กระบี่จงมา Sword of Coming – บทที่ 503.5 กดเส้นเส้นหนึ่งลงไป

บทที่ 503.5 กดเส้นเส้นหนึ่งลงไป

ตู้อวี๋ไม่กล้าแสดงสีหน้าใดๆ ออกไป ไม่อย่างนั้นเขาคงต้องยกนิ้วโป้งให้เจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซีผู้นี้เสียหน่อยแล้ว

มารดามันเถอะ นี่มันวีรสตรีโดยแท้ ความองอาจห้าวหาญนี้ไม่แพ้ให้กับประโยค ‘จะยอมให้เจ้าก่อนหนึ่งกระบวนท่า’ ของตนเลย

แต่ว่านี่ก็คือหลักการต้อนรับแขกที่สมเหตุสมผลดีแล้ว

เยี่ยนชิงคือใคร?

อีกทั้งศาลนี้ยังตั้งอยู่ริมทะเลสาบชางอวิ๋น

และยังมีเหล่าเซียนซือของดินแดนเซียนเป่าต้งมาเป็นแขกที่วังมังกร

ผู้ฝึกตนอิสระคนหนึ่งที่เรียกตัวเองเป็นพี่เป็นน้องกับตู้อวี้จะมีหน้ามีตาได้สักเท่าไร?

ตู้อวี๋ทำเพียงแค่ก้มหน้าตามองจมูก จมูกมองใจ ทว่าดวงตาก็แอบกลอกไปมองม่านฟ้าเบาๆ

ตอนนี้เขากลัวว่าฟ้าจะถล่มลงมา

แต่ว่าหากถล่มลงมาก็ดีเหมือนกัน

หากผู้อาวุโสข้างกายคนนี้ลงมือทำร้ายเยี่ยนชิงเบาๆ สักสองครั้งโดยไม่รู้จักหนักเบาจริงๆ ด้วยชื่อเสียงที่เลื่องลือด้านการปกป้องคนของตัวเองของบรรพจารย์ดินแดนเซียนเป่าต้ง จะต้องไม่มีทางยอมเลิกราง่ายๆ แน่นอน และมีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นจะไม่กล้านิ่งดูดายอยู่เฉยๆ …

ถึงเวลานั้นจะต้องเป็นการล้อมโจมตีที่สมบัติอาคมถูกขว้างมาอย่างพร้อมเพรียงจนมืดฟ้ามัวดิน

แต่การที่ตู้อวี๋อารมณ์หนักอึ้ง ไม่ได้รู้สึกลอบยินดีสักเท่าไหร่ ก็เพราะว่าดินแดนเซียนเป่าต้งของพวกเจ้ากับทะเลสาบชางอวิ๋นร่วมมือกันล้อมโจมตีผู้ฝึกตนอิสระคนหนึ่ง

แต่พอถึงเวลากลับกลายเป็นว่าถูกคนเขาใช้กำลังของคนคนเดียวทลายสองรังใหญ่ของพวกเจ้าแทน

อันที่จริงขนาดตู้อวี๋ก็ยังรู้สึกว่าความคิดนี้ของตนเหลวไหลจนน่าขันเกินไป

ต่อให้คนข้างกายจะร้ายกาจแค่ไหน ตามหลักแล้วเมื่อเจอกับบรรพจารย์คนหนึ่งของดินแดนเซียนเป่าต้ง บางทีอาจจะเปลืองแรงอย่างมาก แต่หากตกอยู่ท่ามกลางวงล้อม จะสามารถหนีรอดไปได้หรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

แต่ตู้อวี๋กลับดันมีลางสังหรณ์เช่นนี้ เขาบอกตัวเองว่า สิ่งที่เป็นไปไม่ได้มากที่สุด บางทีนั่นต่างหากถึงจะเป็นความจริงในท้ายที่สุด

เฉินผิงอันพูดเข้าประเด็นทันที “ข้ารู้มาจากทางเมืองสุยเจี้ย ว่าจดหมายลับฉบับนั้นที่เจ้าเมืองส่งไปก่อนจะตายอย่างกะทันหัน เจ้าไม่เพียงแต่เปิดมันออกอ่านด้วยตัวเอง ยังเดินทางไปเยือนเมืองหลวงแคว้นอิ๋นผิงพร้อมกับคนส่งจดหมายด้วย ถูกไหม?”

สีหน้าของเทพธิดาเยี่ยนชิงเย็นชา สำหรับเรื่องราวในหมู่ชาวบ้านเหล่านี้ นางเพียงแค่แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินเท่านั้น

ตู้อวี๋เชื่อว่าต่อให้นางได้ยินแล้วก็เท่ากับว่ายังไม่ได้ยินอยู่ดี

เพราะท่านพ่อท่านแม่เคยบอกว่า ผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนที่แท้จริงอย่างเยี่ยนชิง เหอลู่นี้ เรื่องราวบนโลกก็เหมือนยันต์รอยหิมะ จิตใจเหมือนกระจก ผ่านไปแล้วก็ไม่เหลือร่องรอยทิ้งไว้

สีหน้าของเจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซียังคงผ่อนคลายเป็นธรรมชาติ นางยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ถามคำถามไปแล้ว ข้าเองก็ได้ยินแล้ว เจ้ากับตู้เซียนซือสามารถจากไปได้แล้วหรือไม่?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “การกระทำของฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำในปีนั้น แน่นอนว่าต้องเป็นการทำไปตามหน้าที่ ดังนั้นข้าจึงไม่ได้มาเพื่อจะซักไซ้เอาความผิดแต่อย่างใด แค่รู้สึกว่าถึงอย่างไรเมื่อเรื่องดำเนินมาถึงตอนนี้ และต่อให้เมืองสุยเจี้ยเกิดความโกลาหลวุ่นวายยิ่งกว่าเก่า เรื่องเก่าแก่…เล็กน้อยประเภทนี้ ต่อให้ถูกหยิบออกมาตากแดดก็ไม่ส่งผลต่อสถานการณ์ใหญ่แม้แต่น้อย หวังว่าฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำ…”

เจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซีพลันเดือดดาล ก้าวเดินมาข้างหน้าหนึ่งก้าวด้วยท่วงท่ามากบารมี ตัดบทคำพูดของผู้ฝึกตนอิสระคนนั้นโดยตรง “ออกไป!”

สีหน้าเฉินผิงอันเป็นปกติ “เอาเรื่องเก่ามาพูดใหม่ ข้าที่เป็นคนต่างถิ่นและเป็นคนนอกที่ไม่เกี่ยวข้องคนหนึ่ง ถือว่าสร้างความลำบากใจให้กับฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำมากจริงๆ แต่หากฮูหยินกังวลกับทางด้านของเจ้าแห่งทะเลสาบ ข้าสามารถ…”

เจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซีพลันสะบัดชายแขนเสื้อเป็นวงกว้าง ชี้นิ้วไปที่ประตูจวน ตวาดกร้าว “ไสหัวออกไป! เจ้าจะนับเป็นตัวอะไรได้? กล้าบังอาจมาพูดจาไร้สาระอยู่ที่นี่ ไม่กลัวว่าจะระคายหูเทพธิดาเยี่ยนบ้างเลยหรือ?! หากไม่เป็นเพราะเห็นแก่หน้าของตู้เซียนซือ ผู้ฝึกตนอิสระที่ไม่ต่างจากโคลนเละๆ ที่ไม่ติดกำแพงอย่างเจ้า แม้แต่ประตูใหญ่บานนี้ก็ไม่อาจเข้ามาได้! เจ้าเห็นว่าศาลเทพวารีของข้าเป็นสถานที่แบบใด?”

เฉินผิงอันหันหน้าไปมองตู้อวี๋ “พี่น้องตู้อวี๋ ก่อนหน้านี้ที่เจ้ามาเยือนจวนแห่งนี้ เอาแต่มองเทพธิดาเยี่ยนอย่างเดียวงั้นหรือ?”

ตู้อวี๋รู้สึกเสียใจเหมือนบิดาตาย ในใจเกิดคลื่นยักษ์โถมกระหน่ำ แต่ก็ยังไม่กล้าเผยพิรุธ ได้แต่ตีหน้าเคร่งอย่างยากลำบาก ใบหน้าของเขาจึงดูบิดเบี้ยวเล็กน้อย

สิ่งปลูกสร้างในศาลมีมากมายหลายหลัง

และเวลานี้เอง บนชายคาตวัดงอนของเรือนหลังหนึ่งก็มีเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่เอาสองมือไพล่หลังคนหนึ่งปรากฎตัว ชายแขนเสื้อกว้างของเขาโบกสะบัดไปตามสายลม ตรงเอวผูกขลุ่ยไม้ไผ่ที่เป็นสีออกเหลืองไว้หนึ่งเลา มองดูแล้วล่องลอยประดุจเซียน

เขาเอ่ยเบาๆ ว่า “ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำ อภัยคนได้ก็พึงให้อภัย”

ดวงตาของเยี่ยนชิงเปล่งประกายสุกใส แต่เพียงไม่นานก็กลับคืนมามีสีหน้าเย็นชาดังเดิม

ตู้อวี๋ตาแหลม พอเห็นอย่างนั้นก็ทำหน้าเหมือนคนกินอาจม อีกทั้งยังเป็นอาจมร้อนๆ สดใหม่อีกด้วย

เป็นอย่างที่ผู้อาวุโสข้างกายสันนิษฐานไว้จริงๆ

ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ศาลสุ่ยเซียน มีความเป็นไปได้มากว่าเหอลู่เตร็ดเตร่อยู่ในภูเขาใกล้เคียงเพื่อหาโอกาสมาลอบพบเยี่ยนชิง และจากนั้นเหอลู่ก็ค้นพบเบาะแสอะไรบางอย่าง เพียงแต่ว่าคนผู้นี้ไม่กล้าขยับเข้ามาใกล้มากเกินไปนัก

เพราะถึงอย่างไรศึกใหญ่ก็กำลังจะเปิดฉากขึ้น ได้พบหน้าสตรีในดวงใจ นั่นต่างหากถึงจะเป็นเรื่องใหญ่ที่สุดสำหรับเขา

ส่วนเรื่องอื่นๆ ด้วยนิสัยของเหอลู่ หากอยู่ใกล้ก็มองดูดายเฉยๆ หากอยู่ไกลก็ชมไฟชายฝั่ง แค่นี้เท่านั้น

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เขาปิดบังร่องรอยได้ดีกว่าเจ้าเยอะเลย”

พอฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำเห็นเด็กหนุ่มผู้สูงส่งคนนั้นแล้วก็รีบเปลี่ยนท่าทีเสียใหม่ นางยอบตัวคารวะอย่างอ่อนช้อย พูดเสียงนุ่มนวล “คารวะเหอเซียนซือ”

เฉินผิงอันตบไหล่ตู้อวี๋ “พี่น้องตู้อวี๋ คืนนี้ไม่มีธุระของเจ้าแล้ว คนเราทำอะไรไว้ก็ต้องรับผิดชอบ เจ้าอย่าสอดมือเข้ามายุ่งเลย”

ตู้อวี๋ถึงขั้นมีใจนึกอยากตายแล้ว

ตอนนี้ดินเหลืองเปื้อนเต็มกางเกงข้าผู้อาวุโส กระโดดลงทะเลสาบชางอวิ๋นก็ยังล้างได้ไม่สะอาด ไม่ว่าคืนนี้เจ้าจะหนีรอดหรือรบตายอยู่ที่นี่ เขาตู้อวี๋ก็ต้องโดนถลกหนังออกหนึ่งชั้นอยู่ดี ไม่แน่ว่าอาจกลายเป็นหนูวิ่งผ่านถนนในสายตาของผู้ฝึกตนบนภูเขาหลายสิบแคว้น ไม่ว่าใครเห็นก็อยากจะขว้างหินซ้ำเติม

ตู้อวี๋พยายามตีหน้าให้เคร่งขรึม “พี่เฉิน ข้าจะไม่ไปไหนทั้งนั้น เรื่องของเจ้า ก็คือ…เรื่องของข้าตู้อวี๋!”

เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาผู้นั้นกระตุกมุมปากคล้ายยิ้มเย้ยหยัน

แต่เมื่อเขาหันหน้าไปมองเยี่ยนชิงที่เรือนกายสูงเพรียวดุจต้นไม้หยก สายตากลับอ่อนโยนลง

เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้นมองกรอบป้าย ‘น้ำเขียวไหลยาว’ นั้นอีกครั้ง

ตัวอักษรธรรมดา ความหมายดี มีส่วนให้ต้องขบคิดใคร่ครวญ

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำ ข้าจะใช้เงินเทพเซียนซื้อเรื่องเก่าเรื่องนั้นของเจ้า ตกลงไหม? แน่นอนว่าสามารถรวมราคาที่หลังจากเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นทราบเรื่องแล้วจะพานโกรธเจ้าไว้ด้วยได้”

ตู้อวี๋หนังตากระตุกยิกๆ

เอาแล้วๆ

ตอนนี้สิ่งที่เขากลัวที่สุดก็คือคัมภีร์การค้าเทพเซียนยากจะคาดเดาเล่มที่ผู้อาวุโสตรงหน้านี้ใช้เล่นงานเขานี่แหละ

บางทีประโยคนั้นของเหอลู่อาจจะมีประโยชน์อยู่มาก

แม้ว่าสีหน้าของเจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซีจะยังคงไม่สบอารมณ์ แต่ก็ไม่ได้พูดจาเกรี้ยวกราดใส่ นางโบกมือเอ่ยว่า “วันหน้าค่อยว่ากัน คืนนี้ที่นี่ปิดประตูไม่ต้อนรับแขก”

ตู้อวี๋เงียบงันไม่เอ่ยคำใด

เฉินผิงอันคิดแล้วเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้พวกเราค่อยมาเยือนใหม่”

ได้ยินคำว่า ‘พวก’

อารมณ์ของตู้อวี๋ก็หดหู่เหมือนขี้เถ้ามอด

เฉินผิงอันที่ถือไม้เท้าเดินป่าไว้ในมือหมุนตัวจากไปจริงๆ

ทางฝั่งของเมืองสุยเจี้ยยังพอมีเวลา เฉินผิงอันจึงไม่อยากจะสร้างความเคลื่อนไหวอะไรที่รุนแรงเกินไปนัก

แต่เฉินผิงอันก็ยังรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

เหตุใดจนถึงตอนนี้ เจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋น บรรพจารย์ดินแดนเซียนเป่าต้งที่อยู่ทางฝั่งของวังมังกรใต้ทะเลสาบถึงยังไม่ร่ายใช้วิชาอภินิหารมองภูเขาแม่น้ำผ่านฝ่ามือลอบมองมายังที่นี่เสียที?

ทั้งสองคนนี้น่าจะไม่มีวิชาอภินิหารเหนือกว่าบรรพจารย์ผู้คุมกฎของสำนักพีหมาถึงจะถูก

แต่จู่ๆ เฉินผิงอันก็หยุดฝีเท้า

ตู้อวี๋รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

เฉินผิงอันหันหน้าไปมอง

เจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซีแสร้งทำเป็นขมวดคิ้วอย่างกังขา ถามว่า “เจ้าจะเอายังไงอีก? จะเล่นแง่ไม่ยอมจากไปจริงๆ หรือ?”

เฉินผิงอันหัวเราะ

หากเจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซีผู้นี้เป็นแค่ผู้ฝึกตนคนหนึ่ง ไม่ใช่เทพวารีในศาล เกรงว่าการที่นางใช้ริ้วคลื่นทะเลสาบในหัวใจพูดกับตนคงจะถูกเหอลู่และเยี่ยนชิงที่มีขอบเขตสูงยิ่งกว่าจับพิรุธได้อย่างแน่นอน

และเมื่อครู่นี้นางก็เอ่ยประโยคหนึ่งด้วยน้ำเสียงหวานหยดย้อย

“ผู้ฝึกตนอิสระพันธ์ผสม (คำด่าภาษาจีน หมายถึงสตรีที่มีความสัมพันธ์กับบุรุษมากหน้าหลายตา ลูกที่ออกมาจึงเป็นพันธ์ผสม) อย่างเจ้า ตลอดทางที่เดินมาถึงตรงนี้ทำให้พื้นดินของจวนข้าสกปรกไปหมด พรุ่งนี้หิ้วถังน้ำเข้ามาด้วยล่ะ ไม่อย่างนั้นก็อย่าได้เข้ามาที่นี่อีก”

เฉินผิงอันไม่ได้รู้สึกโกรธสักเท่าไหร่ แค่รู้สึกเอียนเล็กน้อย

เพราะนี่เป็นประโยคที่คล้ายคลึงกับคำว่า ‘ลมพัดโชยค่ำคืนวสันต์’ ที่ตู้อวี๋เอ่ยอย่างไม่ตั้งใจ

คำกล่าวว่าพันธ์ผสมนี้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดในใต้หล้าไพศาล ก็คงไม่ใช่ถ้อยคำที่น่าฟังสักเท่าไร

เหอลู่เริ่มขมวดคิ้ว

เยี่ยนชิงเองก็เริ่มมีสีหน้ารำคาญใจ

ทันใดนั้น

ตลอดทั้งศาลเทพวารีก็พลันโยกคลอน

ลานกว้างด้านนอกประตูจวนที่แขวนกรอบป้ายคำว่า ‘น้ำเขียวไหลยาว’ พลันระเบิดแตกจนพื้นผิวกลายเป็นรอยร้าวเหมือนใยแมงมุมขนาดยักษ์

เฉินผิงอันมาอยู่บนขั้นบันไดแล้ว ยังคงถือไม้เท้าเดินป่าไว้ในมือ มือหนึ่งบีบคอของเจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซี ยกตัวนางลอยขึ้นกลางอากาศช้าๆ

เขาแหงนหน้าขึ้นมองฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำที่ไม่เหลือท่วงท่าสง่างามใดๆ อีกต่อไป ร่างทองของนางสั่นสะเทือนเหมือนถูกฟ้าผ่า แสงเทพศักดิ์สิทธิ์แหลกสลายจนมิอาจกลับมารวมตัวกันได้อีก ได้แต่ใช้สองมือทุบตีแขนของบุรุษสวมงอบผู้นั้นอย่างแรง

เยี่ยนชิงทะยานตัวออกไปในแนวขวาง

นางสะบัดข้อมือหนึ่งครั้ง แถบผ้าหลากสีส่องแสงเรืองรองเส้นหนึ่งก็ไหลออกมาจากชายแขนเสื้อ ก่อนที่ในมือจะมีกระบี่สั้นไร้ฝักเล่มหนึ่งเพิ่มขึ้นมา

เหอลู่เอามือกำขลุ่ยหยกที่ห้อยไว้ตรงเอว พูดเสียงหนักว่า “ข้ายังยืนยันคำเดิม อภัยคนได้ก็จงให้อภัย”

เฉินผิงอันหันหน้าไปมอง พวกเขาสองคนยืนอยู่สองจุดที่หนึ่งสูงหนึ่งต่ำ ทว่ากลับหันหน้ามาในทิศทางเดียวกัน เฉินผิงอันจึงยิ้มกล่าว “ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำผู้นี้ไม่ใช่คนสักหน่อย อีกอย่างผู้ฝึกตนอย่างพวกเจ้ายิ่งแตะต้องฝุ่นผงในโลกีย์น้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งดีไม่ใช่หรือ? พวกเจ้ามาพบกันที่นี่ สำนักของแต่ละฝ่ายต่างก็ไม่รู้ ศาลเทพวารีของฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำก็เป็นแค่บันไดเชื่อมต่อแห่งหนึ่งที่ทั้งนครหวงเยว่และดินแดนเซียนเป่าต้งให้การยอมรับโดยปริยาย ทำไม คิดจะขัดขวางข้า? ระวังเถอะว่าเมื่อบันไดขั้นนี้พังลงไป สำนักที่อยู่เบื้องหลังพวกเจ้าทั้งสองจะไม่มีบันไดให้เดินลงอีก”

ฮูเจ้าแห่งคูน้ำดิ้นรนไม่หยุด สภาพท่าทางเรียกได้ว่าน่าเวทนา

ตู้อวี๋กลับรู้สึกปรีดานิดๆ

ราวกับว่าหลังจากที่ใช้เหตุผลกับทุกเรื่องโดยไม่ต้องสนใจว่าจะมีเหตุผลจริงๆ หรือไม่แล้ว ถึงอย่างไรการออกหมัดหลังจากนั้นก็สาแก่ใจได้ยิ่งกว่า?

เหอลู่ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “แนะนำเจ้าว่าอย่ารนหาที่ตาย…”

เยี่ยนชิงรู้สึกตาพร่าลาย

คิดจะลงมือเงื้อกระบี่ฟันออกไป

แต่หลังจากลังเลอยู่เล็กน้อยก็เลือกจะถอยกรูดไปด้านหลัง

นางเรียกสมบัติป้องกันกายที่เป็นอาวุธหนักชิ้นหนึ่งของสำนักมาปกป้องอยู่รอบกาย

ส่วนฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำที่ถูกโยนทิ้งอย่างไม่ใส่ใจผู้นั้น หลังจากเก็บกระบี่มาแล้ว นางก็คร้านที่จะเหลือบแล

การเข่นฆ่าของผู้ฝึกตน เมื่อเจอกับเส้นแบ่งความเป็นความตาย ใครวอกแวกคนนั้นก็ตายก่อน

แต่จู่ๆ หัวใจของเยี่ยนชิงก็หดรัดตัว นางหันหน้าไปมอง

เงาร่างสีเขียวเส้นหนึ่งปรากฏตัวอยู่ใกล้กับชายคาที่ตวัดงอน ดูเหมือนว่าจะใช้สันมือสับเข้าที่ลำคอของเหอลู่ จนร่างเหอลู่ปลิวกระเด็นออกไป จากนั้นเงาร่างสีเขียวก็เหมือนเงาตามติดที่ยกฝ่ามือกดหน้าเหอลู่ไว้แล้วกดลงเบื้องล่าง ร่างเหอลู่กระแทกทะลุหลังคาเสียงดังโครม ก่อนจะตกลงสู่พื้นอย่างแรง ฟังจากเสียงความเคลื่อนไหวนั้นแล้วร่างน่าจะกระดอนขึ้นจากพื้นหนึ่งทีแล้วถึงได้พังพาบแน่นิ่งไป

ไม่มีทางตาย ต้องไม่มีทางตายแน่นอน

จิตใจของเยี่ยนชิงสับสนวุ่นวาย

ผลกลับกลายเป็นว่าคนผู้นั้นคล้ายจะใช้วิชาย่อพื้นที่จึงมาถึงข้างกายนางได้ในเสี้ยววินาที

เยี่ยนชิงกำลังจะออกกระบี่

กลับถูกคนผู้นั้นดีดนิ้วหนึ่งครั้งโจมตีเข้าที่ตัวกระบี่พอดิบพอดี เยี่ยนชิงหน้าซีดขาวน้อยๆ กำลังจะลงมือทำอะไรบางอย่าง

กลับสังเกตเห็นว่าคนผู้นั้นพุ่งสวนไหล่นางไป เท้าเหยียบอยู่บนหน้าผากของฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำที่เพิ่งฟื้นคืนสติขึ้นมาพอดี แล้วพลันเพิ่มพละกำลังเกิดเป็นพายุลมกรดที่ราวกับหอบเอาเสียงฟ้าร้องมาด้วย

แล้วก็กระทืบซ้ำอีกครั้ง

ทั้งศีรษะและร่างท่อนบนของฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซีล้วนจมลึกลงไปในหลุม

เฉินผิงอันยังคงถือไม้เท้าเดินป่า ยืนอยู่ริมขอบของหลุมใหญ่ พูดกับเยี่ยนชิงว่า “ไม่ไปดูคนรักของเจ้าหน่อยรึ?”

เยี่ยนชิงกำลังจะลุกขึ้นทะยานตัวออกไป แต่พอนางเห็นท่าทางกุมไม้เท้าอย่างคาดหวังของคนผู้นั้นก็พลันหยุดชะงัก ถอยหลังไปหนึ่งก้าว ฉวยโอกาสนี้หลบหนีไปทันที ขอแค่ตนหนีไปถึงทะเลสาบชางอวิ๋น จะต้องร่วมมือกับคนในสำนักมาล้อมปราบ สังหารคนผู้นี้ให้หายแค้นอย่างแน่นอน!

เฉินผิงอันมองไปทางตู้อวี๋ แล้วยิ้มกล่าวว่า “เจ้าตาบอดหรือไง นี่ถือว่าเป็นกุมารทองกุมารีหยก คู่รักเทพเซียนแต่กำเนิดกะผายลมสุนัขอะไรกัน?”

สีหน้าของเยี่ยนชิงเย็นชาดุจน้ำค้างแข็ง ในดวงตาที่งดงามสองข้างนั้นเผยความเคียดแค้นและจิตสังหารที่เข้มข้นเป็นครั้งแรก

เพียงแต่ว่าผู้ฝึกตนอิสระหนุ่มสวมงอบคนนั้นกลับแค่กระทืบเท้าเบาๆ ดีดฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำออกมาจากหลุม หลังจากนั้นก็เตะอีกฝ่ายไปทางประตูใหญ่ มือถือไม้เท้า ก้าวยาวๆ ตามไป หันหลังให้นางกับกระบี่ของนางอย่างใจกว้าง จากนั้นคนชุดเขียวก็ยกมือขึ้นโบก “ไปดูเถอะ”

สุดท้ายคนผู้นั้นก็กระชากตัวฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำออกไปจากจวน น่าจะมุ่งหน้าไปยังทะเลสาบชางอวิ๋น?

ตู้อวี๋ค้อมเอววิ่งตุปัดตุเป๋ตามหลังคนผู้นั้นไป

เยี่ยนชิงยืนอึ้งตะลึงอยู่กับที่

—–

กระบี่จงมา Sword of Coming

กระบี่จงมา Sword of Coming

Status: Ongoing
” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์  ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์  หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า  แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “
เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา
เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม
และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง
ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้
–ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท