กระบี่จงมา Sword of Coming – บทที่ 491.1 แสดงอำนาจที่เมืองฟูนี่

บทที่ 491.1 แสดงอำนาจที่เมืองฟูนี่

ฟ้าเริ่มสาง เฉินผิงอันก็ออกจากโรงเตี๊ยม บอกกล่าวแก่ลูกจ้างร้านที่นอนฟุบงีบหลับอยู่ตรงโต๊ะคิดเงินว่าจะคืนห้อง

ลูกจ้างหนุ่มก็ไม่เห็นเป็นสำคัญ เพียงพยักหน้ารับ ถือว่ารับรู้แล้ว

แม้ว่าจอมยุทธพเนจรหนุ่มที่สวมงอบคนนี้จะคืนห้องก่อนกำหนดสองวัน แต่เงินส่วนนี้ไม่ได้ร่วงเข้ามาในกระเป๋าของตนเสียหน่อย ลูกจ้างหนุ่มจึงกระตือรือร้นไม่ขึ้น เพียงแค่บอกให้สตรีที่ทำงานจุกจิกของโรงเตี๊ยมไปทำความสะอาดห้อง แล้วอีกเดี๋ยวค่อยว่ากัน

ลูกจ้างหนุ่มหันหน้ามองไปยังถนนที่เงียบสงัดนอกโรงเตี๊ยม ไม่มีเงาร่างของจอมยุทธหนุ่มอยู่แล้ว

พอเขานึกถึงข่าวลือเล็กๆ ที่แพร่มาจากทางนครปี้ฮว่าก็เริ่มรู้สึกอารมณ์ไม่ดี โชควาสนาภาพเทพขุนนางหญิงแห่งสรวงสวรรค์ทั้งสามภาพล้วนถูกคนนอกมาแย่งชิงไปหมดแล้ว เสียแรงที่เวลาตนอยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำก็มักจะไปที่นั่น ในใจคิดว่าเทพหญิงทั้งสามท่านก็ไม่ได้มีความเป็นเซียนสักเท่าไหร่ พวกนางต้องเห็นแก่รูปลักษณ์ ชาติกำเนิดของบุรุษก็เลยพุ่งเข้าหาอย่างแน่นอน พอลูกจ้างหนุ่มคิดอย่างนี้ก็ยิ่งโมโห หนูขุดรูของหนูอยู่อาศัย ช่างชวนให้คนโมโหจนตายได้จริงๆ

เฉินผิงอันออกจากตลาดไปยังซุ้มป้ายทางเข้าของหุบเขาผีร้าย จ่ายเงินให้กับผู้ฝึกตนของสำนักพีหมาที่เฝ้าประตูไปห้าเหรียญเงินเกล็ดหิมะ ได้ป้ายหยกผ่านทางที่สลักเป็นตราเก้าคด (คือลายตัวอักษรที่พับทบซ้อนกันไปมา นิยมใช้ในตราประทับหลวงของราชวงศ์ซ่ง) มาชิ้นหนึ่ง หากมีชีวิตรอดออกมาจากหุบเขาผีร้ายได้ สามารถถือป้ายนี้มารับเงินเกล็ดหิมะคืนได้สองเหรียญ

ค่าผ่านทางนี้ไม่ถือว่าแพง ก็แค่น้ำชาอินเฉินของลำคลองเหยาเย่สิบกว่าถ้วยเท่านั้น

อีกทั้งเงินเทพเซียนก้อนนี้ยังสามารถติดค้างสำนักพีหมาไว้ก่อนได้ ดังนั้นคนเดนตายที่ไร้หนทางให้เดินต่อหลายคนของหลายแคว้นที่อยู่ทางทิศเหนือของชายหาดโครงกระดูก เมื่อเข้ามาในชายหาดโครงกระดูกแล้วก็จะทำอยู่สามอย่าง จ่ายเงินไม่กี่อีแปะซื้อธูปสามดอกกราบไหว้ที่ลำคลองเหยาเย่ ขอพรจากเทพลำคลองท่านนั้น จากนั้นก็ไปเสี่ยงดวงเอาที่ภาพเทพหญิงของนครปี้ฮว่า แล้วค่อยซื้อ ‘รวมเล่มวางใจ’ เล่มหนึ่งมาจากตลาดด้วยความจำใจ เมื่อเดินผ่านซุ้มประตูมาแล้วก็สามารถมอบชีวิตให้สวรรค์จัดการได้แล้ว

มอบเงินเรียบร้อย และได้รับแผ่นป้ายที่สลักคำว่า ‘อานุภาพสวรรค์เกริกก้อง สยบหมื่นภูตผี’ มา พวกวิญญาณหยินที่แข็งแกร่งซึ่งอยู่ใกล้กับนครทางทิศใต้ของหุบเขาผีร้าย ส่วนใหญ่จะไม่เป็นฝ่ายไปหาเรื่องพวกคนที่พกป้ายหยกก่อน เพราะถึงอย่างไรกั๋วฉือเซียนซือเจ้าสำนักพีหมาก็มาปักหลักอยู่ที่หุบเขาผีร้ายตลอดทั้งปี และมักจะนำพาผู้ฝึกตนของสองเมืองออกล่าวัตถุหยิน แต่เจ้านครน้อยใหญ่ก็ไม่คิดจะพันธนาการผีร้ายผีเร่ร่อนใต้บังคับบัญชาของตัวเองด้วยเหตุนี้ ในอดีตมีพวกเจ้านครทางทิศใต้หลายคนที่คิดจะลองดี ชอบฉวยโอกาสลอบสังหารพวกคนที่พกป้ายหยก ผลกลับถูกจู๋เฉวียนกั๋วฉือเซียนซือที่ไม่เสียดายค่าตอบแทนนำพาผู้ฝึกตนเซียนดินผู้สืบทอดของศาลบรรพจารย์บุกเข้าไปถึงถิ่นของศัตรูอยู่หลายครั้ง นางยอมให้รากฐานมหามรรคาของตนได้รับความเสียหาย แต่ก็ต้องตัดหัวผู้บงการทั้งหลายต่อหน้าฝูงชนให้จงได้ การที่กั๋วฉือเซียนซือได้เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตหยกดิบช้าขนาดนี้ก็เกี่ยวข้องกับการที่นางเสี่ยงอันตรายคอยสังหารศัตรูอยู่มาก เป็นเหตุให้นางหยุดอยู่ที่ขอบเขตก่อกำเนิดมานานจนเกินไป

ครั้งหนึ่งที่สถานการณ์อันตรายที่สุดมีเพียงกั๋วฉือเซียนซือคนเดียวเท่านั้นที่บาดเจ็บสาหัสกลับมา ตรงเอวห้อยศีรษะของวิญญาณหยินที่เป็นเจ้านครไว้สามหัว หลังจากนั้นมานางก็ถูกอดีตเจ้าสำนักจับขังอยู่ในคุกหลังภูเขา ออกคำสั่งว่าหากนางไม่เลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตบนก็ห้ามลงจากภูเขาเด็ดขาด รอจนกระทั่งนางสามารถออกจากภูเขาได้ เรื่องแรกที่นางทำก็คือย้อนกลับไปที่หุบเขาผีร้าย หากไม่เป็นเพราะก่อนที่บรรพบุรุษผู้บุกเบิกขุนเขาจะจากโลกนี้ไปได้ออกคำสั่งห้ามอย่างเด็ดขาดว่า ไม่อนุญาตให้เจ้าสำนักทุกรุ่นใช้อาวุธกึ่งเซียนที่สำนักเบื้องบนในแผ่นดินกลางประทานมาให้ระดมพลทหารหยินแสนกว่านายที่เลี้ยงไว้ไปโจมตีหุบเขาผีร้ายโดยพลการ เกรงว่าด้วยนิสัยของกั๋วฉือเซียนซือ ป่านนี้ก็คงยอมให้สำนักสูญเสียพลังต้นกำเนิดครั้งใหญ่ แต่ก็ต้องยกทัพบุกไปสังหารถึงเมืองจิงกวานกระดูกขาวให้จงได้แล้ว

เวลานี้นอกจากเฉินผิงอันที่เดินทางเพียงลำพังแล้วยังมีคนอีกสามกลุ่มมารออยู่ตรงนั้น มีทั้งคนที่มีสหายเข้าไปในหุบเขาผีร้ายเป็นเพื่อนกัน แล้วก็มีทั้งคนที่มีองค์รักษ์ข้ารับใช้ติดตามมา กำลังรอคอยให้ถึงยามเหม่าพร้อมกัน

เข้าหุบเขาผีร้ายไปหาประสบการณ์ ขอแค่ไม่คิดจะเดิมพันด้วยชีวิตก็ล้วนพิถีพิถันในเรื่องฤกษ์งามยามดีทั้งสิ้น

เหล่าผู้อาวุโสของตระกูลหรือของสำนักบางแห่งต่างก็กำชับเด็กรุ่นหลังที่อายุไม่มากซึ่งอยู่ข้างกายตัวเองว่า เมื่อเข้าไปในหุบเขาผีร้ายแล้วต้องระวังตัวให้มาก คำเตือนส่วนใหญ่ อันที่จริงแล้วก็ล้วนถูกเอ่ยถึงอยู่บ่อยๆ ใน ‘รวมเล่มวางใจ’

เฉินผิงอันรัดแผ่นหยกไว้ตรงเอว ยืนห่างออกมาไกลหน่อย ถูมือเป่าลมใส่หาความอบอุ่นอยู่เพียงลำพัง

เมื่อถึงยามเหม่า ผู้ฝึกตนเฒ่าของสำนักพีหมาที่ยืนอยู่ตรงกลางซุ้มป้ายแก้วใสสองสีป้ายแรกก็หลีกทางให้ จากนั้นก็เอ่ยประโยคอวยพรอย่างเป็นมงคลว่า “ขออวยพรให้ทุกท่านราบรื่นสมปรารถนา เดินทางปลอดภัย”

เฉินผิงอันยิ้มชอบใจ

ตนช่างมีชื่อที่ดีจริงๆ

เฉินผิงอันเดินอยู่ด้านหลังสุด ซุ้มป้ายแต่ละซุ้มมีลักษณะรูปร่างไม่เหมือนกัน เนื้อหาในกรอบป้ายก็ไม่เหมือนกัน ทำให้คนได้เปิดหูเปิดตา

เข้ามาในหุบเขาผีร้ายครั้งนี้ เฉินผิงอันสวมชุดคลุมอาคมสีเขียวที่มีนามว่าหญ้าเขียวซึ่งอู๋ยวนเจียวเพศเมียแห่งจวนจื่อหยางมอบให้ หยิบเอาสร้อยข้อมือแกนลูกท้อที่หลิวจื้อเม่าแห่งเกาะชิงเสียมอบให้ออกมาจากวัตถุฟางชุ่น พร้อมกับยันต์กระดาษเหลืองหนึ่งปึกที่เขียนเสร็จเรียบร้อยตั้งแต่เมื่อคืนวาน นำมาซ่อนไว้ในชายแขนเสื้อทางฝั่งซ้ายมือ ยันต์ส่วนใหญ่ล้วนเป็นยันต์ปราณหยางส่องไฟ ยันต์ทำลายสิ่งกีดขวางระดับพื้นฐานของ ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ แน่นอนว่าก็ยังมียันต์ย่อพื้นที่สามแผ่น แผ่นหนึ่งในนั้นวาดขึ้นด้วยกระดาษสีทองที่ล้ำค่าหายาก เมื่อคืนวานเฉินผิงอันเผาผลาญจิงชี่เสินไปไม่น้อย สามารถนำมาใช้หนีเอาชีวิตรอด แล้วก็สามารถนำมาใช้ต่อสู้ได้เช่นกัน ยันต์ฟางชุ่นสีทองแผ่นนี้จับคู่กับกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้า ผลลัพธ์จะยอดเยี่ยมอย่างถึงที่สุด

ทางสายนี้ทุกคนต้องใช้เวลาเดินกันถึงหนึ่งก้านธูปเต็ม ระหว่างทางเดินผ่านสิบป้ายสิบสองซุ้ม สองฝั่งซ้ายขวาข้างทางตั้งรูปปั้นแม่ทัพบู๊สวมเสื้อเกราะสูงสองจั้งกว่าเอาไว้หลายตน สร้างแยกขึ้นเป็นสองขบวนทัพที่คุมเชิงกันอยู่บนซากปรักสมรภูมิรบโบราณของชายหาดโครงกระดูก สงครามครั้งที่ราชวงศ์ใหญ่สองแห่งกับแคว้นใต้อาณัติสิบหกแคว้นตีกันอย่างอลหม่าน สองกองทัพคุมเชิงกัน เข่นฆ่าสังหารจนเกิดศึกแห่งโศกนาฎกรรมที่กินระยะเวลายาวนานถึงสิบปีเต็ม ถึงท้ายที่สุดทุกคนล้วนฆ่ากันจนตาแดงก่ำ ไม่สนใจเรื่องโชคชะตาแห่งแคว้นอะไรอีกทั้งนั้น ว่ากันว่าตอนนั้นผู้ฝึกลมปราณบนภูเขาที่เดินทางไกลจากทิศเหนือมาชมศึกมีมากถึงหมื่นกว่าคน

เฉินผิงอันหันหน้ากลับไปมองก็เห็นว่าเงาร่างของผู้ฝึกตนสำนักพีหมาที่เฝ้าอยู่หน้าประตูพร่าเลือนมองเห็นได้ไม่ชัดแล้ว ทุกคนทยอยกันหยุดเดิน ทันใดนั้นการมองเห็นพลันเปิดกว้าง ฟ้าสูงแผ่นดินไพศาล เพียงแต่ว่าเมฆทะมึนอึมครึมบดบังแสงสว่าง และทันใดนั้นปราณหยินเข้มข้นของฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้ก็ไหลกรูเข้าสู่ช่องโพรงลมปราณใหญ่แห่งต่างๆ ทำให้คนหายใจไม่สะดวก รู้สึกกดดันหนักอึ้งขึ้นอีกเป็นเท่าตัว บทการเดินทางที่ระบุไว้ใน ‘รวมเล่มวางใจ’ มีอธิบายวิธีการรับมือไว้อย่างละเอียด ผู้ฝึกลมปราณและผู้ฝึกยุทธเต็มตัวสามกลุ่มที่อยู่เบื้องหน้าต่างก็ทำตามเป็นขั้นเป็นตอน แต่ละคนพยายามต้านทานการโจมตีของปราณหยิน

ผู้ฝึกลมปราณเด็กหนุ่มคนหนึ่งในนั้นที่สวมชุดคลุมยาวสีทองยังคงดูแคลนปราณหยินที่บุกเข้ามาด้วยอำนาจดุดันของหุบเขาผีร้ายแห่งนี้เกินไป เขาจึงรับมือไม่ทันอยู่บ้าง ใบหน้าพลันแดงก่ำ สตรีห้อยดาบไว้ด้านหลังที่อยู่ข้างกายเขารีบยื่นขวดกระเบื้องสีเขียวใบหนึ่งส่งมาให้ เด็กหนุ่มดื่มน้ำค้างหวานที่ศาลซานหลางตระกูลบนภูเขาของตนหมักขึ้นเองขวดนั้นเข้าไปแล้ว สีหน้าถึงเปลี่ยนมาเป็นอิ่มเอิบเปล่งปลั่ง เด็กหนุ่มรู้สึกลำบากใจอยู่บ้าง หันไปยิ้มขออภัยให้กับสตรีที่ลักษณะคล้ายผู้ติดตามคนนั้น สตรีคลี่ยิ้มส่งกลับมา แล้วก็เริ่มกวาดตามองไปรอบด้าน สายตาของนางประสานเข้ากับผู้เฒ่าชุดสีดำที่ยืนอยู่ด้านหลังเด็กหนุ่มตลอดเวลา ผู้เฒ่าบอกเป็นนัยแก่นางว่าไม่ต้องเป็นห่วง

หุบเขาผีร้ายเป็นทั้งสถานที่ที่ดีในการหาประสบการณ์ แล้วก็เป็นช่วงเวลาอันเหมาะสมที่ศัตรูคู่แค้นจะส่งนักฆ่ามาลอบสังหาร

สตรีกับผู้เฒ่าต่างก็เป็นผู้ติดตามทั้งคู่

สตรีที่อายุประมาณสามสิบปีคือผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่เพิ่งเลื่อนสู่ขอบเขตหก นับว่าหาได้ยากอย่างถึงที่สุด

แม้ว่าภาพบรรยากาศในยุทธภพของอุตรกุรุทวีปจะยิ่งใหญ่อย่างมาก แต่สตรีผู้ฝึกยุทธคนหนึ่งที่ได้รับคำเรียกขานอย่างน่าฟังว่าปรมาจารย์น้อยเดิมทีก็มีไม่มาก ยิ่งอายุน้อยเพียงเท่านี้ก็ได้เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตหกแล้วก็ยิ่งหายากดุจขนหงส์เขากิเลน

ส่วนใหญ่มักจะเป็นตระกูลเซียนที่มีคำว่าจงในชื่อและตระกูลสูงศักดิ์ของราชวงศ์ในโลกมนุษย์เท่านั้นที่ถึงจะมีคุณสมบัติอบรมปลูกฝังข้ารับใช้ในบ้านให้โดดเด่นและยังจงรักภักดีเช่นนี้ได้

ส่วนผู้เฒ่าชุดดำนั้นก็ยิ่งลึกล้ำเกินจะหยั่ง ทำให้คนถึงขั้นแยกไม่ออกว่าเขาเป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวหรือเป็นผู้ฝึกลมปราณกันแน่

ผู้ฝึกลมปราณอีกกลุ่มหนึ่ง บุรุษเรือนกายกำยำล่ำสันคนหนึ่งถือเม็ดเสื้อเกราะไว้ในกำมือ บนร่างยังสวมเสื้อเกราะน้ำค้างหวานของสำนักการทหารที่เป็นสีขาวหิมะ ส่องประกายแสงระยิบระยับ ปราณหยินที่อยู่รอบกายไม่อาจขยับเข้าใกล้เขาได้เลย

ผู้ฝึกตนเฒ่าคนหนึ่งปลดหีบไม้ไผ่ที่สะพายไว้ด้านหลังลงมา ทำให้เกิดเสียงเครื่องกระเบื้องกระทบกันเบาๆ สุดท้ายผู้เฒ่าหยิบแจกันทรงหยดน้ำที่มีส่วนโค้งเว้าเหมือนเรือนกายสะโอดสะองของสตรีออกมา เห็นได้ชัดว่าคือของวิเศษที่ระดับขั้นไม่ต่ำ หลังจากถูกผู้ฝึกตนเฒ่าประคองไว้กลางฝ่ามือก็เห็นเพียงว่าปราณหยินบริสุทธิ์เป็นเส้นๆ จากสี่ด้านแปดทิศเริ่มพากันพุ่งมารวมตัวอยู่ในขวด เพียงแต่ว่าปราณหยินของฟ้าดินมาเร็วก็จากไปเร็ว ครู่หนึ่งต่อมาตรงบริเวณรอบปากแจกันก็มีหยดน้ำขนาดเท่าเมล็ดข้าวฟ่างลอยตัวหมุนเบาๆ แต่ไม่ได้ร่วงลงไปในแจกัน

ผู้ฝึกตนวัยกลางคนคนหนึ่งสะบัดชายแขนเสื้อ ฝ่ามือก็มีธงใบกล้วยขนาดเล็กสีเขียวปลั่งน่ารักน่ามองใบหนึ่งปรากฎขึ้นมา เขาใช้สองนิ้วคีบด้ามธงไม้ที่สลักเป็นรูปดอกหลี สะบัดหนึ่งครั้งมันก็กลายเป็นธงผืนใหญ่ขนาดยาวเท่าแขน ตรงด้ามไม้ห้อยพู่ยาวสีทองเอาไว้ แล้วผู้ฝึกตนวัยกลางคนก็ผูกธงใบกล้วยนี้ไว้ตรงข้อมือของตัวเอง บุรุษท่องคาถา ปราณหยินก็พลันเหมือนธารน้ำที่ชำระล้างผิวภายนอกของธงใบกล้วย ประหนึ่งคนที่วักน้ำล้างหน้า นี่คือวิธีการหล่อหลอมที่เรียบง่ายที่สุดอย่างหนึ่ง พูดง่ายๆ ก็คือหนีไม่พ้นการหยิบเอาของวิเศษออกมาเท่านั้น เพียงแต่ว่าในหนึ่งทวีปมีสถานที่วิเศษอยู่หลายแห่ง ปราณหยินจะยังสามารถเข้มข้นอีกทั้งยังบริสุทธิ์ได้อีกหรือ? ต่อให้ได้จริงก็ต้องถูกสำนักใหญ่ยึดครองไปหมด แล้วทำการพันธนาการไว้อย่างเข้มงวด ไม่อนุญาตให้คนนอกมาแตะต้อง ไหนเลยจะเหมือนสำนักพีหมาที่ปล่อยให้คนนอกมาดูดซับเอาไปตามสบาย

ผู้ฝึกตนสองคนที่จับคู่กันเดินทางมาเยือนหุบเขาผีร้ายหันมายิ้มให้กัน ความบริสุทธิ์ของปราณหยินในหุบเขาผีร้ายไม่เหมือนกับที่อื่นจริงๆ เหมาะกับผู้ฝึกลมปราณที่เชี่ยวชาญวิถีผีอย่างพวกเขาที่สุด

เรียกได้ว่าเข้ามาในภูเขาเงินภูเขาทองอย่างแท้จริง

ต่อจากนี้ก็ต้องดูว่าจะขนเอาไปได้มากน้อยเท่าไหร่แล้ว

ส่วนผู้ฝึกตนสำนักการหทารที่ได้ครอบครองเม็ดเสื้อเกราะเม็ดหนึ่งนั้น คือองค์รักษ์ที่พวกเขาร่วมกันทุ่มเงินเชื้อเชิญมาให้คุ้มกันโดยเฉพาะ ปราณหยินก่อนกำเนิดที่หุบเขาผีร้ายบ่มเพาะออกมา เมื่อเทียบกับพวกปราณหยินที่อยู่ในแถบจุดเชื่อมต่อของชายหาดโครงกระดูกกับหุบเขาผีร้ายที่ถูกค่ายกลของสำนักพีหมาคัดสรรแล้ว ก็ไม่เพียงแต่สมบูรณ์มากกว่า ปราณความเยียบเย็นมีเข้มข้นกว่า ยิ่งขยับเข้าใกล้ช่วงกลางของหุบเขาก็ยิ่งมีมูลค่า ความอันตรายก็ยิ่งมากตามไปด้วย ไม่แน่ว่าระหว่างที่เดินทางไปอาจต้องเปิดฉากสังหารกับผีร้ายวัตถุหยิน ถ้าสำเร็จก็จะได้โครงกระดูกขาวมาหลายร่าง ได้เงินมาก้อนใหญ่ ไม่สำเร็จ เรื่องอื่นๆ ก็ไม่ต้องหวัง จุดจบอเนจอนาถอย่างถึงที่สุด เมื่อเทียบกับคนธรรมดาทั่วไปแล้ว ผู้ฝึกตนย่อมรู้ถึงความน่าเวทนาของการที่ต้องตกไปเป็นวัตถุหยินในหุบเขาผีร้ายมากกว่า

เฉินผิงอันชำเลืองตามองแค่ไม่กี่ครั้งก็ไม่มองต่ออีก

เข้าหุบเขามาดูดซับปราณหยินคือการละเมิดข้อห้ามใหญ่ สำนักพีหมาเอ่ยเตือนไว้ใน ‘รวมเล่มวางใจ’ อย่างชัดเจน การกระทำเช่นนี้ง่ายที่จะทำให้วิญญาณในพื้นที่ของหุบเขาผีร้ายมองเป็นศัตรู เพราะถึงอย่างไรก็ไม่มีใครชอบให้บ้านของตัวเองมีขโมย

เพียงแต่ว่าแต่ละคนต่างก็มีความคิดมีวาสนาต่างกัน หากความสามารถมากพอ ความกล้าหาญมากพอ สำนักพีหมาก็ไม่คิดจะขัดขวาง

สองคนสุดท้ายมองดูคล้ายคู่บำเพ็ญเพียรหนุ่มสาวคู่หนึ่ง ต่างคนต่างสะพายหีบไม้ใบใหญ่มาก คล้ายว่าจะมาเก็บของดีในหุบเขาผีร้าย ในหุบเขาผีร้ายนอกจากปราณหยินและโครงกระดูกขาวสองอย่างนี้แล้ว สิ่งที่ล้ำค่าที่สุด อันที่จริงยังมีพืชพรรณประหลาดและสัตว์วิเศษที่เกิดและเติบโตขึ้นมาในฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้อีกเป็นจำนวนมาก ใน ‘รวมเล่มวางใจ’ กล่าวถึงไว้เยอะ เพียงแต่ว่าเวลานับพันปีตั้งแต่ที่สำนักพีหมาก่อตั้งมา คนที่มาเสี่ยงโชคที่นี่มีมากมายจนนับไม่ถ้วน ผู้ฝึกตนของสำนักพีหมาเองก็มีคนที่คอยตามหาสมบัติวิเศษชนิดต่างๆ เป็นประจำอยู่ตลอดเวลา เป็นเหตุให้ช่วงหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมามีน้อยคนนักที่จะโชคดีเทียมฟ้าตามหาวัตถุวิเศษที่ทำให้คนอิจฉาตาร้อนได้สำเร็จ

เฉินผิงอันทรุดตัวลงนั่งยอง หยิบดินขึ้นมาหนึ่งกำมือแล้วขยี้เบาๆ อยู่กลางฝ่ามือ

เย็นและชื้นมากจริงดังคาด คล้ายกับดินพันปีของสุสาน

เฉินผิงอันโยนดินทิ้ง หยิบก้อนหินก้อนหนึ่งที่พบเห็นได้ทั่วไปในบริเวณใกล้เคียง ใช้สองนิ้วบีบเบาๆ แล้วก็ขมวดคิ้ว ก้อนหินอ่อนนุ่มมากจนคล้ายกับดินโคลน

ไม่เสียแรงที่เป็นหุบเขาผีร้าย ช่างเป็นดินและน้ำที่ประหลาดนัก

สำนักพีหมาสร้างเมืองสองแห่งไว้ในหุบเขาผีร้าย เมืองหนึ่งมีชื่อว่าหลันเซ่อ ส่วนอีกเมืองหนึ่งมีชื่อว่าชิงหลู สถานที่แรกตั้งอยู่ทางทิศใต้สุด ขนาดเท่ากับตลอดของด่านไน่เหอ อย่างหลังตั้งอยู่ในหุบเขาแห่งหนึ่งทางทิศตะวันตกสุดใกล้กับส่วนกลางของหุบเขาผีร้าย ถือเป็นสถานที่ฝึกตนครึ่งหนึ่งของจู๋เฉวียนสตรีผู้เป็นเจ้าสำนัก กั๋วฉือเซียนซือผู้นี้มาปักหลักอยู่ที่นี่เป็นประจำ ในระยะเวลาสามร้อยปี เจ้านครของเมืองจิงกวานเคยมา ‘เยี่ยนเยือน’ ที่เมืองชิงหลูอยู่สองครั้ง ล้วนเดินทางมาคนเดียวทุกครั้ง เพื่อประมือกับเซียนดินของสำนักพีหมาซึ่งมีจู๋เฉวียนเป็นผู้นำ ตีกันแต่ละครั้งก็พลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน ยอดเขาที่อยู่ใกล้เคียงถูกกั๋วฉือเซียนซือที่วัตถุแห่งชะตาชีวิตคือดาบอาคมเล่มหนึ่งปาดเอาไปนับไม่ถ้วน

และเส้นทางขึ้นเหนือสองเส้นของหุบเขาผีร้ายก็เกิดขึ้นด้วยสาเหตุนี้

เดินทางไปเมืองหลันเซ่อนั้นปลอดภัยที่สุด ระยะทางก็อยู่ใกล้ แทบจะดิ่งเป็นเส้นตรงอย่างเดียว แต่ว่าถึงแม้ระยะทางแปดสิบลี้จะสั้น แต่บริเวณโดยรอบเมืองหลันเซ่อก็มีอยู่หลายสถานที่ที่จำต้องไป มีทั้งสถานที่ทิวทัศน์งดงามไว้ให้ผู้คนมาท่องเที่ยว ยกตัวอย่างเช่นตำหนักใต้ดินโบราณแห่งหนึ่งที่ถูกทิ้งร้างมานาน ยอดเขาหัวขาวที่เป็นภูเขาหินสลับสล้างอันตราย สีสันขาวใสดุจหิมะ และยังมีนครอีกแห่งหนึ่งที่เลือกพึ่งพาสำนักพีหมา เจ้านครคือวิญญาณหยินราชครูที่ตอนมีชีวิตอยู่เชี่ยวชาญการเขียนยันต์ของลัทธิเต๋า มักจะออกมาแลกเปลี่ยนสิ่งของกับผู้ฝึกตนที่มาจากภายนอกเป็นประจำ

—–

กระบี่จงมา Sword of Coming

กระบี่จงมา Sword of Coming

Status: Ongoing
” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์  ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์  หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า  แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “
เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา
เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม
และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง
ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้
–ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท