ท่าเรือตระกูลเซียนของชายหาดโครงกระดูกคือจุดเชื่อมต่อสำคัญทางทิศใต้ของอุตรกุรุทวีป การค้าเจริญรุ่งเรือง ผู้คนสัญจรขวักไขว่ ในสายตาของเฉินผิงอัน พวกมันล้วนถือเป็นเงินเทพเซียนที่มีขา นี่จึงทำให้เขาอดวาดฝันถึงท่าเรือหนิวเจี่ยวที่บ้านของตัวเองในอนาคตไม่ได้
เรือข้ามฟากค่อยๆ จอดเทียบท่า พวกผู้โดยสารที่ใจร้อนทนรอไม่ไหวเลยสักนิดพากันกรูลงจากเรือไป ตามกฎเกณฑ์แล้ว การขึ้นหรือลงเรือที่ท่าเรือจะไม่สนใจเรื่องขอบเขตและสถานะ ทุกคนควรจะเดินกันไป ที่แจกันสมบัติทวีปและใบถงทวีป รวมไปถึงภูเขาห้อยหัวที่มีปลาและมังกรปะปนกันก็ล้วนเป็นเช่นนี้ แต่ที่นี่กลับไม่เหมือนกัน ต่อให้จะทำตามกฎ แต่ก็ยังเกิดการแก่งแย่งแข่งขัน คนส่วนใหญ่เลือกจะขี่กระบี่กลายร่างเป็นสายรุ้งยาวจากไปไกลอย่างสง่างาม บ้างก็บังคับสมบัติอาคมทะยานกลางอากาศ บ้างก็ขี่สัตว์เซียนกระโดดลงไปจากเรือโดยตรง เป็นภาพที่วุ่นวายอุตลุด เสียงดังจอแจ พวกผู้ดูแลที่อยู่บนเรือของสำนักพีหมาและยังมีคนที่อยู่ตรงท่าเรือบนดินเห็นเจ้าพวกตะพาบที่มารดามันไม่รักษากฎอีกแล้วพวกนี้ก็พากันสบถด่า และยังมีผู้ฝึกตนขอบเขตชมมหาสมุทรคนหนึ่งที่รับผิดชอบเฝ้าระวังท่าเรือที่เนื่องจากโมโหมาก จึงลงมือฟาดให้ผู้ฝึกลมปราณคนหนึ่งที่ทะยานลมผ่านเหนือหัวตัวเองไปให้ร่วงลงมาบนพื้นโดยตรง
ทำเอาเฉินผิงอันที่มองดูอยู่ไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี นี่ยังอยู่ใต้เปลือกตาของสำนักพีหมาอยู่เลยนะ หากเปลี่ยนไปเป็นที่อื่นจะต้องวุ่นวายขนาดไหนกัน?
เฉินผิงอันไม่รีบร้อนลงจากเรือ อีกทั้งเถ้าแก่ผู้เฒ่าก็ยังเล่าถึงสถานที่บางแห่งที่ต้องไปเยือนให้ได้ของชายหาดโครงกระดูก คนเขาหวังดีแนะนำสถานที่ที่มีชื่อเสียงของที่นี่ เฉินผิงอันก็ไม่ควรจะปล่อยให้เขาพูดได้แค่ครึ่งเดียวกระมัง จึงอดทนฟังเถ้าผู้เฒ่าอธิบายจนจบ ภาพเหตุการณ์ทั้งหลายด้านล่างเรือ แม้เฉินผิงอันจะใคร่รู้ แต่เขาเข้าใจเรื่องหนึ่งมาตั้งแต่เด็กแล้ว นั่นคือเวลาพูดคุยกับคนอื่น หากอีกฝ่ายพูดคุยอย่างกระตือรือร้นจริงใจ แต่เจ้าเหลียวซ้ายแลขวาไปทั่ว นี่เรียกว่าไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนจากตระกูล ดังนั้นเฉินผิงอันจึงเพียงแค่ชำเลืองตามองไม่กี่ครั้งแล้วดึงสายตากลับคืนมา
เถ้าแก่ผู้เฒ่าทำการค้าอยู่บนร้านของเรือข้ามฟากมาสองสามร้อยปีแล้ว ต้อนรับผู้มาเยือนส่งลาผู้ที่จากไป จึงฝึกฝนจนมีดวงตาทิพย์แล้ว เขาจึงจบหัวข้อสนทนาก่อนหน้านี้อย่างรวดเร็ว ยิ้มบางๆ อธิบายว่า “อุตรกุรุทวีปของพวกเรามองดูเหมือนวุ่นวาย แต่หากอยู่นานไปกลับจะรู้สึกสาแก่ใจ อยู่ดีไม่ว่าดีก็ยุติความแค้นได้อย่างง่ายดายซะอย่างนั้น ทว่าเรื่องราวประมาณว่าพบเจอกันโดยบังเอิญ แต่กลับยึดมั่นในสัญญา กล้าที่จะไหว้วานฝากชีวิตไว้ให้แก่กันก็ยิ่งมีไม่น้อย เชื่อว่าวันหน้าคุณชายเฉินก็จะเข้าใจเอง”
เถ้าแก่ผู้เฒ่าพูดมาถึงตรงนี้ บนใบหน้าที่แก่ชราเพราะผ่านคลื่นลมมรสุมมาอย่างโชกโชนนั้นก็เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจในตัวเองที่ปกปิดเอาไว้ไม่อยู่
เรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่สำหรับเฉินผิงอัน จึงเป็นเหตุให้หัวใจของเขาเจ็บแปลบ รู้สึกเสียใจเล็กน้อย
เคยมีคนที่ภาคภูมิใจเพราะเกิดมาในอุตรกุรุทวีปแบบนี้เช่นกัน ต่อให้พวกนางจะเป็นแค่ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่าง เป็นแค่สาวใช้ของเรือข้ามฟากภูเขาต่าเจี้ยวก็ตาม
เถ้าแก่ผู้เฒ่าลังเลเล็กน้อย แล้วก็นึกถึงเรื่องที่เว่ยป้อองค์เทพแห่งขุนเขาเหนือของต้าหลีมาพบกับตนเป็นการส่วนตัวได้ จึงเอ่ยเบาๆ ว่า “คุณชายเฉิน ขอให้ข้าพูดประโยคที่ไม่ค่อยน่าฟังสักหน่อยได้หรือไม่?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เชิญเถ้าแก่หวงพูดได้เลย”
เถ้าแก่ผู้เฒ่าเอ่ยเนิบช้า “อุตรกุรุทวีปค่อนข้างผลักไสคนนอก แล้วก็ชอบตีกันเอง ทว่าเวลาที่ต้องรับมือกับคนนอกกลับสมัครสมานสามัคคีกันมากเป็นพิเศษ รังเกียจพวกคนต่างถิ่นสองสามประเภทมากที่สุด ประเภทแรกคือลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อที่เดินทางมาท่องเที่ยวที่นี่ ด้วยรู้สึกว่ากลิ่นสาบยากจนทั่วร่างของพวกเขาไม่ถูกจริตอย่างยิ่ง อีกประเภทหนึ่งก็คือลูกหลานตระกูลเซียนร่ำรวยจากทวีปอื่นที่แต่ละคนสายตามองสูงไม่เห็นหัวใคร ประเภทสุดท้ายก็คือผู้ฝึกกระบี่ต่างถิ่น รู้สึกว่าคนพวกนี้ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ กล้าบังอาจมาขัดเกลากระบี่ที่อุตรกุรุทวีปของพวกเรา”
ผู้เฒ่ายื่นมือไปจับราวรั้ว ถอนหายใจแล้วพูดอย่างปลงอนิจจังว่า “ในบรรดาทั้งสามประเภทนี้ ประเภทที่สองเป็นที่น่ารังเกียจมากที่สุด ในประวัติศาสตร์ไม่รู้ว่ามีคนหนุ่มของทวีปอื่นกี่มากน้อยที่สามารถเรียกลมเรียกฝนในบ้านเกิดตัวเองได้ อาศัยบรรพบุรุษหรือไม่ก็สถานะของผู้ปกป้องมรรคามาโอ้อวดตน ไม่ว่าจะพูดจาหรือทำอะไรก็ไม่ค่อยละเอียดรอบคอบ แทบจะไม่มีใครที่เป็นที่ชื่นชอบของคนอื่น หากต้องหน้าม่อยคอตกเผ่นหนีจากอุตรกุรุทวีปไป นี่ยังนับว่าดี เส้นทางการฝึกตนขาดสะบั้น หรืออาจถึงขั้นต้องมาตายอยู่ที่นี่โดยตรงก็มีอยู่ไม่น้อย ในบรรดานี้ก็มีผู้สูงศักดิ์หวงจื่อของจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์ มีลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเมธีร้อยสำนัก ลูกศิษย์คนสุดท้ายของบรรพจารย์ขอบเขตบินทะยานผู้นำแห่งตระกูลเซียนในหลิวเสียทวีป และยังมีน้องชายแท้ๆ ของเทพแห่งโชคลาภในธวัลทวีปผู้นั้น ตอนนั้นก็ถูกคนฆ่าตายอยู่ที่นี่ บัญชีเละเทะเก่าค้างปีพวกนี้มีมากจะตายไป ภัยพิบัติหลายอย่างที่สะท้านฟ้าสะเทือนดิน พวกผู้ฝึกตนบนยอดเขาของทวีปอื่นที่ญาติและพี่น้องตายไป จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าศัตรูของตัวเองเป็นใคร”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “คำเตือนของเถ้าแก่หวง ข้าจะจดจำไว้ให้ขึ้นใจ”
เถ้าแก่ผู้เฒ่ามีรอยยิ้มประดับใบหน้าอีกครั้ง เขากุมหมัดเอ่ยเสียงดังฟังชัดว่า “ข้อต้องห้ามหลายอย่างเหมือนเชือกธรรมดาในตลาดที่ไม่สามารถพันธนาการเจียวหลงในโลกมนุษย์ได้ อุตรกุรุทวีปไม่เคยปฏิเสธวีรบุรุษที่แท้จริง ถ้าอย่างนั้นข้าก็ขออวยพรให้คุณชายเฉินที่อยู่ในอุตรกุรุทวีปบุกฝ่าฟ้าดินที่เป็นของตัวเองได้สำเร็จ!”
เฉินผิงอันกุมหมัดคารวะกลับคืน “ถ้าอย่างนั้นก็ขอให้สมพรปากเถ้าแก่หวง!”
เฉินผิงอันสวมงอบ สวมชุดเขียวสะพายกระบี่ ไปจากเรือข้ามฟากของสำนักพีหมาลำนี้
ตามคำบอกของเถ้าแก่ผู้เฒ่าหวง ชายหาดโครงกระดูกมีสถานที่อยู่สามแห่งที่จำเป็นต้องไป ไม่อย่างนั้นจะถือว่ามาเสียเที่ยว
หนึ่งคือศาลเทพลำคลองเหยาเย่ที่ระดับขั้นไม่สูง แต่มีอาณาเขตกว้างขวางอย่างยิ่ง ในฐานะเทพลำคลอง มีร่างทองตั้งบูชาอยู่ในศาล เมื่อเทียบกับเทพวารีของแม่น้ำสายใหญ่ยาวหลายหมื่นลี้ส่วนใหญ่ของอุตรกุรุทวีปแล้ว ยังมีหน้ามีตามากกว่าเสียอีก
และยังมีนครขนาดมหึมาแห่งหนึ่งที่มีทางเข้าอยู่ตรงตีนภูเขาสำนักพีหมา ทอดยาวไปจนถึงใต้ดินลึก มีชื่อว่านครปี้ฮว่า (จิตรกรรมฝาผนัง) ด้านใต้นครมีผนังสูงแปดด้านที่วาดภาพเทพธิดายุคบรรพกาลที่งามล่มเมืองแปดท่าน มีชีวิตชีวาเหมือนจริง เล่าลือกันว่ายังมีโชควาสนาใหญ่เทียมฟ้าที่ ‘ไม่ดูตบะ ดูแค่โชคชะตา’ รอคอยให้คนมีวาสนาไปเยือน เทพธิดาแปดท่านคือเศษซากจิตวิญญาณของขุนนางหญิงในตำหนักบางแห่งบนสรวงสวรรค์ยุคบรรพกาล หากถูกใจคนชมภาพวาดที่อยู่ ‘ใต้กระโปรง’ คนใดขึ้นมา พวกนางก็จะเดินออกมาจากภาพวาดบนผนังแล้วปรนนิบัติรับใช้ไปชั่วชีวิต แต่ละคนตบะสูงต่ำไม่เท่ากัน ตอนนี้เทพธิดาขุนนางหญิงทั้งแปดคนนี้ เหลืออยู่แค่สามคน ภาพวาดอีกห้าภาพลมปราณสลายหายไปหมดแล้ว ผู้ที่มีขอบเขตสูงที่สุดมีตบะถึงขอบเขตหยกที่เป็นห้าขอบเขตบน คนที่ขอบเขตต่ำที่สุดก็คือเซียนดินโอสถทอง อีกทั้งบนผนังยังมีสมบัติอาคมที่จะถูกพวกนางพาออกมาด้วย สำนักพีหมาเคยเชื้อเชิญยอดฝีมือของแต่ละสถานที่ให้มาใช้วิธีคัดลอกลายของตระกูลเซียน หมายจะดึงเอาสมบัติอาคมที่ถูกวาดไว้บนผนังออกมา เพียงแต่ว่าภาพจิตรกรรมฝาผนังนี้มีความลี้ลับมหัศจรรย์มากมาย จึงทำไม่สำเร็จเสียที
นอกจากโชควาสนาจากภาพวาดบนผนังที่เหลืออยู่เพียงสามภาพแล้ว ในเมืองก็ยังขายวัตถุวิเศษและวิญญาณหยินที่ผู้ฝึกตนผีในโลกปรารถนาแม้ในยามหลับฝันอีกมาก ต่อให้เป็นจวนตระกูลเซียนทั่วไปก็ยินดีจะมาที่นี่เพื่อซื้อหุ่นเชิดวิญญาณวีรบุรุษที่ผ่านการฝึกฝนอบรมมาเป็นอย่างดี ทั้งสามารถรับหน้าที่เป็นดั่งเทพทวารบาลที่เฝ้าปกป้องพิทักษ์ภูเขา แล้วก็สามารถนำมาเป็นอาวุธหนักในการป้องกันที่สามารถสละชีพตายแทนนายโดยไม่เสียดาย ท่องไปในยุทธภพร่วมกัน อีกทั้งในการแลกเปลี่ยนกันระหว่างบรรดาผู้ฝึกตนอิสระมากมายในนครปี้ฮว่าแห่งนี้ก็มักจะมีอาวุธหนักซุกซ่อนอยู่ภายใน วัตถุที่ทำให้ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มคนหนึ่งซึ่งตอนนี้ได้เดินทางไปยังกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้วร่ำรวยขึ้นมาได้ ก็คืออาวุธกึ่งเซียนชิ้นหนึ่งที่เก็บมาได้จากมือของผู้ฝึกตนอิสระคนหนึ่ง
สถานที่สุดท้ายก็คือ ‘หุบเขาผีร้าย’ ที่ดึงดูดผู้ฝึกกระบี่และผู้ฝึกยุทธเต็มตัวได้ดีที่สุดของชายหาดโครงกระดูก สำนักพีหมาตั้งใจขับไล่ผีร้ายที่ยากจะหล่อหลอมให้มารวมตัวกันอยู่ที่นี่ หลังจากคนนอกจ่ายค่าผ่านทางแล้วก็ต้องรับผิดชอบความเป็นความตายของตัวเอง
เฉินผิงอันคิดว่าจะไปนครปี้ฮว่าที่อยู่ใกล้ที่สุดก่อน
หลังจากเฉินผิงอันเดินไปไกลจากเรือข้ามฟากแล้ว
ผู้ฝึกตนเฒ่าสำนักพีหมาคนหนึ่งที่รับผิดชอบดูแลเรือข้ามทวีปซึ่งเก็บลมปราณทั้งหมดในร่างไว้ภายใน ปราณวิญญาณในช่องโพรงลมปราณไม่เล็ดรอดออกมาแม้แต่น้อย คือผู้ฝึกตนก่อกำเนิดคนหนึ่งที่มีชื่อเสียงอยู่ในชายหาดโครงกระดูกมานานแล้ว มีลำดับศักดิ์ในศาลบรรพจารย์ของสำนักพีหมาสูงมาก เพียงแต่ว่าเวลาปกติไม่ค่อยยินดีจะปรากฏตัว รำคาญการไปมาหาสู่กับคนอื่นมากที่สุด เวลานี้ผู้ฝึกตนเฒ่าปรากฏตัวอยู่ข้างกายของเถ้าแก่หวง ยิ้มกล่าวว่า “เสียแรงที่เจ้าเป็นคนทำการค้า ประโยคนั้นแค่ไม่น่าฟังเสียที่ไหน เห็นๆ กันอยู่ว่าทำให้คนรังเกียจแล้ว”
คนหนุ่มคนหนึ่งที่สามารถทำให้องค์เทพแห่งขุนเขาเหนือต้าหลีปรากฏตัวได้ คนผู้หนึ่งที่ยึดครองภูเขาสามส่วนของถ้ำสวรรค์หลีจูเพียงลำพัง จะต้องเกี่ยวข้องกับคนสามประเภทที่เถ้าแก่พูดถึงแน่นอน อย่างน้อยก็ควรจะเป็นคนประเภทหนึ่งในนั้น หากมีนิสัยเหมือนพวกเด็กรุ่นหลังสักหน่อย ไม่แน่ว่าอาจจะเห็นความหวังดีเป็นประสงค์ร้าย คิดว่าเถ้าแก่กำลังวางอำนาจใส่เขาก็เป็นได้
เถ้าแก่ผู้เฒ่าลูบหนวดยิ้ม แม้ว่าขอบเขตของเขาจะห่างชั้นจากสหายเฒ่าขอบเขตก่อกำเนิดข้างกายผู้นี้อยู่มาก แต่เวลาปกติที่คบค้าสมาคมกันกลับไม่มีพิธีรีตองอะไรมากนัก “หากเป็นคนหนุ่มที่รักหน้าตาและใจร้อน เวลาอยู่บนเรือข้ามฟากก็ไม่มีทางเก็บตัวอย่างสันโดษเช่นนี้ และเมื่อครู่เมื่อได้ยินเรื่องเกี่ยวกับสามสถานที่อย่างนครปี้ฮว่าก็คงบอกลาลงเรือไปนานแล้ว ไหนเลยจะยังยินดีรับฟังคำบ่นจากตาเฒ่าอย่างข้าอยู่เป็นครึ่งๆ วัน ไม่อย่างนั้นคำพูดประโยคนั้นของข้าคงไม่จำเป็นต้องพูดกันแล้ว”
ก่อกำเนิดผู้เฒ่ายิ้มเอ่ยว่า “รู้คนรู้หน้าไม่รู้ใจ”
เถ้าแก่ผู้เฒ่าหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “ก็แค่การค้าขายเท่านั้น หากพอจะสะสมน้ำใจคนได้ก็ต้องช่วงชิงมาสักส่วนหนึ่ง ดังนั้นถึงได้บอกอย่างไรล่ะว่าเหล่าซู เจ้าไม่เหมาะจะเป็นคนทำการค้า สำนักพีหมามอบเรือลำนี้ให้เจ้าดูแลก็ช่างเป็นการย่ำยีภูเขาเงินภูเขาทองเสียจริง มีเครือข่ายความสัมพันธ์ผู้คนที่เดิมทีสามารถดึงมาเป็นพรรคพวกมากน้อยเท่าไหร่ที่วิ่งผ่านหน้าเจ้าไปมา แต่เจ้ากลับไม่คว้าเอาไว้”
“ผู้ฝึกตน หากราบรื่นไปเสียทุกเรื่อง จะเป็นเรื่องดีจริงๆ หรือ?”
ก่อกำเนิดเฒ่าหัวเราะเสียงเย็น “หากเปลี่ยนให้เซียนดินที่มีความหวังว่าจะเป็นห้าขอบเขตบนคนหนึ่งมาแทน ใช้เวลาไปอย่างเปล่าประโยชน์ จะไม่ยิ่งเป็นการย่ำยีไปมากกว่านี้หรอกหรือ”
เถ้าแก่ผู้เฒ่าแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจความนัยที่แฝงอยู่ เขาวางศอกสองข้างเท้าไว้บนราวรั้ว ทอดสายตามองทัศนียภาพของมาตุภูมิ กิจการเรือข้ามทวีปนี้ สิ่งที่ไม่ขาดแคลนมากที่สุดก็คือการได้มองหมื่นภูเขาพันแม่น้ำจนเต็มอิ่ม แต่เมื่อได้เห็นมาเยอะแล้ว ก็ยังรู้สึกว่าน้ำและดินของบ้านเกิดตัวเองดีที่สุด เวลานี้ได้ยินคำพูดของผู้ฝึกตนใหญ่ก่อกำเนิด เถ้าแก่ผู้เฒ่าก็หัวเราะร่า “อย่าเห็นข้าเป็นกระบุงสิ ข้าไม่รับคำบ่นจากใครหรอกนะ”
ก่อกำเนิดผู้เฒ่าไม่เห็นเป็นสำคัญ นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ก็ขมวดคิ้วถามว่า “สำนักกุยหยกนี่ยังไงกันแน่? เหตุใดถึงได้ย้ายสำนักเบื้องล่างไปอยู่ที่แจกันสมบัติทวีป ตามหลักแล้ว เมื่อตู้เม่าตายไป สำนักใบถงก็พอจะฝืนประคับประคองตัวเองไม่ให้ถึงขั้นเป็นดั่งไม้ล้มวานรแตกฮือ ขอแค่สวินยวนเอาสำนักเบื้องล่างไปตั้งวางไว้ทางทิศเหนือของสำนักใบถง ฉวยโอกาสที่อีกฝ่ายเหมือนคนป่วยใกล้ตาย คาดว่าไม่ถึงสามร้อยปี สำนักใบถงก็ต้องจบเห่อย่างสิ้นเชิงแล้ว เหตุใดสวินยวนถึงไม่ทำเรื่องที่เหมือนเก็บของได้เปล่าเช่นนี้? สำนักเบื้องล่างอยู่ที่แจกันสมบัติทวีป ต่อให้ศักยภาพแฝงจะมีมากแค่ไหน แต่จะเทียบกับการฮุบกลืนสำนักใบถงเกินครึ่งหนึ่งไปได้หรือ? ว่ากันว่าตอนเป็นหนุ่ม สวินยวนผู้นี้เป็นพวกเสเพล คงไม่ใช่ว่าหัวถูกสองขาของสตรีคนใดหนีบเข้าหรอกนะ?”
—–