เฉินผิงอันออกมาจากอาณาเขตของตำหนักหยางฉางได้ไม่นานก็เก็บกระบี่เจี้ยนเซียนสอดเข้าฝัก พลิ้วกายลงบนสันเขาของภูเขาฉงซานที่มีไอพิษสกปรกอบอวล ก่อนหน้านี้ที่ก้มหน้ามองผืนดินก็เห็นว่าขอแค่เดินออกไปจากภูเขาแถบนี้ได้แล้วเดินลงใต้ไปอีกประมาณห้าสิบกว่าลี้ก็น่าจะถึงเมืองถงโช่วที่เป็นนครสูงกว้างใหญ่แห่งนั้นแล้ว และเมืองชิงหลูที่ผู้ฝึกตนสำนักพีหมามาปักหลักตั้งถิ่นฐานอยู่ก็ห่างไปอีกไม่ไกลแล้ว
การขี่กระบี่เลียนแบบเซียนเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากอย่างหนึ่ง ทะเลเมฆบนโลกใบนี้สามารถเปลี่ยนแปลงไปได้สารพัดรูปแบบ ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่รู้สึกเบื่อ นอกจากนี้ยังสามารถทำเรื่องบางอย่างที่ช่วยคลายความกลัดกลุ้มได้ ก่อนหน้านี้ตอนที่ออกมาจากตำหนักหยางฉาง เฉินผิงอันก็จงใจเลือกเข้าไปในชั้นล่างสุดของทะเลเมฆจุดหนึ่งที่เมฆทั้งผืนราบเรียบเหมือนถูกมีดปาดผ่าน เอาหัวทิ่มเข้าไปในชั้นเมฆ จากนั้นก็บังคับกระบี่ให้ล่องลอยไปอย่างเชื่องช้า หากใต้ฝ่าเท้ามีภูตผีปีศาจตามป่าเขาเงยหน้ามองมาเห็นภาพนี้เข้า คาดว่าคงรู้สึกว่า…ผู้ฝึกตนที่มองไม่เห็นหัวผู้นี้สมองมีปัญหาหรือไม่? นอกจากการหาความบันเทิงให้ตัวเองเหมือนเด็กที่ชวนให้ขบขันแบบนี้แล้ว เฉินผิงอันก็ยังชอบผลุบหายเข้าไปในทะเลเมฆทั้งร่าง แต่โผล่มาแค่หัวอย่างเดียว จากนั้นก็ตวัดแขนสองข้างขึ้นลงคล้ายว่ายน้ำ
อันที่จริงนี่ค่อนข้างคล้ายคลึงกับการที่เผยเฉียนเอาหัวตัวเองวางพาดบนโต๊ะคิดเงินในร้านตรอกฉีหลงอยู่มาก ไม่เสียแรงที่เป็นอาจารย์และศิษย์กัน
ท่ามกลางสันเขาที่ไร้เงาผู้คน รอบด้านเงียบสงัด ต้นไม้ในป่าส่วนใหญ่ล้วนรัดพันกันเหมือนเป็นโรค เฉินผิงอันเดินผ่านหน้าผาแห่งหนึ่งก็เงยหน้าขึ้น เห็นต้นเหมยลำต้นเล็กบางต้นหนึ่งเติบโตจากร่องหินหน้าผา มีไอเมฆล้อมวน ด้านล่างหน้าผามีกระดูกขาวแตกหักกองกันเป็นพะเนิน นี่น่าจะเป็นเพราะภูตต้นไม้ที่พอจะมีความหวังในการฝึกตนตนนี้เริ่มเกิดสติปัญญา จึงเรียนรู้ที่จะจับนกหรือสัตว์ตัวเล็กๆ กินเป็นอาหารแล้ว
โดยทั่วไปแล้ว ต้นไม้ใบหญ้าบนโลกกลายเป็นภูตได้ยากมากที่สุด ภูตประเภทนี้ส่วนใหญ่เมื่อจำแลงร่างกลายเป็นคนได้ก็ถือว่าเดินมาสุดทางบนมหามรรคแล้ว ก็เหมือนกับภูตจิ๋วน่ารักที่ยืนอยู่บนกิ่งต้นป่ายในกระถางของหอชิงฝูที่ท่าเรือแคว้นซูสุ่ยเหล่านั้นที่ถูกกำหนดมาแล้วว่าไร้ความหวังบนเส้นทางการฝึกตน ได้แต่อาศัยอายุขัยยาวนานที่มีมาตั้งแต่กำเนิดของพืชหญ้าใช้เวลาที่เหลืออยู่ไปอย่างเปล่าประโยชน์ ส่วนใหญ่มักจะถูกผู้ฝึกตนนำมาเลี้ยง เก็บไว้ชื่นชมให้เพลิดเพลินเจริญตา รู้สึกเป็นมงคลก็เท่านั้น
นี่จึงเป็นเหตุให้ตอนที่ถ้ำสวรรค์หลีจูยังไม่ร่วงลงมา พวกคนเฒ่าคนแก่ที่นั่งอยู่ใต้ต้นไหวถึงได้ชอบเล่าเรื่องภูตผีปีศาจตามป่าเขาลำนำไพรที่สมมติขึ้นมาเอง จงใจเอามาหลอกให้พวกเด็กๆ กลัว แต่พวกผู้เฒ่าส่วนใหญ่ก็มักจะพูดแทรกมาหนึ่งประโยคว่า พวกเราเกิดมาเป็นมนุษย์ได้นั้นก็ถือว่าไม่ง่ายแล้ว ต้องรู้จักเห็นค่าแล้วเห็นค่าอีก ไม่อย่างนั้นชั่วชีวิตนี้หากไม่ทำตัวเป็นคนให้ดี ชาติหน้าก็อาจเกิดไปเป็นหมูเป็นหมา ตอนเด็กเฉินผิงอันก็ชอบไปนั่งฟังเรื่องเล่าของที่นั่นอยู่ไกลๆ ส่วนหลิวเสี้ยนหยางที่ไม่เคยกลัวฟ้าไม่เกรงดินกลับไม่ชอบฟังเรื่องพวกนี้ มักจะบอกว่าพวกภูตผีปีศาจหรือเทพเจ้าแห่งเตาไฟอะไรทั้งหลายล้วนเป็นเรื่องหลอกเด็ก ดังนั้นส่วนใหญ่จึงจะเป็นกู้ช่านที่ไปนั่งรับลมเย็นอยู่ใต้ร่มเงาต้นไหวเป็นเพื่อนเฉินผิงอัน จากนั้นก็รอให้สตรีแต่งงานแล้วในตรอกหนีผิงเปิดประตูตะโกนเรียกกู้ช่านกลับบ้านไปกินข้าว ไปนอน เขาถึงจะลุกขึ้นยืนแล้วกลับไป
เฉินผิงอันทะยานตัวขึ้นไปไต่หน้าผาหิน กางนิ้วทั้งห้าเป็นตะขอปักเข้าไปในหน้าผา แขวนตัวห้อยอยู่กลางอากาศอย่างนั้น จากนั้นก็หยิบเอาเงินเกล็ดหิมะสามเหรียญมากำไว้ในมือ ใช้วิชาหลอมวัตถุที่เจ้าแม่เทพวารีลำคลองหมายเหอถ่ายทอดให้หลอมปราณวิญญาณที่อยู่ในเงินเกล็ดหิมะให้กลายเป็นหยดน้ำสีเขียวมรกตหลายหยด ปล่อยให้หยดน้ำไหลจากร่องนิ้วหยดลงไปตรงจุดเชื่อมต่อของรอยแยกระหว่างต้นเหมยโบราณกับหน้าผาหิน เมื่อทำทุกอย่างนี้เสร็จ เฉินผิงอันก็ใช้ฝ่ามือตบลงบนหน้าผาเบาๆ พลิ้วกายลงบนพื้นแล้วออกเดินทางต่อ
หากตกอยู่ในสภาวะลำบากคับขันจำเป็นต้องรีบใช้เงินเทพเซียนที่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นเงินต่อชีวิตเหมือนอย่างคู่รักคู่นั้น ไม่แน่ว่าพอเห็นต้นเหมยที่มีลักษณะผิดแผกไปจากต้นเหมยทั่วไปต้นนี้ ความคิดแรกก็คงจะเป็นใคร่รู้ว่ามันจะมีราคาเท่าไหร่ จากนั้นก็ปลุกความกล้าเสี่ยงอันตรายไต่หน้าผาหินขึ้นมาฟันเอามันไป ส่วนเรื่องที่ว่าโชควาสนาของต้นเหมยจะขาดสะบั้นหรือไม่ ไหนเลยจะมัวมาสนใจอยู่อีก แต่หากเป็นคนที่มีตบะสูงสักหน่อย อีกทั้งกระเป๋าเงินยังฟีบแบน เจอกับภูตสองตัวที่อยู่บนสะพานเหล็กก็คงต้องเปิดฉากเข่นฆ่าที่อันตรายไม่ต่างจากการช่วงชิงบนมหามรรคาเหมือนกันไม่ใช่หรือ?
เฉินผิงอันไม่เคยมีอคติต่อการเข่นฆ่าเพื่อเดินขึ้นสู่ที่สูงของผู้ฝึกตน ต่อให้วิธีการจะโหดเหี้ยมไปหน่อย เฉินผิงอันก็ยังพอจะเข้าใจได้ คนประเภทเดียวที่เฉินผิงอันไม่ชอบ หรืออาจถึงขั้นรังเกียจก็คือพวกเทพเซียนบนภูเขาที่อยู่บนที่สูงมานานแล้ว ยึดครองเอาผลประโยชน์ทั้งหมดไป สูงส่งเหนือผู้ใดประหนึ่งเจียวหลงที่ซ่อนตัวอยู่ในทะเลเมฆ แต่กลับไม่มีความเมตตากรุณาต่อคนบนโลกมนุษย์เลยแม้แต่น้อย ขอแค่เป็นผู้ที่ขอบเขตสู้ตนไม่ได้ก็ล้วนถือว่าชีวิตไร้ค่าในสายตาของพวกเขา คิดจะสยบกำราบอย่างไรก็ได้ และเมื่อสังหารคนที่รกนัยน์ตาได้สำเร็จกลับยังพูดอย่างง่ายๆ ว่าเมื่อไร้ปราณีบนมหามรรคา จิตแห่งการฝึกตนจึงจะแข็งแกร่งประดุจหินผา
นี่คือการฝึกตนบนมรรคาแบบใดกัน?
ในขณะที่เดินอยู่ท่ามกลางป่าเขาเพียงลำพัง เฉินผิงอันก็พึมพำกับตัวเองว่า “ตนเองไม่ชอบก็จะต้องผิดเสมอไปหรือ? เจ้าเฉินผิงอันเผด็จการเกินไปหน่อยหรือไม่? เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน?”
แล้วถามตัวเองอีกว่า “คนใจดีมีเมตตาไม่เหมาะคุมกองทัพ คนมีคุณธรรมไม่เหมาะทำการค้า?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า
เขารู้สึกว่าคนโบราณชอบพูดอย่างครึ่งๆ กลางๆ ไม่ถือเป็นถ้อยคำที่กลั่นจากแก่นคัมภีร์ที่แท้จริง หากถ้อยคำที่เกิดจากการดึงข้อมูลแค่บางส่วนมาบิดเบือนถูกคนบนโลกยึดถือปฏิบัติตาม มองเป็นกฎเกณฑ์อันดีงามในการอยู่ร่วมกันในสังคม ก็จะสามารถลดทอนปัญหามากมายในชีวิตคนไปได้จริงๆ ไม่ใช่บอกว่าไม่ดี แต่ถึงอย่างไรก็เป็นความบกพร่องในความสมบูรณ์แบบ
ยกตัวอย่างเช่นในตำราก็บอกไว้อีกว่า
คนใจดีมีเมตตาไม่เหมาะคุมกองทัพ หลังจากกุมอำนาจใหญ่ไว้ในมือแล้วก็ควรต้องมีความกรุณาปราณี
คนมีคุณธรรมไม่เหมาะทำการค้า หลังจากร่ำรวยเป็นเศรษฐีแล้วก็ควรจะมีศีลธรรมน้ำใจ
เฉินผิงอันหยุดเดิน กระโดดขึ้นไปบนกิ่งไม้สูงแล้วนั่งลง หยิบเอามีดแกะสลักและแผ่นไม้ไผ่ที่ไม่ได้แตะมานานออกมา แล้วสลักสองประโยคนี้ลงไปบนแผ่นไม้ไผ่
คิดดูแล้วก็เอาประโยคที่พูดกับภูตหนูในตำหนักหยางฉางเกี่ยวกับการฝึกจิตใจฝึกพละกำลังนั้นสลักลงไปบนแผ่นไม้ไผ่อีกแผ่นหนึ่งด้วย
เฉินผิงอันเก็บมีดแกะสลัก มือข้างหนึ่งถือแผ่นไม้ไผ่ชูขึ้นสูง ยิ้มกว้างเอ่ยว่า “คราวนี้ก็ถือว่ามาจาก ‘ในตำรา’ (คำว่าแผ่นไม้ไผ่ในเรื่องนี้ส่วนใหญ่จะใช้คำว่าจู๋เจี่ยน แต่ประโยคด้านบนใช้คำว่าซูเจี่ยนซึ่งสามารถแปลเป็นแผ่นไม้ไผ่ได้เหมือนกัน และซูก็หมายถึงหนังสือ/ตำรา) อย่างแท้จริงแล้ว!”
ดีนักนะ
ที่แท้ล้วนเป็นหลักการที่เฉินผิงอันพูดขึ้นอย่างส่งเดชเองทั้งนั้น
คาดว่าตลอดทั้งใต้หล้าแห่งนี้ก็คงมีแต่พวกคนขี้ประจบบนภูเขาลั่วพั่วเท่านั้นกระมังที่ยินดีจะเห็นเป็นจริงเป็นจังกับคำกล่าวพวกนี้?
เฉินผิงอันเก็บไม้ไผ่ทั้งสองแผ่นไปอย่างระมัดระวัง อารมณ์เบิกบานเป็นอย่างยิ่ง
หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็ไม่ได้รีบร้อนเดินทางต่อไปยังนครถงโช่ว
แต่ดื่มเหล้าต่ออีกนิด ในกาเหล้าที่เอาออกมาตอนอยู่ตำหนักหยางฉางก่อนหน้านี้ยังเหลือเหล้าอยู่อีกไม่น้อย
เฉินผิงอันเริ่มคิดคำนวณทรัพย์สมบัติของตัวเองอยู่ในใจอย่างละเอียด การเดินทางจากชายหาดโครงกระดูกเข้ามาฝึกประสบการณ์ในหุบเขาผีร้ายครั้งนี้ได้รับผลเก็บเกี่ยวอุดมสมบูรณ์ยิ่ง
แต่ว่าความเสียหายของชุดคลุมอาคมหญ้าเขียวบนร่างตัวนี้ก็ถือว่าไม่เบา คิดจะซ่อมแซมให้กลับคืนมาเป็นเหมือนเดิม คาดว่าอย่างน้อยคงต้องจ่ายด้วยเงินเกล็ดหิมะห้าถึงหกพันเหรียญ
ตอนนั้นที่หนีออกจากวงล้อมกลุ่มปีศาจบนภูเขาตี้หย่งมาพร้อมกับบัณฑิต เพื่อแสดงความอ่อนแอให้ศัตรูเห็นจึงไม่กล้าเปิดเผยรากฐานของผู้ฝึกยุทธเต็มตัวออกไปมากนัก จึงได้แต่จงใจกดปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ในกายเฮือกนั้นเอาไว้ อาศัยแค่ชุดคลุมอาคมมาต้านรับค้อนที่วานรย้ายภูเขาตัวนั้นทุบลงมาเต็มแรง ภายหลังตอนเปิดฉากเข่นฆ่ากับขุนพลเทพชื่อเหลยแห่งภูเขาจีเซียวที่ริมตลิ่งลำคลองเฮยเหอ ร่างตกอยู่ท่ามกลางบ่อสายฟ้า ชุดคลุมอาคมหญ้าเขียวก็ยิ่งถูกสายฟ้าฟาดผ่าจนได้รับความเสียหายรุนแรงกว่าเดิม ค่าใช้จ่ายที่ไม่เล็กก้อนนี้ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกเข็ดฟันนัก
เฉินผิงอันจึงได้แต่ปลอบใจตัวเองว่า “การค้าขายของร้านผ้าห่อบุญที่เล็กที่สุดบนโลกใบนี้ก็ยังต้องใช้เงินทุน เจ้าจะมีความคิดที่ไม่อยากลงทุนแต่ได้กำไรมหาศาลแบบนี้ไม่ได้”
อีกทั้งตอนที่อยู่กลางบ่อสายฟ้า จิตวิญญาณและเนื้อหนังมังสาของตนที่เหมือนต้องทนทุกข์ทรมานดั่งการถูกไฟแผดเผาก็ยิ่งเป็นการฝึกประสบการณ์ในหุบเขาผีร้ายอย่างแท้จริง
แม้จะบอกว่าเมื่อเทียบกับการโดนซ้อมบนเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่วแล้วจะถือว่าเบาไปสักหน่อย แต่ก็ได้ผลประโยชน์ไม่น้อย อีกทั้งเดิมทีบ่อสายฟ้าก็เป็นกรงขังที่ทรมานคนได้ดีที่สุดบนโลกใบนี้ การทนรับความทุกข์ยากนี้ยังมีความมหัศจรรย์อีกข้อหนึ่ง เพราะอันที่จริงเฉินผิงอันเองก็สัมผัสได้นานแล้วว่าเส้นเอ็น กระดูกและจิตวิญญาณของตนคล้ายจะยืดหยุ่นทนทานขึ้นอีกหลายส่วน
ตอนอยู่สันเขาอีกาแย่งชุดคลุมอาคมเกล็ดหิมะตัวหนึ่งมาจากป๋ายเหนียงเนียงของนครฟู่นี่ได้ ตามคำบอกของฟ่านอวิ๋นหลัว ราคาตลาดของมันก็คือสองสามเหรียญเงินฝนธัญพืช
หากขายให้แก่นครฟูนี่ก็น่าจะเพิ่มราคาได้อีกหนึ่งถึงสองเหรียญเงินฝนธัญพืช
เพียงแต่ว่าพอคิดถึงป๋ายเหนียงเนียงที่ชอบเสแสร้งหลอกลวงผู้คนตนนั้น เฉินผิงอันก็ให้รู้สึกอึดอัดใจขึ้นมา
ตอนนั้นนางจำแลงใบหน้าหนึ่งออกมา ใช้ใบหน้านี้มาล่อลวงใจคน ทำให้เฉินผิงอันเจ็บแค้นอย่างมาก ขณะเดียวกันก็รู้สึกใจคอไม่ดีด้วย
นอกจากจะบอกให้คู่บำเพ็ญตนห้าขอบเขตล่างคู่นั้นแบกโครงกระดูกขาวห้าโครงออกไปจากหุบเขาผีร้ายแล้ว ในวัตถุจื่อชื่อของเขายังมีโครงกระดูกขาวที่แวววาวราวกับหยกของนางกำนัลหญิงแห่งนครฟูนี่อีกสิบกว่าโครง
ส่วนหลังจากฝึกประสบการณ์จบแล้วได้ออกไปจากหุบเขาผีร้าย จะนำไปขายที่ชายหาดโครงกระดูกได้เงินเท่าไหร่ เฉินผิงอันไม่แน่ใจนัก
เฉินผิงอันคิดมาถึงตรงนี้ก็อดหันไปมองทางทิศใต้แวบหนึ่งไม่ได้ ไม่รู้ว่าคู่รักคู่นั้นเอาไปขายได้ราคาสูงหรือไม่
คำที่บอกว่าสัญญาหนึ่งเดือนนั้น
อันที่จริงเฉินผิงอันไม่ได้เห็นเป็นจริงเป็นจังมาตั้งแต่แรก เขาแค่อยากให้อีกฝ่ายรับเงินไปอย่างสบายใจเท่านั้น คู่รักที่หาเงินอยู่ในหุบเขาผีร้ายได้อย่างยากลำบากคู่นั้นจะรอครบหนึ่งเดือนตามสัญญาหรือไม่ เฉินผิงอันไม่สนใจแม้แต่น้อย
เพราะหากคู่รักขายโครงกระดูกหยกขาวห้าโครงของนครฟูนี่ได้สำเร็จ ไม่ว่าจะรอถึงหนึ่งเดือนหรือไม่ เฉินผิงอันก็ไม่มีทางไปปรากฏตัวที่ตลาดด่านไน่เหอ หากพวกเขาไม่รอ ได้เงินแล้วเผ่นหนีไปทันที พวกเขาก็ต้องคอยเป็นกังวลว่าหลังจบเรื่องจะถูกเขาไล่ตามไปเอาผิด นั่นก็เป็นปัญหาของพวกเขาแล้ว แต่หากรอได้ครบเดือนก็จะดียิ่งกว่า เพราะพวกเขาจะสามารถจากไปได้อย่างสบายใจ ทำให้ผู้ฝึกตนหญิงขอบเขตห้าคนนั้นฝ่าทะลุคอขวดเลื่อนสู่ขอบเขตถ้ำสถิตอันเป็นห้าขอบเขตกลางได้สำเร็จ คิดว่าเงินเทพเซียนก้อนนั้นก็น่าจะเหลือเฟือ อีกทั้งยังมากพอจะช่วยให้นางทำให้ขอบเขตถ้ำสถิตมั่นคงอีกด้วย ส่วนเงินที่เหลืออยู่จะช่วยให้ผู้ฝึกตนชายฝ่าทะลุขอบเขตไปได้สำเร็จด้วยหรือไม่ ก็คงต้องดูที่เจตนารมสวรรค์และวาสนาของเขาเองแล้ว
เหตุใดเฉินผิงอันถึงทำเช่นนี้
เหตุผลนั้นง่ายดายมาก
ก็เหมือนตอนที่เฉินผิงอันอยู่ในคลังใต้ดินของปี้สู่เหนียเนียงที่จะต้องเก็บเอาโครงกระดูกขาวที่จับมือกันเผชิญหน้ากับความตายสองโครงนั้นมาให้ได้ นี่ไม่ใช่เพราะเขาหวังเงินทอง เฉินผิงอันไม่เพียงแต่ไม่ปรารถนาในโครงกระดูกขาวของจักรพรรดิแคว้นหล่งซีและผู้ฝึกตนหญิงทำเนียบวงศ์ตระกูลสำนักชิงเต๋อ หรือแม้แต่ชุดคลุมมังกรชุดคคลุมอาคมของพวกเขา ความคิดเพียงอย่างเดียวของเขาก็คืออยากจะไปเยือนมาตุภูมิของพวกเขาแล้วเอาโครงกระดูกของพวกเขาไปฝังไว้ท่ามกลางภูเขาเขียวน้ำใสเคียงคู่กัน
หวังให้คนมีรักทุกคนบนโลกใบนี้ได้อยู่เคียงคู่ ครองรักกันตลอดไป หวังว่าคนที่จากโลกนี้ไปแล้วซึ่งแม้จะเส้นผมขาวโพลนก็ยังไม่เคยทรยศกันได้อยู่ด้วยกันไปทุกชาติภพ
มหามรรคาทอดยาว เส้นทางของความเป็นอมตะยาวไกล ท่ามกลางการฝึกตน นอกจากจะขยันฝึกกระบี่ออกหมัด ไม่หวาดกลัวที่จะต้องต่อกรกับศัตรูผู้แข็งแกร่งแล้ว การที่ได้ทำเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่คนอื่นไม่ยินดีจะทำ แต่ข้ากลับยินดีจะหยุดเดินเพื่อไปทำเหล่านี้ ไยจะไม่ใช่ความสุขยิ่งใหญ่ในชีวิตคนอย่างหนึ่ง?
ตอนอยู่ตำหนักกว่างหานบนภูเขาโปลั่ว นับตั้งแต่ห้องส่วนตัวของปี้สู่เหนียงเนียงไปจนถึงคลังสมบัติของนาง ล้วนได้รับผลเก็บเกี่ยว
แบ่งเงินเกล็ดหิมะพันกว่าเหรียญมาจากบัณฑิต
แต่เฉินผิงอันรู้สึกว่าสิ่งที่มีค่ามากที่สุดยังคงเป็นเหล็กเย็นที่ใช้เป็น ‘บานประตู’ ซึ่งถูกอาจารย์กลไกของสำนักโม่สร้างตำหนักจันทราไว้ด้านบนอย่างประณีตตั้งใจ
ส่วนขวดไหต่างๆ นาๆ ที่อยู่ในห้องส่วนตัวของเผ่าพันธุ์ตำหนักจันทราผู้นั้น เฉินผิงอันก็ให้ความสำคัญอย่างมาก วันหน้าเมื่อออกจากชายหาดโครงกระดูกเดินทางขึ้นเหนือต่อ สวรรค์เท่านั้นที่จะรู้ว่าจะได้เจอกับคุณหนูตระกูลใหญ่หรือเทพธิดาบนภูเขาที่มีเงินแต่ไม่มีที่ให้ใช้เงินหรือไม่? ไม่แน่ว่าพวกนางอาจโดนน้ำมันหมูบังตาทำให้ขายได้ราคาสูงก็เป็นได้? จูเหลี่ยนเคยพูดจาอย่างน่าเชื่อถือว่า ใต้หล้านี้ไม่มีสตรีคนใดที่ไม่อยากให้ตัวเองงดงามมากกว่าเดิม ต่อให้มีนั่นก็เพียงแค่เพราะยังไม่เจอบุรุษถูกใจที่มีค่าพอจะให้พวกนาง ‘ประทินโฉมเพื่อคนที่รัก’ เท่านั้น
ส่วนตำราพิชัยสงครามหีบใหญ่ของเซียนใหญ่จัวเยาที่ซ่อนไว้สุดปลายทางของเส้นทางใต้ดินตำหนักหยางฉาง
เฉินผิงอันยังไม่มีเวลาได้อ่านอย่างละเอียด เขาคิดไว้ว่ารอให้ไปถึงเมืองชิงหลูเมื่อไหร่ค่อยไล่อ่านไปทีละเล่ม น่าจะเป็นตำราที่สองราชวงศ์ใหญ่และแคว้นใต้อาณัติหลายสิบแคว้นในอดีตเหลือทิ้งไว้บนชายหาดโครงกระดูก ถูกตำหนักหยางฉางเก็บสะสมมานานเป็นพันปี และก็สามารถกลายมาเป็นหนึ่งในเงินทุนของร้านผ้าห่อบุญเล็กๆ ของเฉินผิงอันได้พอดี แต่ก็ยังจำเป็นต้องคัดเลือกอย่างตั้งใจ เลือกส่วนที่ดีที่สุดแล้วเอาไปเก็บไว้ในหอเก็บตำราของบ้านตัวเองบนภูเขาลั่วพั่ว
พอคิดถึงว่าในอนาคตจะมีลูกศิษย์ของภูเขาลั่วพั่วเข้าหอไปยืมตำราเหล่านี้มาอ่าน แล้วผู้เฒ่าคนเฝ้าหอตำราก็จะเล่าว่านี่คือผลเก็บเกี่ยวที่เจ้าขุนเขาของพวกเราได้มาจากการเดินทางไปเยือนชายหาดโครงกระดูกของอุตรกุรุทวีปในปีนั้น และผู้เฒ่ายังพูดเสริมเติมแต่งไปเองอีกว่าเวลาอ่านตำราพวกนี้จะต้องระวังสักหน่อย เพราะนี่คือสมบัติที่พบเจอมาจากบ่อมังกรถ้ำพยัคฆ์เชียวนะ…
ตอนที่ยืมตำรากลับไปอ่าน ลูกศิษย์คนนั้นก็จะรู้สึกว่าต้องตั้งใจและระมัดระวังมากกว่าเดิม และหลังจากอ่านจนล้าแล้วจึงปิดไฟ ก็จะอดรู้สึกนับถือ ‘เจ้าขุนเขา’ ที่อายุยังน้อยแต่กลับเดินทางผ่านพันภูเขาหมื่นสายน้ำมาแล้วไม่มากก็น้อย บ้างหรือไม่?
เฉินผิงอันที่นั่งอยู่บนกิ่งไม้สูงหลุดหัวเราะอย่างอดไม่อยู่
แล้วจึงคำนวณบัญชีของตัวเองต่ออีกครั้ง
นักบัญชีที่สวมชุดเขียวเหมือนกัน ตอนอยู่ทะเลสาบซูเจี่ยนได้แค่คิดว่าจะแพ้ให้น้อย ขาดทุนให้น้อยได้อย่างไร
แต่พอมาอยู่หุบเขาผีร้ายกลับสามารถคิดว่าจะหาเงินให้ได้มากๆ ได้อย่างไร
ชีวิตดีขึ้นในทุกๆ วันจริงๆ
ตอนอยู่บนภูเขาจีเซียวถิ่นของขุนพลเทพชื่อเหลย ขุดเอาแส้สายฟ้าสีทองขนาดเล็กใหญ่ไม่เท่ากันออกมาได้ห้าท่อน
มูลค่าที่แท้จริงของแส้ไม้ไผ่สายฟ้าสีทองที่เป็นสมบัติซึ่งเกิดขึ้นตามธรรมชาติเหล่านี้คือเท่าใด ตอนนี้ยังไม่อาจรู้ได้
แต่เหตุใดก่อนหน้านี้ปีศาจที่มีหัวอินทรีทองสองหัวตนนั้นถึงได้บอกว่าตนขโมยบ่อสายฟ้าของมันไป?
แล้วก็ด้วยเหตุนี้ เฉินผิงอันถึงได้กังวลว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงไม่คาดฝันบนภูเขาจีเซียว หลังออกมาจากลำคลองเฮยเหอ เขาถึงได้จงใจอ้อมผ่านภูเขาจีเซียว
อันที่จริงภูเขาจีเซียวก็เหมือนกับโพรงมังกรเฒ่าที่หากว่าไม่กลัวตายจริงๆ แล้วไปสำรวจให้ถึงที่สุดก็ไม่แน่ว่าอาจจะยังได้รับผลเก็บเกี่ยวที่ไม่คาดฝัน
แน่นอนว่าการทำเช่นนั้นก็จะไม่ต่างจากคู่รักขอบเขตไม่สูงคู่นั้นที่หาเงินโดยเอาหัวไปผูกไว้บนสายเข็มขัดรัดกางเกง เอาชีวิตไปวางเดิมพัน
ในศาลริมลำคลองเฮยเหอ นั่งแบ่งทรัพย์สินที่บัณฑิตได้มาจากคลังสมบัติถ้ำสถิตที่สร้างขึ้นใต้น้ำของฟู่ไห่หยวนจวิน
วัตถุวิเศษหกชิ้น
เฉินผิงอันทิ้งปิ่นที่เป็นสมบัติอาคมชิ้นนั้นไป เอามาแค่เงินเกล็ดหิมะแปดร้อยเหรียญของคลังสมบัติจวนน้ำที่น้อยนิดจนน่าสงสาร รวมไปถึง ‘ของผุพัง’ กองหนึ่งที่บัณฑิตถือโอกาสกวาดเอามาจากในจวนของตะพาบน้อยซึ่งคล้ายคลึงกับของจุกจิกของเผ่าพันธุ์จันทราตนนั้น
ต่อให้หลังจากที่ออกจากทะเลสาบซูเจี่ยนกลับคืนมายังภูเขาลั่วพั่วแล้วจะรู้ว่ามหามรรคาของตนใกล้ชิดกับน้ำ แต่เฉินผิงอันก็ยังปฏิเสธสมบัติอาคมที่มีประโยชน์เฉพาะกับผู้ฝึกตนที่ฝึกวิชาทางน้ำชิ้นนั้นไป
บางครั้งก็มีขนมเปี๊ยะหลายชิ้นร่วงจากท้องฟ้ามาใส่หัวจริงๆ
แต่เฉินผิงอันไม่เชื่อใจ ‘บัณฑิต’ หยางหนิงซิ่งแห่งหน่วยฉงเสวียนที่ใช้มรรคกถาอันลี้ลับมหัศจรรย์มาหลอมย่อส่วนให้ความชั่วร้ายทั้งหมดในสันดานเดิมกลายเป็น ‘เมล็ดงา’ ที่บริสุทธิ์เมล็ดหนึ่งผู้นั้น
ทว่าเฉินผิงอันก็ใคร่รู้เป็นอย่างยิ่งว่าวิชาเฉพาะของเสนาบดีอวี่อีแห่งตำหนักนภากาศวิชานี้สามารถหล่อหลอมจิตใจได้เหมือนหล่อหลอมวัตถุได้อย่างไร
เฉินผิงอันคิดบัญชีทุกอย่างเสร็จถึงได้ค้นพบว่าที่แท้การเดินทางมาเยือนหุบเขาผีร้ายของตนในครั้งนี้หาทรัพย์สินมาเพิ่มได้มากขนาดนี้
แม้จะบอกว่าระหว่างที่กำลังเดินทางได้สังเกตเห็นภาพเหตุการณ์ภูเขาส่ายน้ำโยกคลอนมาจากทางฝั่งของภูเขากระจกวิเศษ มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าในที่สุดหยางฉงเสวียนก็ได้ครอบครองโชควาสนาจากกระจกบานนั้น และบ่อสายฟ้าภูเขาจีเซียวที่ถูกคนย้ายหนีไปกลางอากาศก็ยิ่งเป็นโชควาสนาครั้งใหญ่
แต่เฉินผิงอันกลับไม่รู้สึกว่าผลเก็บเกี่ยวที่อุดมสมบูรณ์ของคนอื่นเหล่านี้จะทำให้ตนรู้สึกตาแดงน้ำลายสอด้วยความอิจฉาได้
ในความเป็นจริงแล้วหากย้อนกลับไปดูผลเก็บเกี่ยวของบัณฑิตที่คอยปัดแข้งปัดขาและแพ้ให้กับเฉินผิงอันทุกเรื่อง ยามที่ออกไปจากหุบเขาผีร้าย ต่อให้ไม่พูดถึงกระจกซานซานที่หยางหนิงเจินลำบากลำบนหามาให้เขา พูดถึงแค่ปลาหลั่วสีทองที่ถูกเลี้ยงอยู่ในภาชนะบรรจุน้ำขนาดเล็กของโพรงมังกรเฒ่า กับเงินบรรพบุรุษเตียวหมู่ที่เซียนสันโดษบางท่านของสำนักชิงเต๋อสร้างขึ้นกับมือตัวเอง ลำพังแค่ของสองชิ้นนี้ก็ถือว่าเขากลับไปพร้อมของเต็มไม้เต็มมือแล้ว
แต่ต่อให้รู้ความจริงแล้ว เฉินผิงอันก็ยังไม่เก็บเอามาใส่ใจอยู่ดี
เจ้าเดินบนเส้นทางกว้างใหญ่ของเจ้า ข้าเดินบนทางสะพานไม้เล็กแคบของข้า
พวกเจ้าเอาโชควาสนาใหญ่ของพวกเจ้าไปครอง ข้าก็เก็บของผุพังชิ้นเล็กชิ้นน้อยของข้าไป
—–