้นยืนอย่างเนิบนาบ แม้จะเป็นการเคลื่อนไหวง่ายๆ แต่กลับเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ “ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ไม่รบกวนการเดินทางและการฝึกตนของคุณชายเฉินแล้ว”
เฉินผิงอันลุกขึ้นตาม “ตอนนี้ข้าทั้งไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ และไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธเดินทางไกล อยู่บนเรือข้ามฟากไม่สามารถไปส่งไกลๆ ได้ โปรดอภัยให้ด้วย”
สตรีแต่งงานแล้วพยักหน้ารับแสดงให้รู้ว่าไม่เป็นไร แล้วจึงหันไปคลี่ยิ้มหวานให้สวี่รั่ว “ถึงอย่างไรเรือข้ามฟากก็ยังไม่ออกไปจากอาณาเขตของแจกันสมบัติทวีป คิดดูแล้วการเดินทางกลับของข้ากับเหอเอ๋อร์ย่อมปลอดภัยมาก ในเมื่อท่านสวี่รู้จักกับคุณชายเฉิน ไม่สู้อยู่ต่อเพื่อพูดคุยกันเสียหน่อย?”
สวี่รั่วส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้อง”
สั้นและได้ใจความ แม้แต่เหตุผลก็ไม่ได้อธิบาย
แต่ดูเหมือนสตรีแต่งงานแล้วและฮ่องเต้ซ่งเหอต่างก็ไม่รู้สึกว่านี่เป็นการล่วงเกิน ราวกับว่า ‘ท่านสวี่’ แสดงท่าทีอย่างนี้ต่างหากถึงจะเป็นปกติของเขา
สุดท้ายเฉินผิงอันมาส่งคนทั้งสามที่ระเบียงเรือ บริเวณใกล้เคียงกับเรือข้ามฟากของสำนักพีหมาชายหาดโครงกระดูกมีเรือข้ามฟากขนาดมหึมาสูงหกชั้นลำหนึ่งขับเคียงคู่กันมา เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว เรือข้ามฟากของสำนักพีหมาที่เดิมทีก็ถือว่าใหญ่โตมโหฬารมากพอแล้วกลับเห็นได้ชัดว่าดู ‘สะโอดสะองบอบบาง’ ยิ่งกว่า ระหว่างเรือข้ามฟากทั้งสองลำ ไม่รู้ว่าทำอย่างไร ถึงได้มี ‘สะพาน’ หลากสีที่ปูพื้นด้วยไอเมฆหมอกสีเขียว กว้างประมาณสองจั้งกว่า เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของเซียน ยังพอจะมองเห็นว่าบนเสาสะพานมีนางฟ้ากำลังเริงระบำ ประหนึ่งทางเดินบนสรวงสวรรค์ยุคบรรพกาล คนทั้งสามเดินอยู่บนนั้นเหมือนเดินอยู่บนพื้นราบเรียบ ทุกครั้งที่พื้นรองเท้าสัมผัสกับ ‘ถนนที่ปูด้วยหินสีเขียว’ ก็จะมีประกายแสงสีรุ้งเป็นวงๆ แผ่ลอยขึ้นมาแล้วกระเพื่อมออกไปภายนอก
เฉินผิงอันไม่ได้ขยับเท้าแม้แต่ก้าวเดียว เขาทอดสายตามองไปก็เห็นว่าสะพานเทพเซียนแห่งนี้ถูกผู้ฝึกตนเฒ่าสวมกวานสูงใส่ชุดสีขาวคนหนึ่งที่อยู่บนเรือฝั่งตรงข้ามเก็บเอาไป เขาบิดหมุนข้อมือ เอาไปตั้งวางอยู่กลางฝ่ามือ ขนาดของมันเล็กเหมือนตราประทับ จากนั้นก็เก็บมันเข้าไปในชายแขนเสื้อช้าๆ
ร่างของสองแม่ลูกหายวับไปในเรือหอเรือนลำนั้น
สวี่รั่วหมุนตัวยืนพิงราวรั้ว เฉินผิงอันกุมหมัดบอกลา อีกฝ่ายพยักหน้าส่งยิ้มคืนมาให้
เฉินผิงอันกลับมาที่ห้อง ไม่ได้ฝึกหมัดต่อ แต่เริ่มหลับตาลง ราวกับว่าย้อนกลับไปยังกระท่อมหน้าประตูภูเขาบนเกาะชิงเสียทะเลสาบซูเจี่ยนในปีนั้น กลับไปเป็นนักบัญชีอีกครั้ง
เริ่มคำนวณบัญชีเงียบๆ
เรื่องบางอย่างมองดูเหมือนว่าเล็กมาก แต่กลับตรวจสอบได้ไม่ง่าย พอตรวจสอบแล้วจะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น กระตุกผมเส้นเดียวกระเทือนไปทั้งร่าง
แต่เรื่องใหญ่บางอย่างที่ต่อให้เกี่ยวพันกับเรื่องวงในขั้นสูงสุดของสกุลซ่งต้าหลี เฉินผิงอันกลับสามารถสอบถามจากชุยตงซานได้อย่างไร้ความยำเกรง
เพียงแต่ว่าหลังจากคิดคำนวณอย่างละเอียดแล้วก็หนีไม่พ้นคำว่าต้องรอคอย
เฉินผิงอันลืมตาขึ้น ใช้นิ้วเคาะลงบนน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เบาๆ
แม่ลูกคู่นี้ แท้จริงแล้วไม่จำเป็นต้องเดินทางมาในครั้งนี้เลยด้วยซ้ำ อีกทั้งยังเป็นฝ่ายแสดงความเป็นมิตรก่อนด้วย
อาจเป็นเพราะเมื่อต้องแสวงหาผลประโยชน์ที่มากที่สุด หลังจากสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป ในสายตาของสตรีแต่งงานแล้ว บุญคุณความแค้นในปีนั้นจึงไม่มีค่าพอให้พูดถึง
ยกตัวอย่างเช่นการสังหารเฉินผิงอันจำเป็นต้องจ่ายเงินสิบตำลึง แต่หากดึงเขามาเป็นพวกสามารถหาเงินมาเพิ่มได้ห้าตำลึง ไปๆ มาๆ การค้าขายครั้งนี้ก็มีค่าแค่เงินสิบห้าตำลึงเท่านั้น
แน่นอนว่าอาจจะเป็นเวทอำพรางตา สตรีแต่งงานแล้วคือบุคคลที่ใช้วิธีสิงโตทุ่มสุดกำลังเพื่อจับกระต่ายมาจนเคยชินแล้ว ไม่อย่างนั้นปีนั้นที่คิดจะสังหารเฉินผิงอันที่เป็นผู้ฝึกยุทธระดับสองก็คงไม่มีทางระดมนักฆ่ากลุ่มนั้นมา
หรือก็อาจจะเป็นการหยั่งเชิง ยืนยันให้แน่ใจในความตื้นลึกหนาบางของเขาเฉินผิงอันก่อน แน่นอนว่ายังมีท่าทียามที่เขาเผชิญหน้ากับการลอบสังหารในปีนั้น แล้วทางราชสำนักค่อยตัดสินใจอีกที
ความคิดของเฉินผิงอันค่อยๆ ล่องลอยไปไกล
คิดอะไรไปมากมาย
อยู่ดีๆ ก็นึกถึงภาพเหตุการณ์หนึ่งที่ตอนเป็นเด็กตนรู้สึกอิจฉาอย่างมาก ภาพที่ตัวเองมองดูคนวัยเดียวกันจับกลุ่มเล่นสนุกที่สุสานเทพเซียน พวกเขาชอบแสดงเป็นคนดีคนเลว ดำขาวแบ่งแยกชัดเจน แน่นอนว่าก็มีคนที่เล่นเป็นพ่อแม่ลูกกัน ส่วนใหญ่ล้วนเป็นเด็กชายจากครอบครัวมีเงินที่เล่นเป็นสามี เด็กหญิงหน้าตางดงามเล่นเป็นภรรยา คนอื่นๆ ที่เหลือเล่นเป็นข้ารับใช้ เข้าท่าเข้าที ครึกครื้นสนุกสนาน และยังมีเด็กหลายคนที่แอบขโมยของออกมาจากในบ้าน พยายามจะแต่งกายให้ ‘ภรรยาสาว’ งดงามมากที่สุด
หลังจากเติบโตแล้วมองย้อนกลับไป นั่นเต็มไปด้วยความสนุกสนานของเด็กที่ไร้เดียงสา แต่พอย้อนกลับไปมองอีกครั้ง กลับไม่ได้งดงามอย่างนั้นอีกแล้ว ราวกับว่าในช่วงเวลาที่เป็นเด็ก พวกเด็กๆ ก็ได้เรียนรู้ความรู้ที่ตลอดชีวิตนับจากนั้นจะต้องนำมาใช้จนเป็นแล้ว
เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาดื่มเหล้า เดินไปที่ระเบียงชมทิวทัศน์
ม่านราตรีหนาหนัก เรือข้ามฟากเพิ่งจะผ่านภูเขาของอดีตขุนเขาเหนือต้าหลีมา ยังพอจะมองเห็นความสูงชันอันตรายของภูเขาได้อย่างเลือนราง นี่ก็เหมือนกับวิธีการที่ต้าหลีชอบใช้
พระจันทร์สุกสกาวลอยอยู่กลางนภา
เฉินผิงอันเบิกตากว้างมองไปยังภูเขาและดวงจันทร์
ภูเขาใกล้ดวงจันทร์ไกลรู้สึกว่าดวงจันทร์เล็ก จึงกล่าวว่าภูเขานี้ใหญ่กว่าดวงจันทร์ แต่หากมีคนที่ดวงตาใหญ่เท่าผืนฟ้าก็จะเห็นว่าภูเขาสูง แต่พระจันทร์กว้างใหญ่กว่า
……
ในห้องหรูหรางดงามแห่งหนึ่งที่ปูด้วยพรมงามประณีตที่สุดของแคว้นไฉ่อี สตรีแต่งงานแล้วรินชาให้ตัวเองหนึ่งถ้วย จู่ๆ นางก็ขมวดคิ้ว เก้าอี้ที่นั่งสูงไปหน่อย ทำให้เท้าสองข้างของนางลอยพ้นจากพื้น ยังดีที่ความสามารถที่ใหญ่ที่สุดของนางในชีวิตนี้ก็คือการปรับตัว ส้นเท้าลอยพ้นเหนือพื้นมาสูงยิ่งกว่า นางจึงใช้ปลายเท้าเคาะลงบนพรมที่มีชื่อเสียงและราคาแพงซึ่งว่ากันว่าทอมาจากมือของผู้ฝึกตนหญิงตระกูลเซียนแห่งหนึ่งของแคว้นไฉ่อี นางยิ้มถาม “เป็นอย่างไร?”
ซ่งเหอคิดแล้วก็ตอบว่า “เป็นพวกหัวรั้นทิฐิสูง”
สตรีจิบน้ำชาหนึ่งคำ หยุดลิ้มรสครู่หนึ่ง ดูเหมือนว่าจะเทียบน้ำชาของตำหนักฉางชุนไม่ได้ สถานที่แห่งนั้น ไม่ว่าอะไรก็แย่ไปหมด เทียบกับตำหนักเย็นแล้วยังเยียบเย็นกว่าเสียอีก มีแต่สตรีที่ไม่รู้จักพูดคุย น่าเบื่อยิ่งนัก ก็มีแต่น้ำชานี่แหละที่ดี ถึงได้ทำให้ชีวิตของการสร้างกระท่อมฝึกตนอยู่บนภูเขาไม่ได้ทุกข์ทรมานเกินไปนัก นางจงใจดื่มน้ำชาหนึ่งคำแล้วเคี้ยวใบชาใบหนึ่งที่อยู่ในนั้น ในสายตาของนาง รสชาติในใต้หล้านี้มีเพียงการใช้รสขมปูเป็นพื้นฐานเท่านั้นถึงจะค่อยๆ ลิ้มรสถึงรสชาติที่อร่อยได้ หลังจากเคี้ยวใบชาอย่างละเอียด นางถึงเอ่ยเนิบช้าว่า “ไม่มีความสามารถและความอดทน เศษสวะคนหนึ่งที่เติบโตมาพร้อมกับการดมขี้หมาขี้ไก่อยู่ในตรอกหนีผิงจะมีชีวิตอยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้ได้หรือ? เขาเพิ่งจะอายุเท่าไหร่เอง? คนหนุ่มคนหนึ่งที่อายุแค่ยี่สิบเอ็ดปี แต่กลับสร้างกิจการได้ใหญ่โตแค่ไหนแล้ว?”
ซ่งเหอไม่ได้สนใจเจ้าขุนเขาลั่วพั่วอะไรนั่น เพียงแต่ท่านแม่ยืนกรานจะลากตนมาด้วย เขาจึงได้แต่ติดตามมา
เป็นฮ่องเต้ควรจะเสวยสุขแบบไหน ควรจะแบกรับปัญหามากน้อยเท่าไหร่ ซ่งเหอรับรู้อย่างชัดเจนมาตั้งแต่เด็ก ลำพังเพียงแค่หลังจากขึ้นเป็นฮ่องเต้ งานพิธีการยิบย่อยในหนึ่งปี เขาก็ทำไปแล้วมากน้อยเท่าไหร่? ยังดีที่ซ่งเหอคุ้นเคยจนไม่เหมือนกับกษัตริย์คนใหม่ และนี่ก็ไม่แปลกที่พวกตาแก่หนังเหนียวในราชสำนักที่ไม่ค่อยเห็นดีเห็นงามในตัวเขาจะพยายามเบิกตากว้างเพื่อคอยจับผิดเขา คาดว่าดวงตาฟ้าฝางแต่ละคู่นั้นคงถลึงกันจนปวดไปหมดแล้ว แต่ก็ยังไม่เจอข้อบกพร่องของเขาเสียที จึงได้แต่ฝืนใจยอมรับ
ซ่งเหอยิ้มกล่าว “หากเปลี่ยนมาเป็นข้าที่มีประสบการณ์แบบเดียวกันก็คงจะไม่แย่กว่าเขาเฉินผิงอันสักเท่าไหร่”
สตรีแต่งงานแล้วถาม “เจ้าคิดแบบนี้จริงๆ หรือ?”
ซ่งเหอพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
สตรีแต่งงานแล้วหรี่ตาลง สองนิ้วคีบถ้วยชางามประณีตที่ลงสีเคลือบเป็นสีเขียวเหมือนลูกเหมยดิบ “ลองคิดดูให้ดีก่อนแล้วค่อยตอบข้าอีกครั้ง”
ซ่งเหอรีบชูสองมือขึ้น ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “เป็นคำพูดอยากเอาชนะของลูกเอง ท่านแม่อย่าได้โมโหเลย”
สตรีแต่งงานแล้วกลับไม่มีสีหน้ารักใคร่เอ็นดูเหมือนในยามปกติ ยามที่แม่ลูกอยู่ด้วยกันตามลำพัง นางก็ยิ่งไม่มองซ่งเหอเป็นฮ่องเต้ต้าหลีอะไรทั้งนั้น ตวาดเสียงเฉียบขาด “ฉีจิ้งชุนเลือกเจ้าหรือ?! เจ้าซ่งเหอทนรับความยากลำบากได้หรือไร?!”
ซ่งเหอส่ายหน้า “ล้วนไม่ใช่”
“บางสิ่งบางอย่างสู้คนอื่นเขาไม่ได้ ก็คือสู้คนอื่นเขาไม่ได้ บนโลกนี้ไม่มีใครที่เก่งกาจกว่าคนอื่นหรือได้ยึดครองผลประโยชน์ไปเสียทุกเรื่อง!”
—–