ตู้อวี๋ไม่กล้าแสดงสีหน้าใดๆ ออกไป ไม่อย่างนั้นเขาคงต้องยกนิ้วโป้งให้เจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซีผู้นี้เสียหน่อยแล้ว
มารดามันเถอะ นี่มันวีรสตรีโดยแท้ ความองอาจห้าวหาญนี้ไม่แพ้ให้กับประโยค ‘จะยอมให้เจ้าก่อนหนึ่งกระบวนท่า’ ของตนเลย
แต่ว่านี่ก็คือหลักการต้อนรับแขกที่สมเหตุสมผลดีแล้ว
เยี่ยนชิงคือใคร?
อีกทั้งศาลนี้ยังตั้งอยู่ริมทะเลสาบชางอวิ๋น
และยังมีเหล่าเซียนซือของดินแดนเซียนเป่าต้งมาเป็นแขกที่วังมังกร
ผู้ฝึกตนอิสระคนหนึ่งที่เรียกตัวเองเป็นพี่เป็นน้องกับตู้อวี้จะมีหน้ามีตาได้สักเท่าไร?
ตู้อวี๋ทำเพียงแค่ก้มหน้าตามองจมูก จมูกมองใจ ทว่าดวงตาก็แอบกลอกไปมองม่านฟ้าเบาๆ
ตอนนี้เขากลัวว่าฟ้าจะถล่มลงมา
แต่ว่าหากถล่มลงมาก็ดีเหมือนกัน
หากผู้อาวุโสข้างกายคนนี้ลงมือทำร้ายเยี่ยนชิงเบาๆ สักสองครั้งโดยไม่รู้จักหนักเบาจริงๆ ด้วยชื่อเสียงที่เลื่องลือด้านการปกป้องคนของตัวเองของบรรพจารย์ดินแดนเซียนเป่าต้ง จะต้องไม่มีทางยอมเลิกราง่ายๆ แน่นอน และมีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นจะไม่กล้านิ่งดูดายอยู่เฉยๆ …
ถึงเวลานั้นจะต้องเป็นการล้อมโจมตีที่สมบัติอาคมถูกขว้างมาอย่างพร้อมเพรียงจนมืดฟ้ามัวดิน
แต่การที่ตู้อวี๋อารมณ์หนักอึ้ง ไม่ได้รู้สึกลอบยินดีสักเท่าไหร่ ก็เพราะว่าดินแดนเซียนเป่าต้งของพวกเจ้ากับทะเลสาบชางอวิ๋นร่วมมือกันล้อมโจมตีผู้ฝึกตนอิสระคนหนึ่ง
แต่พอถึงเวลากลับกลายเป็นว่าถูกคนเขาใช้กำลังของคนคนเดียวทลายสองรังใหญ่ของพวกเจ้าแทน
อันที่จริงขนาดตู้อวี๋ก็ยังรู้สึกว่าความคิดนี้ของตนเหลวไหลจนน่าขันเกินไป
ต่อให้คนข้างกายจะร้ายกาจแค่ไหน ตามหลักแล้วเมื่อเจอกับบรรพจารย์คนหนึ่งของดินแดนเซียนเป่าต้ง บางทีอาจจะเปลืองแรงอย่างมาก แต่หากตกอยู่ท่ามกลางวงล้อม จะสามารถหนีรอดไปได้หรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
แต่ตู้อวี๋กลับดันมีลางสังหรณ์เช่นนี้ เขาบอกตัวเองว่า สิ่งที่เป็นไปไม่ได้มากที่สุด บางทีนั่นต่างหากถึงจะเป็นความจริงในท้ายที่สุด
เฉินผิงอันพูดเข้าประเด็นทันที “ข้ารู้มาจากทางเมืองสุยเจี้ย ว่าจดหมายลับฉบับนั้นที่เจ้าเมืองส่งไปก่อนจะตายอย่างกะทันหัน เจ้าไม่เพียงแต่เปิดมันออกอ่านด้วยตัวเอง ยังเดินทางไปเยือนเมืองหลวงแคว้นอิ๋นผิงพร้อมกับคนส่งจดหมายด้วย ถูกไหม?”
สีหน้าของเทพธิดาเยี่ยนชิงเย็นชา สำหรับเรื่องราวในหมู่ชาวบ้านเหล่านี้ นางเพียงแค่แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินเท่านั้น
ตู้อวี๋เชื่อว่าต่อให้นางได้ยินแล้วก็เท่ากับว่ายังไม่ได้ยินอยู่ดี
เพราะท่านพ่อท่านแม่เคยบอกว่า ผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนที่แท้จริงอย่างเยี่ยนชิง เหอลู่นี้ เรื่องราวบนโลกก็เหมือนยันต์รอยหิมะ จิตใจเหมือนกระจก ผ่านไปแล้วก็ไม่เหลือร่องรอยทิ้งไว้
สีหน้าของเจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซียังคงผ่อนคลายเป็นธรรมชาติ นางยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ถามคำถามไปแล้ว ข้าเองก็ได้ยินแล้ว เจ้ากับตู้เซียนซือสามารถจากไปได้แล้วหรือไม่?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “การกระทำของฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำในปีนั้น แน่นอนว่าต้องเป็นการทำไปตามหน้าที่ ดังนั้นข้าจึงไม่ได้มาเพื่อจะซักไซ้เอาความผิดแต่อย่างใด แค่รู้สึกว่าถึงอย่างไรเมื่อเรื่องดำเนินมาถึงตอนนี้ และต่อให้เมืองสุยเจี้ยเกิดความโกลาหลวุ่นวายยิ่งกว่าเก่า เรื่องเก่าแก่…เล็กน้อยประเภทนี้ ต่อให้ถูกหยิบออกมาตากแดดก็ไม่ส่งผลต่อสถานการณ์ใหญ่แม้แต่น้อย หวังว่าฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำ…”
เจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซีพลันเดือดดาล ก้าวเดินมาข้างหน้าหนึ่งก้าวด้วยท่วงท่ามากบารมี ตัดบทคำพูดของผู้ฝึกตนอิสระคนนั้นโดยตรง “ออกไป!”
สีหน้าเฉินผิงอันเป็นปกติ “เอาเรื่องเก่ามาพูดใหม่ ข้าที่เป็นคนต่างถิ่นและเป็นคนนอกที่ไม่เกี่ยวข้องคนหนึ่ง ถือว่าสร้างความลำบากใจให้กับฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำมากจริงๆ แต่หากฮูหยินกังวลกับทางด้านของเจ้าแห่งทะเลสาบ ข้าสามารถ…”
เจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซีพลันสะบัดชายแขนเสื้อเป็นวงกว้าง ชี้นิ้วไปที่ประตูจวน ตวาดกร้าว “ไสหัวออกไป! เจ้าจะนับเป็นตัวอะไรได้? กล้าบังอาจมาพูดจาไร้สาระอยู่ที่นี่ ไม่กลัวว่าจะระคายหูเทพธิดาเยี่ยนบ้างเลยหรือ?! หากไม่เป็นเพราะเห็นแก่หน้าของตู้เซียนซือ ผู้ฝึกตนอิสระที่ไม่ต่างจากโคลนเละๆ ที่ไม่ติดกำแพงอย่างเจ้า แม้แต่ประตูใหญ่บานนี้ก็ไม่อาจเข้ามาได้! เจ้าเห็นว่าศาลเทพวารีของข้าเป็นสถานที่แบบใด?”
เฉินผิงอันหันหน้าไปมองตู้อวี๋ “พี่น้องตู้อวี๋ ก่อนหน้านี้ที่เจ้ามาเยือนจวนแห่งนี้ เอาแต่มองเทพธิดาเยี่ยนอย่างเดียวงั้นหรือ?”
ตู้อวี๋รู้สึกเสียใจเหมือนบิดาตาย ในใจเกิดคลื่นยักษ์โถมกระหน่ำ แต่ก็ยังไม่กล้าเผยพิรุธ ได้แต่ตีหน้าเคร่งอย่างยากลำบาก ใบหน้าของเขาจึงดูบิดเบี้ยวเล็กน้อย
สิ่งปลูกสร้างในศาลมีมากมายหลายหลัง
และเวลานี้เอง บนชายคาตวัดงอนของเรือนหลังหนึ่งก็มีเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่เอาสองมือไพล่หลังคนหนึ่งปรากฎตัว ชายแขนเสื้อกว้างของเขาโบกสะบัดไปตามสายลม ตรงเอวผูกขลุ่ยไม้ไผ่ที่เป็นสีออกเหลืองไว้หนึ่งเลา มองดูแล้วล่องลอยประดุจเซียน
เขาเอ่ยเบาๆ ว่า “ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำ อภัยคนได้ก็พึงให้อภัย”
ดวงตาของเยี่ยนชิงเปล่งประกายสุกใส แต่เพียงไม่นานก็กลับคืนมามีสีหน้าเย็นชาดังเดิม
ตู้อวี๋ตาแหลม พอเห็นอย่างนั้นก็ทำหน้าเหมือนคนกินอาจม อีกทั้งยังเป็นอาจมร้อนๆ สดใหม่อีกด้วย
เป็นอย่างที่ผู้อาวุโสข้างกายสันนิษฐานไว้จริงๆ
ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ศาลสุ่ยเซียน มีความเป็นไปได้มากว่าเหอลู่เตร็ดเตร่อยู่ในภูเขาใกล้เคียงเพื่อหาโอกาสมาลอบพบเยี่ยนชิง และจากนั้นเหอลู่ก็ค้นพบเบาะแสอะไรบางอย่าง เพียงแต่ว่าคนผู้นี้ไม่กล้าขยับเข้ามาใกล้มากเกินไปนัก
เพราะถึงอย่างไรศึกใหญ่ก็กำลังจะเปิดฉากขึ้น ได้พบหน้าสตรีในดวงใจ นั่นต่างหากถึงจะเป็นเรื่องใหญ่ที่สุดสำหรับเขา
ส่วนเรื่องอื่นๆ ด้วยนิสัยของเหอลู่ หากอยู่ใกล้ก็มองดูดายเฉยๆ หากอยู่ไกลก็ชมไฟชายฝั่ง แค่นี้เท่านั้น
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เขาปิดบังร่องรอยได้ดีกว่าเจ้าเยอะเลย”
พอฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำเห็นเด็กหนุ่มผู้สูงส่งคนนั้นแล้วก็รีบเปลี่ยนท่าทีเสียใหม่ นางยอบตัวคารวะอย่างอ่อนช้อย พูดเสียงนุ่มนวล “คารวะเหอเซียนซือ”
เฉินผิงอันตบไหล่ตู้อวี๋ “พี่น้องตู้อวี๋ คืนนี้ไม่มีธุระของเจ้าแล้ว คนเราทำอะไรไว้ก็ต้องรับผิดชอบ เจ้าอย่าสอดมือเข้ามายุ่งเลย”
ตู้อวี๋ถึงขั้นมีใจนึกอยากตายแล้ว
ตอนนี้ดินเหลืองเปื้อนเต็มกางเกงข้าผู้อาวุโส กระโดดลงทะเลสาบชางอวิ๋นก็ยังล้างได้ไม่สะอาด ไม่ว่าคืนนี้เจ้าจะหนีรอดหรือรบตายอยู่ที่นี่ เขาตู้อวี๋ก็ต้องโดนถลกหนังออกหนึ่งชั้นอยู่ดี ไม่แน่ว่าอาจกลายเป็นหนูวิ่งผ่านถนนในสายตาของผู้ฝึกตนบนภูเขาหลายสิบแคว้น ไม่ว่าใครเห็นก็อยากจะขว้างหินซ้ำเติม
ตู้อวี๋พยายามตีหน้าให้เคร่งขรึม “พี่เฉิน ข้าจะไม่ไปไหนทั้งนั้น เรื่องของเจ้า ก็คือ…เรื่องของข้าตู้อวี๋!”
เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาผู้นั้นกระตุกมุมปากคล้ายยิ้มเย้ยหยัน
แต่เมื่อเขาหันหน้าไปมองเยี่ยนชิงที่เรือนกายสูงเพรียวดุจต้นไม้หยก สายตากลับอ่อนโยนลง
เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้นมองกรอบป้าย ‘น้ำเขียวไหลยาว’ นั้นอีกครั้ง
ตัวอักษรธรรมดา ความหมายดี มีส่วนให้ต้องขบคิดใคร่ครวญ
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำ ข้าจะใช้เงินเทพเซียนซื้อเรื่องเก่าเรื่องนั้นของเจ้า ตกลงไหม? แน่นอนว่าสามารถรวมราคาที่หลังจากเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นทราบเรื่องแล้วจะพานโกรธเจ้าไว้ด้วยได้”
ตู้อวี๋หนังตากระตุกยิกๆ
เอาแล้วๆ
ตอนนี้สิ่งที่เขากลัวที่สุดก็คือคัมภีร์การค้าเทพเซียนยากจะคาดเดาเล่มที่ผู้อาวุโสตรงหน้านี้ใช้เล่นงานเขานี่แหละ
บางทีประโยคนั้นของเหอลู่อาจจะมีประโยชน์อยู่มาก
แม้ว่าสีหน้าของเจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซีจะยังคงไม่สบอารมณ์ แต่ก็ไม่ได้พูดจาเกรี้ยวกราดใส่ นางโบกมือเอ่ยว่า “วันหน้าค่อยว่ากัน คืนนี้ที่นี่ปิดประตูไม่ต้อนรับแขก”
ตู้อวี๋เงียบงันไม่เอ่ยคำใด
เฉินผิงอันคิดแล้วเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้พวกเราค่อยมาเยือนใหม่”
ได้ยินคำว่า ‘พวก’
อารมณ์ของตู้อวี๋ก็หดหู่เหมือนขี้เถ้ามอด
เฉินผิงอันที่ถือไม้เท้าเดินป่าไว้ในมือหมุนตัวจากไปจริงๆ
ทางฝั่งของเมืองสุยเจี้ยยังพอมีเวลา เฉินผิงอันจึงไม่อยากจะสร้างความเคลื่อนไหวอะไรที่รุนแรงเกินไปนัก
แต่เฉินผิงอันก็ยังรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
เหตุใดจนถึงตอนนี้ เจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋น บรรพจารย์ดินแดนเซียนเป่าต้งที่อยู่ทางฝั่งของวังมังกรใต้ทะเลสาบถึงยังไม่ร่ายใช้วิชาอภินิหารมองภูเขาแม่น้ำผ่านฝ่ามือลอบมองมายังที่นี่เสียที?
ทั้งสองคนนี้น่าจะไม่มีวิชาอภินิหารเหนือกว่าบรรพจารย์ผู้คุมกฎของสำนักพีหมาถึงจะถูก
แต่จู่ๆ เฉินผิงอันก็หยุดฝีเท้า
ตู้อวี๋รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
เฉินผิงอันหันหน้าไปมอง
เจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซีแสร้งทำเป็นขมวดคิ้วอย่างกังขา ถามว่า “เจ้าจะเอายังไงอีก? จะเล่นแง่ไม่ยอมจากไปจริงๆ หรือ?”
เฉินผิงอันหัวเราะ
หากเจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซีผู้นี้เป็นแค่ผู้ฝึกตนคนหนึ่ง ไม่ใช่เทพวารีในศาล เกรงว่าการที่นางใช้ริ้วคลื่นทะเลสาบในหัวใจพูดกับตนคงจะถูกเหอลู่และเยี่ยนชิงที่มีขอบเขตสูงยิ่งกว่าจับพิรุธได้อย่างแน่นอน
และเมื่อครู่นี้นางก็เอ่ยประโยคหนึ่งด้วยน้ำเสียงหวานหยดย้อย
“ผู้ฝึกตนอิสระพันธ์ผสม (คำด่าภาษาจีน หมายถึงสตรีที่มีความสัมพันธ์กับบุรุษมากหน้าหลายตา ลูกที่ออกมาจึงเป็นพันธ์ผสม) อย่างเจ้า ตลอดทางที่เดินมาถึงตรงนี้ทำให้พื้นดินของจวนข้าสกปรกไปหมด พรุ่งนี้หิ้วถังน้ำเข้ามาด้วยล่ะ ไม่อย่างนั้นก็อย่าได้เข้ามาที่นี่อีก”
เฉินผิงอันไม่ได้รู้สึกโกรธสักเท่าไหร่ แค่รู้สึกเอียนเล็กน้อย
เพราะนี่เป็นประโยคที่คล้ายคลึงกับคำว่า ‘ลมพัดโชยค่ำคืนวสันต์’ ที่ตู้อวี๋เอ่ยอย่างไม่ตั้งใจ
คำกล่าวว่าพันธ์ผสมนี้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดในใต้หล้าไพศาล ก็คงไม่ใช่ถ้อยคำที่น่าฟังสักเท่าไร
เหอลู่เริ่มขมวดคิ้ว
เยี่ยนชิงเองก็เริ่มมีสีหน้ารำคาญใจ
ทันใดนั้น
ตลอดทั้งศาลเทพวารีก็พลันโยกคลอน
ลานกว้างด้านนอกประตูจวนที่แขวนกรอบป้ายคำว่า ‘น้ำเขียวไหลยาว’ พลันระเบิดแตกจนพื้นผิวกลายเป็นรอยร้าวเหมือนใยแมงมุมขนาดยักษ์
เฉินผิงอันมาอยู่บนขั้นบันไดแล้ว ยังคงถือไม้เท้าเดินป่าไว้ในมือ มือหนึ่งบีบคอของเจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซี ยกตัวนางลอยขึ้นกลางอากาศช้าๆ
เขาแหงนหน้าขึ้นมองฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำที่ไม่เหลือท่วงท่าสง่างามใดๆ อีกต่อไป ร่างทองของนางสั่นสะเทือนเหมือนถูกฟ้าผ่า แสงเทพศักดิ์สิทธิ์แหลกสลายจนมิอาจกลับมารวมตัวกันได้อีก ได้แต่ใช้สองมือทุบตีแขนของบุรุษสวมงอบผู้นั้นอย่างแรง
เยี่ยนชิงทะยานตัวออกไปในแนวขวาง
นางสะบัดข้อมือหนึ่งครั้ง แถบผ้าหลากสีส่องแสงเรืองรองเส้นหนึ่งก็ไหลออกมาจากชายแขนเสื้อ ก่อนที่ในมือจะมีกระบี่สั้นไร้ฝักเล่มหนึ่งเพิ่มขึ้นมา
เหอลู่เอามือกำขลุ่ยหยกที่ห้อยไว้ตรงเอว พูดเสียงหนักว่า “ข้ายังยืนยันคำเดิม อภัยคนได้ก็จงให้อภัย”
เฉินผิงอันหันหน้าไปมอง พวกเขาสองคนยืนอยู่สองจุดที่หนึ่งสูงหนึ่งต่ำ ทว่ากลับหันหน้ามาในทิศทางเดียวกัน เฉินผิงอันจึงยิ้มกล่าว “ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำผู้นี้ไม่ใช่คนสักหน่อย อีกอย่างผู้ฝึกตนอย่างพวกเจ้ายิ่งแตะต้องฝุ่นผงในโลกีย์น้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งดีไม่ใช่หรือ? พวกเจ้ามาพบกันที่นี่ สำนักของแต่ละฝ่ายต่างก็ไม่รู้ ศาลเทพวารีของฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำก็เป็นแค่บันไดเชื่อมต่อแห่งหนึ่งที่ทั้งนครหวงเยว่และดินแดนเซียนเป่าต้งให้การยอมรับโดยปริยาย ทำไม คิดจะขัดขวางข้า? ระวังเถอะว่าเมื่อบันไดขั้นนี้พังลงไป สำนักที่อยู่เบื้องหลังพวกเจ้าทั้งสองจะไม่มีบันไดให้เดินลงอีก”
ฮูเจ้าแห่งคูน้ำดิ้นรนไม่หยุด สภาพท่าทางเรียกได้ว่าน่าเวทนา
ตู้อวี๋กลับรู้สึกปรีดานิดๆ
ราวกับว่าหลังจากที่ใช้เหตุผลกับทุกเรื่องโดยไม่ต้องสนใจว่าจะมีเหตุผลจริงๆ หรือไม่แล้ว ถึงอย่างไรการออกหมัดหลังจากนั้นก็สาแก่ใจได้ยิ่งกว่า?
เหอลู่ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “แนะนำเจ้าว่าอย่ารนหาที่ตาย…”
เยี่ยนชิงรู้สึกตาพร่าลาย
คิดจะลงมือเงื้อกระบี่ฟันออกไป
แต่หลังจากลังเลอยู่เล็กน้อยก็เลือกจะถอยกรูดไปด้านหลัง
นางเรียกสมบัติป้องกันกายที่เป็นอาวุธหนักชิ้นหนึ่งของสำนักมาปกป้องอยู่รอบกาย
ส่วนฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำที่ถูกโยนทิ้งอย่างไม่ใส่ใจผู้นั้น หลังจากเก็บกระบี่มาแล้ว นางก็คร้านที่จะเหลือบแล
การเข่นฆ่าของผู้ฝึกตน เมื่อเจอกับเส้นแบ่งความเป็นความตาย ใครวอกแวกคนนั้นก็ตายก่อน
แต่จู่ๆ หัวใจของเยี่ยนชิงก็หดรัดตัว นางหันหน้าไปมอง
เงาร่างสีเขียวเส้นหนึ่งปรากฏตัวอยู่ใกล้กับชายคาที่ตวัดงอน ดูเหมือนว่าจะใช้สันมือสับเข้าที่ลำคอของเหอลู่ จนร่างเหอลู่ปลิวกระเด็นออกไป จากนั้นเงาร่างสีเขียวก็เหมือนเงาตามติดที่ยกฝ่ามือกดหน้าเหอลู่ไว้แล้วกดลงเบื้องล่าง ร่างเหอลู่กระแทกทะลุหลังคาเสียงดังโครม ก่อนจะตกลงสู่พื้นอย่างแรง ฟังจากเสียงความเคลื่อนไหวนั้นแล้วร่างน่าจะกระดอนขึ้นจากพื้นหนึ่งทีแล้วถึงได้พังพาบแน่นิ่งไป
ไม่มีทางตาย ต้องไม่มีทางตายแน่นอน
จิตใจของเยี่ยนชิงสับสนวุ่นวาย
ผลกลับกลายเป็นว่าคนผู้นั้นคล้ายจะใช้วิชาย่อพื้นที่จึงมาถึงข้างกายนางได้ในเสี้ยววินาที
เยี่ยนชิงกำลังจะออกกระบี่
กลับถูกคนผู้นั้นดีดนิ้วหนึ่งครั้งโจมตีเข้าที่ตัวกระบี่พอดิบพอดี เยี่ยนชิงหน้าซีดขาวน้อยๆ กำลังจะลงมือทำอะไรบางอย่าง
กลับสังเกตเห็นว่าคนผู้นั้นพุ่งสวนไหล่นางไป เท้าเหยียบอยู่บนหน้าผากของฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำที่เพิ่งฟื้นคืนสติขึ้นมาพอดี แล้วพลันเพิ่มพละกำลังเกิดเป็นพายุลมกรดที่ราวกับหอบเอาเสียงฟ้าร้องมาด้วย
แล้วก็กระทืบซ้ำอีกครั้ง
ทั้งศีรษะและร่างท่อนบนของฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซีล้วนจมลึกลงไปในหลุม
เฉินผิงอันยังคงถือไม้เท้าเดินป่า ยืนอยู่ริมขอบของหลุมใหญ่ พูดกับเยี่ยนชิงว่า “ไม่ไปดูคนรักของเจ้าหน่อยรึ?”
เยี่ยนชิงกำลังจะลุกขึ้นทะยานตัวออกไป แต่พอนางเห็นท่าทางกุมไม้เท้าอย่างคาดหวังของคนผู้นั้นก็พลันหยุดชะงัก ถอยหลังไปหนึ่งก้าว ฉวยโอกาสนี้หลบหนีไปทันที ขอแค่ตนหนีไปถึงทะเลสาบชางอวิ๋น จะต้องร่วมมือกับคนในสำนักมาล้อมปราบ สังหารคนผู้นี้ให้หายแค้นอย่างแน่นอน!
เฉินผิงอันมองไปทางตู้อวี๋ แล้วยิ้มกล่าวว่า “เจ้าตาบอดหรือไง นี่ถือว่าเป็นกุมารทองกุมารีหยก คู่รักเทพเซียนแต่กำเนิดกะผายลมสุนัขอะไรกัน?”
สีหน้าของเยี่ยนชิงเย็นชาดุจน้ำค้างแข็ง ในดวงตาที่งดงามสองข้างนั้นเผยความเคียดแค้นและจิตสังหารที่เข้มข้นเป็นครั้งแรก
เพียงแต่ว่าผู้ฝึกตนอิสระหนุ่มสวมงอบคนนั้นกลับแค่กระทืบเท้าเบาๆ ดีดฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำออกมาจากหลุม หลังจากนั้นก็เตะอีกฝ่ายไปทางประตูใหญ่ มือถือไม้เท้า ก้าวยาวๆ ตามไป หันหลังให้นางกับกระบี่ของนางอย่างใจกว้าง จากนั้นคนชุดเขียวก็ยกมือขึ้นโบก “ไปดูเถอะ”
สุดท้ายคนผู้นั้นก็กระชากตัวฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำออกไปจากจวน น่าจะมุ่งหน้าไปยังทะเลสาบชางอวิ๋น?
ตู้อวี๋ค้อมเอววิ่งตุปัดตุเป๋ตามหลังคนผู้นั้นไป
เยี่ยนชิงยืนอึ้งตะลึงอยู่กับที่
—–