กระบี่จงมา Sword of Coming – บทที่ 492.2 ออกหมัดและกระบี่

บทที่ 492.2 ออกหมัดและกระบี่

ฟ่านอวิ๋นหลัวลุกขึ้นยืนช้าๆ ต่อให้นางจะยืนอยู่บนรถลาก ระดับความสูงก็ยังได้แค่เท่ากับผีสาวอายุน้อยที่สวมชุดชาววังสองคนซึ่งยืนอยู่ด้านล่างบันไดนอกรถลากเท่านั้น

ฟ่านอวิ๋นหลัวถามหน้าเคร่ง “พูดมากมานานขนาดนี้ แค่มองก็รู้ว่าไม่เหมือนคนที่กล้าจะใช้วิธีรุนแรงให้พินาศกันไปทั้งสองฝ่าย ชั่วชีวิตที่ผ่านมานี้ ข้าเกลียดการต่อรองราคากับคนอื่นมากที่สุด ในเมื่อเจ้าไม่รับน้ำใจ ถ้าอย่างนั้นก็จะกรีดดึงเอาหนึ่งจิตหนึ่งวิญญาณของเจ้ามาจุดไฟอยู่ในนครฟูนี่เราก่อน จากนั้นพวกเราค่อยมาพูดเรื่องการค้ากันใหม่ เป็นเจ้าที่หาเรื่องลำบากใส่ตัวเอง มีเงินเทพเซียนกองใหญ่วางไว้ให้ดันไม่รับเอาไป จะเอากำไรเล็กเท่าหัวแมลงวันที่ต้องแลกด้วยชีวิตเสียได้”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ได้รับการชี้แนะแล้ว”

เพราะฉะนั้นถึงได้บอกว่าเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม อยู่ในอุตรกุรุทวีปแห่งนี้ ใช้ปากถกถึงหลักการเหตุผลก็คือวิธีการชั้นต่ำมากที่สุด

นึกถึงอริยะสำนักศึกษาท่านนั้น เขาเองก็ต้องลงมือซ้อมผู้ฝึกตนใหญ่สามท่านด้วยตัวเอง อีกฝ่ายถึงจะยอมรับผิดไม่ใช่หรือ?

เฉินผิงอันชำเลืองตามองม่านฟ้า

เดิมทีคิดจะทำไปตามลำดับขั้นตอน เริ่มฝึกปรือฝีมือเอาจากผีโอสถทองที่กองกำลังค่อนข้างน้อยนิดตนนั้น

ตอนนี้ดูท่าคงต้องเปลี่ยนกลยุทธกันสักหน่อยแล้ว

อยู่ตัวคนเดียวกำลังน้อยนิด ต่อสู้กับคนทั้งนครฟูนี่เพียงลำพัง ก็คือโอกาสในการฝึกประสบการณ์ที่หาได้ยากเหมือนกัน

อีกทั้งนครฟูนี่ยังตั้งอยู่ทางทิศใต้สุดของหุบเขาผีร้าย ห่างจากเมืองหลันเซ่อไม่ไกล เฉินผิงอันจึงได้ทั้งรุกและทั้งถอย

แต่เฉินผิงอันตัดสินใจแล้วว่า ในเมื่อจะเริ่มต่อสู้ ก็อย่าได้ทิ้งภัยร้ายไว้เบื้องหลังจะดีกว่า

ต่อให้ทุกครั้งที่ถอยหนีก็ต้องเพื่อให้พร้อมสำหรับการเข่นฆ่าครั้งต่อไปกับภูตผีในเมืองฟูนี่เท่านั้น

ไม่อย่างนั้นเดินทางขึ้นเหนือเพียงลำพัง แต่กลับต้องคอยระวังคนลอบโจมตีจากด้านหลังตลอดเวลา นั่นต่างหากถึงจะเรียกได้ถ่วงเวลาอืดอาดอย่างแท้จริง

อีกทั้งเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะสามารถประหยัดยันต์ย่อพื้นที่กระดาษสีทองไปแผ่นหนึ่งก็เป็นได้

ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันเดินทางขึ้นเหนือมาตลอดทางก็มักจะรู้สึกได้ถึงปราการกั้นขวางระหว่างหยินและหยางในหุบเขาผีร้ายแห่งนี้ เมื่อลองชั่งน้ำหนักอย่างละเอียดก็คิดว่า หากตนถือเจี้ยนเซียนแล้วออกแรงเต็มกำลัง ไม่แน่ว่าอาจสามารถฟันผ่าให้เกิดรอยแยกเส้นหนึ่งในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ได้จริง เพียงแต่ว่าการผ่าเส้นทางนั้น พละกำลังของตนจะหมดสิ้น หากอยู่ห่างจากประตูบานเล็กนั่นมากเกินไปก็ยังยากที่จะจากไปได้อยู่ดี ดังนั้นเฉินผิงอันจึงคิดว่าจะเขียนยันต์ย่อพื้นที่กระดาษสีทองอีกแผ่นหนึ่ง ถือสองแผ่นไว้ในมือ ต่อให้อยู่ห่างจากปราการฟ้าดินมากเกินไป ต่อให้จะมีศัตรูแข็งแกร่งรุมล้อมสกัดกั้นทางหนี ก็ยังคงมีโอกาสหนีออกจากหุบเขาผีร้ายไปถึงชายหาดโครงกระดูกได้อยู่ดี

เพียงแต่ว่าเรื่องนี้จะรีบร้อนไม่ได้ จำเป็นต้องหาพื้นที่สงบๆ วาดยันต์ ไม่อย่างนั้นหากเปิดเผยรากฐานของตัวเองออกไป อย่าว่าแต่ยันต์ย่อพื้นที่กระดาษสีทองสองแผ่นเลย ต่อให้มียี่สิบแผ่นก็ไร้ประโยชน์

ผู้แข็งแกร่งขอบเขตเซียนดินในหุบเขาผีร้ายมีมากมาย นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเจ้านครจิงกวานที่เป็นขอบเขตหยกดิบเลย หากมันคิดจะออกไปจากหุบเขาผีร้าย น่าจะไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่ว่ากลัวก็แต่ผู้ฝึกตนสำนักพีหมาจะอาศัยชัยภูมิที่ได้เปรียบในชายหาดโครงกระดูกมาเฝ้าตอรอกระต่ายก็เท่านั้น แต่ไม่แน่ว่าสำนักพีหมาอาจจะคาดหวังให้ผีขอบเขตหยกดิบตนนี้ออกไปจากหุบเขาผีร้ายก็เป็นได้ เพราะเมื่อกลุ่มมารไร้ผู้นำ หุบเขาผีร้ายที่แต่ไหนแต่ไรมาก็ขัดแข้งขัดขากันอยู่ตลอดเวลา พันปีที่ผ่านมามีการเข่นฆ่าอย่างโหดเหี้ยมอำมหิตเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ต่างฝ่ายต่างผูกปมแค้นที่ลึกล้ำต่อกัน เมื่อไม่มีเสาหลักสำคัญแล้วจะไม่เป็นดั่งทรายหนึ่งถาดที่ถูกสาดทิ้งหรอกหรือ?

ฟ่านอวิ๋นหลัวใช้เสียงในใจบอกเตือนเหล่าภูตผีใต้บังคับบัญชา “ระวังกระบี่เล่มที่อยู่ด้านหลังคนผู้นี้ให้ดี มีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นสมบัติอาคมที่มีเพียงผู้ฝึกกระบี่เซียนดินเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์ได้ครอบครอง”

สายตาของฟ่านอวิ๋นหลัวฉายประกายร้อนแรง ถูฝ่ามือสองข้างเข้าด้วยกัน ประกายแสงบนถุงมือสองข้างพลันระเบิดเจิดจ้า นี่ก็คือหนึ่งในที่พึ่งที่ทำให้ ‘แยนจือโหว’ อย่างนางสามารถสร้างนครขึ้นมาทางใต้ของหุบเขาผีร้าย อีกทั้งยังตั้งตระหง่านไม่โค่นล้มมาจนทุกวันนี้

ฟ่านอวิ๋นหลัวกระตุกมุมปาก ขอแค่จับตัวคนหนุ่มผู้นั้นไว้ได้ เขาย่อมกลายมาเป็นทรัพย์สมบัติก้อนใหญ่น่าชื่นชมที่ได้มาครองอย่างไม่คาดฝันแน่นอน! ชุดคลุมอาคมสีเขียวบนร่างชุดนั้นก็ถือว่าไม่เลวแล้ว และยังมีกาเหล้าใบนั้นที่ผูกไว้ตรงเอวอีก ไม่แน่ว่าอาจได้ยอดฝีมือช่วยร่ายเวทอำพรางตาให้ ระดับขั้นมีแต่จะสูงยิ่งกว่า บวกกับกระบี่เล่มนั้น หากปีนี้นำไปมอบเป็นของบรรณาการให้แก่เมืองกรงขาว ไม่เพียงแต่เหลือเฟือ ระหว่างชุดคลุมอาคมสีเขียวกับกาเหล้าสีชาดที่ไม่ว่าจะเลือกชิ้นใดก็ล้วนทำให้นครฟูนี่ได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ ขอแค่ได้ขยับขยายเติมเต็มกองกำลังทหารม้าพันกว่านายที่มีอยู่ ถึงเวลานั้นไม่แน่ว่าอาจจะไม่ต้องยืมจมูกคนอื่นหายใจ ใช้ชีวิตอยู่รอดไปวันๆ เช่นนี้อีก

ถึงอย่างไรแล้วการที่ตอนนั้นส่งป๋ายเหนียงเนียงซึ่งพลังการต่อสู้ไม่สูง แต่กลับเชี่ยวชาญเวทมายาลวงใจให้มาหยั่งเชิงที่นี่ เดิมทีก็เป็นการเตรียมความพร้อมไว้ทั้งสองด้าน หากเป็นกระดูกแข็งที่แทะไม่แตก ถ้าอย่างนั้นก็ถอยหนึ่งก้าวไปทำการค้าที่เป็นดั่งน้ำเส้นเล็กไหลยาว แต่หากบนร่างของคนผู้นี้มีสมบัติล้ำค่า ทว่าความสามารถอ่อนด้อย ถ้าอย่างนั้นก็โทษไม่ได้หากนครฟูนี่จะทำตัวเป็นดั่งคนอยู่ใกล้ศาลาริมน้ำแล้วได้ชมจันทร์ก่อน เป็นฝ่ายยึดครองผลประโยชน์ใหญ่เทียมฟ้าไปเพียงลำพัง

อยู่ในหุบเขาผีร้ายอย่าว่าแต่กินคน แม้แต่ผีกันเองก็ยังกิน!

เฉินผิงอันยื่นมืออ้อมไปหลังไหล่ “ไปเล่นเอาเอง จำไว้ว่าต้องโจมตีให้ตายในครั้งเดียว อีกทั้งอย่าทำให้โครงกระดูกของอีกฝ่ายเสียหาย โครงกระดูกขาวของผีสาวเหล่านี้ ข้าจะต้องเก็บเอามาทำทุนต่อ หากแหลกละเอียดคงเอาไปขายได้ราคาไม่ดี”

จากนั้นเฉินผิงอันก็ตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่หนึ่งที “หลักการเดียวกัน”

เส้นยาวสีทองเส้นหนึ่งพุ่งพรวดออกมาจากด้านหลังเฉินผิงอัน

น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่ผูกไว้ตรงเอวก็มีลำแสงสองเส้น หนึ่งสีขาวหิมะ หนึ่งสีเขียวมรกตพุ่งออกมา

วัตถุหยินผีสาวจากนครฟูนี่สิบกว่าตนที่ยืนโอบล้อมเป็นเฉินผิงอันเป็นวงกลมอยู่บนลานกว้างหยกขาวแห่งนี้รู้สึกเพียงว่ามีแสงสีทองเส้นหนึ่งพุ่งผ่านไป ดวงตาทั้งคู่ของพวกนางแสบร้อนจนเกินจะทน เหมือนเจอกับดวงอาทิตย์แผดเผา นาทีถัดมาสาวงามก็มอดม้วย

ยิ่งไปกว่านั้นยังมีแสงจุดหนึ่งพุ่งทะลุหว่างคิ้วของพวกนางไป

เฉินผิงอันไม่รีบไม่ร้อน เขาม้วนชายแขนเสื้อสีเขียวขึ้น กระโดดลงมาจากกิ่งไม้แห้งใต้ฝ่าเท้าเบาๆ พุ่งตัวเป็นเส้นตรงไปยังรถลากคันนั้น

รักหยกถนอมบุปผา?

ตอนอยู่ในวัดร้างของแคว้นซูสุ่ย เด็กหนุ่มรองเท้าเตะเคยปล่อยหมัดแล้วหมัดเล่าต่อยลงบนศีรษะของผีสาวตนหนึ่งถี่รัวราวกับฝนตกกระหน่ำ ทำให้ผีสาวที่เรือนกายอวบอิ่มเปี่ยมไปด้วยความเย้ายวนมีเสน่ห์แหลกสลายเป็นผุยผง

ตอนอยู่ศาลเทพอภิบาลเมืองแคว้นไฉ่อีที่เคยต่อสู้กับสือโหรวซึ่งตอนนั้นยังเป็นผีงามโครงกระดูกก็ยิ่งคล่องแคล่วฉับไว

ช่วงแรกเริ่มสุด ลำคอของไช่จินเจี่ยนแห่งภูเขาเมฆาเรืองที่อยู่ในตรอกเก่าโทรมก็ต้องกินเศษกระเบื้องที่จู่โจมเข้ามาอย่างกะทันหัน

หญิงชราผู้นั้นตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว ดูเหมือนกำลังลังเลว่าควรจะปกป้องเจ้านคร เอาตัวไปขัดขวางคนผู้นี้ดีหรือไม่

ใบหน้าของฟ่านอวิ๋นหลัวแข็งกระด้างเย็นชา เพียงแต่ว่านาทีถัดมานางก็คลี่ยิ้มดุจบุปผาผลิบานในวสันตฤดู รอยยิ้มนั้นน่าหลงใหล นางเอ่ยพร้อมยิ้มบางๆ “เซียนกระบี่ท่านนี้ ไม่อย่างนั้นพวกเรามานั่งพูดคุยกันดีๆ ดีกว่าไหม? ราคานั้นปรึกษากันได้ ถึงอย่างไรก็ล้วนให้ใต้เท้าเซียนกระบี่เป็นผู้ตัดสินใจอยู่แล้ว”

ใต้ฝ่าเท้าของเฉินผิงอันพลันเพิ่มพละกำลังจนอากาศปริแตกเหมือนใยแมงมุม ถึงขั้นทำให้ลานกว้างหยกขาวที่ก่อนหน้านี้ผีสาวสองตนผู้ทำหน้าที่เปิดทางใช้อาวุธวิเศษแผ่นหยกสร้างขึ้นมาเป็นเหมือนเครื่องกระเบื้องที่หล่นแตก เศษชิ้นส่วนปลิวกระเซ็นไปสี่ทิศ

เฉินผิงอันพุ่งตัวในแนวดิ่ง กระโจนเข้าหารถลาก

ผีสาวสองตนพยายามจะขัดขวาง แต่กลับถูกพายุลมกรดที่อบอวลอยู่สองข้างกายของเฉินผิงอันดีดกระเด็นออกไป

ฟ่านอวิ๋นหลัวผู้นั้นหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย นางโบกชายแขนเสื้อสองข้าง ชายกระโปรงที่ใหญ่ราวกับใบบัวซึ่งกินพื้นที่เกินครึ่งของรถลากพลันพลิ้วกระเพื่อม นางส่งเสียงหัวเราะคิกๆ เพียงแต่ว่าแววอำมหิตในดวงตากลับฉายชัดเจน แต่กระนั้นปากก็ยังเอ่ยถ้อยคำหวานเลี่ยนอย่างอ่อนหวาน “กลัวเจ้าแล้วล่ะ ไว้ค่อยเจอกันๆ แน่จริงก็มากระหนุงกระหนิงกับข้าต่อที่นครฟูนี่แล้วกัน”

รถลากโยกคลอน ทำให้สาวใช้สวมชุดชาววังสองคนกระเด็นหลุดจากรถ

เฉินผิงอันกระโดดทะยานตัวขึ้นสูง ยื่นมือออกมา เจี้ยนเซียนที่มีจิตเชื่อมโยงกับเขาก็พุ่งมาถึง ถูกเฉินผิงอันกุมไว้ในมือ แล้วยกกระบี่ฟันฉับลงไป

รถลากคันมหึมากลิ้งหลบเหมือนมีสติปัญญา รอดพ้นกระบี่นั้นมาได้อย่างหวุดหวิด จากนั้นก็ผลุบหายเข้าไปใต้ดินของป่าลึกในเสี้ยววินาที เสียงทึบอื้ออึงดังมาจากใต้ดิน เห็นได้ชัดว่ากำลังเผ่นหนีไป

เฉินผิงอันดีดปลายเท้าเหยียบอยู่บนกระบี่บินชูอีที่ตามมาอย่างทันท่วงที ร่างทะยานขึ้นสูงจากเดิมสิบกว่าจั้ง ไล่ตามเสียงความเคลื่อนไหวใต้ดินไป สุดท้ายจ้องนิ่งไปยังมุมหนึ่ง เจี้ยนเซียนหลุดพุ่งไปจากมือ เหมือนลูกธนูดอกหนึ่งที่ถูกง้างสุดสายแล้วยิงฉิวออกไป

รถลากคันนั้นรีบร้อนเปลี่ยนวิถีการโคจร จึงหลบการทิ่มแทงจากเจี้ยนเซียนมาได้

เมื่อเกิดเหตุติดขัดครั้งนี้ ความเร็วในการหลบหนีของฟ่านอวิ๋นหลัวจึงช้าลงกว่าเดิมหลายส่วนอย่างเลี่ยงไม่ได้

ใต้ผืนแผ่นดินเกิดเสียงดังครืนครั่นเหมือนเสียงฟ้าร้องในฤดูใบไม้ผลิท่ามกลางดินแดนแห่งความมืด

ใต้ดินมีรัศมีแสงเรืองรองเปล่งประกายวูบวาบอยู่เป็นระลอก และยังมีเสียงสบถด่าสาปแช่งอย่างเป็นเดือดเป็นแค้นจากเจ้านครฟูนี่ผู้นั้น สุดท้ายเสียงก็แผ่วเบาลงเรื่อยๆ ราวกับว่ารถลากพุ่งพรวดเผ่นหนีไปยังจุดลึกใต้ดินในรวดเดียว

เฉินผิงอันรู้ดีว่านี่คือวิชาลับในการหลบหนีของรถลาก คิดดูแล้วน่าจะมีขีดจำกัดอยู่บ้าง เพราะยิ่ง ‘ล่องลอย’ อยู่บนผิวดิน ความเร็วของรถก็ยิ่งมาก แต่หากยิ่งมุดดำไปอยู่ใต้ดินลึกเท่าไหร่ เบื้องใต้พื้นดินของหุบเขาผีร้ายที่ดินและน้ำแปลกประหลาดแห่งนี้ก็ยิ่งมีอุปสรรคขัดขวางมากเท่านั้น แรกเริ่มฟ่านอวิ๋นหลัวผู้นั้นยังหวังว่าตัวเองจะโชคดี ตอนนี้กลับต้องมาเสียเปรียบครั้งใหญ่ จึงได้แต่เลือกในข้อที่จะทำให้ตัวเองได้รับผลเสียน้อยที่สุด นางยินดีกลับไปถึงนครฟูนี่ให้ช้าสักหน่อย แต่ถึงอย่างไรต้องหลบให้พ้นการลอบฆ่าของเจี้ยนเซียนและพายุหมัดของตนที่กระเทือนผืนดินไปให้ได้

เจี้ยนเซียนมีจิตเชื่อมโยงอยู่กับเฉินผิงอัน มันปล่อยให้เขาเหยียบไว้ใต้ฝ่าเท้า ไม่ได้ลอยตัวขึ้นสูงมากนัก พยายามแนบติดไปกับพื้นดินให้ได้มากที่สุด จากนั้นก็บังคับกระบี่มุ่งตรงไปยังนครฟูนี่

ส่วนกระบี่บินชูอีกับสืออู่ก็มุดใต้ดินไล่ตามรถลากคันนั้นไป

ไม่ว่าจะอย่างไรก็คงจะปล่อยให้ฟ่านอวิ๋นหลัวหลบหนีกลับเข้าไปในนครฟูนี่อย่างสบายนักไม่ได้

อีกทั้งเฉินผิงอันยังอยากจะลองหยั่งเชิงค่ายกลใหญ่ปกป้องนครของนครฟูนี่ดูด้วยว่าจะสามารถต้านทานการออกกระบี่อย่างเต็มแรงครั้งหนึ่งของตนได้ไหม

ตรงภูเขาลูกเล็กลูกหนึ่ง เฉินผิงอันหยุดกระบี่ยืนนิ่ง

ตรงนั้นมีผีกระดูกขาวที่สวมชุดลัทธิขงจื๊อ แต่บนร่างกลับไม่มีเลือดเนื้อแม้แต่น้อย ตรงเอวห้อยกระบี่ตนหนึ่งยืนอยู่

เขายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ยามกระต่ายโมโหก็ยังรู้จักกัดคน เหตุใดเจ้าต้องคิดจะเข่นฆ่าฟ่านอวิ๋นหลัวผู้นั้นให้ตายกันไปข้างด้วยเล่า แต่ไหนแต่ไรมานางก็มีนิสัยชอบรังแกคนอ่อนแอกลัวคนแข็งแกร่ง รู้จักสังเกตและประเมินการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์มากที่สุด เจ้าไม่ต้องกังวลว่านางจะตอแยเจ้าไม่เลิกรา หลายปีที่ผ่านมานี้ ความฉลาดของนางทำให้นางเสียเรื่องไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้ง เป็นดั่งคนใบ้กินหวงเหลียน นางเองก็เคยชินมานานแล้ว ในเมื่อนางตกใจขวัญหนีดีฝ่อขนาดนี้แล้วก็มีแต่จะก้มหน้ายอมรับผิดกับเจ้า แล้วนับประสาอะไรกับที่หากเจ้าสังหารฟ่านอวิ๋นหลัวจริงๆ ก็เท่ากับทำลายกฎเกณฑ์บางอย่างที่จู๋เฉวียนตั้งไว้กับเจ้านครจิงกวาน ถูกเจ้านครกลุ่มใหญ่ไล่ฆ่า ฝูงมดยังรุมกัดให้ช้างตายได้ ถึงเวลานั้นเจ้าก็ได้แต่ถอยออกจากหุบเขาผีร้ายเท่านั้น ข้าขอเตือนเจ้าด้วยความหวังดี หากเจ้ายังมุ่งหน้าไปทางเหนือต่อ ต่อให้ขี่กระบี่แนบติดพื้นก็ยังจะถูกเจ้านครบริเวณใกล้เคียงพบเจอร่องรอยอยู่ดี”

เฉินผิงอันถาม “เจ้าคือ?”

มือกระบี่โครงกระดูกที่สวมชุดลัทธิขงจื๊อยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ผีโอสถทองที่บังเอิญได้ฟ่านอวิ๋นหลัวมาต้านทานหายนะแทนผู้นั้นแขวนชื่อไว้ในนครของข้า แต่ก็เพียงแค่นี้เท่านั้น ข้าแนะนำเจ้าว่าควรรีบกลับไปที่สันเขาอีกาแห่งนั้นโดยเร็ว ไม่อย่างนั้นทุกสิ่งที่เจ้าทำมาอาจจะสูญเปล่า กลายเป็นว่าปล่อยให้ผีโอสถทองตนนั้นปล้นชิงของเชลยศึกทั้งหมดไปได้ บอกไว้ก่อนว่าการแบ่งแยกกษัตริย์ขุนนางหรือนายบ่าวในหุบเขาผีร้ายก็เป็นแค่เรื่องตลกเท่านั้น ไม่มีใครคิดเป็นจริงเป็นจัง เมื่อคำว่าผลประโยชน์มาอยู่ตรงหน้า ต่อให้เป็นราชาสวรรค์ก็ยังไม่เห็นหัว เชื่อหรือไม่ก็เรื่องของเจ้า”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ที่แท้ก็เป็นเจ้านครกรงขาวนั่นเอง”

ทั้งๆ ที่มองดูแล้วโครงกระดูกขาวโพลนที่ห่มชุดลัทธิขงจื๊อพกกระบี่ยาวตนนั้นน่าขบขัน แต่กลับไม่ทำให้คนรู้สึกอยากหัวเราะเยาะเลยแม้แต่น้อย มันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ยินดีที่ได้พบกัน”

เฉินผิงอันใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง

จากนั้นก็ยิ้มแล้วตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่หนึ่งครั้ง กระบี่บินชูอีสืออู่จึงพากันกลับเข้ามาในน้ำเต้า

เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ มือซ้ายคีบยันต์ย่อพื้นที่สีทองแผ่นนั้นเอาไว้ ส่วนมือขวากำสร้อยข้อมือประคำแกนท้อ “เจ้านครยังมีคำแนะนำอะไรอีกหรือไม่?”

วิญญาณหยินผู้แข็งแกร่งเป็นอันดับหนึ่งทางทิศใต้ของหุบเขาผีร้ายตนนั้นส่ายหน้า “ไม่มีแล้ว”

เฉินผิงอันจึงบังคับเจี้ยนเซียนทะยานเป็นวงโค้งจากไปไกล

เจ้านครกรงขาวท่านนี้จึงกระทืบเท้าเบาๆ “ออกมาเถอะ”

รถลากคันนั้นกลิ้งออกมาจากตีนเนินเขา สมบัติหนักของนครฟูนี่ชิ้นนี้ได้รับความเสียหายอย่างหนัก มากพอจะแสดงให้เห็นถึงพลังอำนาจของหนึ่งกระบี่หนึ่งหมัดนั้นได้

ฟ่านอวิ๋นหลัวนั่งอยู่ในรถลาก สองมือปิดหน้าร่ำไห้ เวลานี้นางดูเหมือนเด็กหญิงที่ไร้เดียงสาคนหนึ่งจริงๆ แล้ว

โครงกระดูกเจ้านครที่สวมชุดเขียวพกกระบี่ยิ้มกล่าว “เจ้านะเจ้า เมื่อไหร่ถึงจะเลิกทำการค้าที่ขาดทุนเสียที? เจ้าเองก็ไม่ตรองดูให้ดีเสียบ้าง คนหนุ่มคนหนึ่งที่ระมัดระวังในทุกๆ เรื่อง แต่กลับกล้าตรงดิ่งไปยังเมืองชิงหลู จะพาตัวเองไปตายได้หรือ?”

ฟ่านอวิ๋นหลัวดุจดอกสาลี่พร่างพิรุณ นางฟุบตัวนอนคว่ำอยู่บนรถลาก แผดเสียงร่ำไห้ด้วยความเศร้าเสียใจสุดขีด

กลับมาถึงสันเขาอีกาแห่งนั้น เฉินผิงอันก็ถอนหายใจโล่งอก

นอกจากหญิงชราผู้นั้นที่ไม่อยู่แล้ว กระดูกขาวของวัตถุหยินผีสาวตนอื่นที่ตายอย่างเฉียบพลันล้วนยังคงอยู่

—–

กระบี่จงมา Sword of Coming

กระบี่จงมา Sword of Coming

Status: Ongoing
” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์  ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์  หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า  แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “
เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา
เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม
และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง
ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้
–ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท