กระบี่จงมา Sword of Coming – บทที่ 503.4 กดเส้นเส้นหนึ่งลงไป

บทที่ 503.4 กดเส้นเส้นหนึ่งลงไป

คนทั้งสองออกเดินทางกันต่อ

เมื่อเทียบกับศาลสุ่ยเซียนที่แทบจะเรียกได้ว่ารกร้าง แม้แต่ร่างทองก็ยังไม่อยู่ในศาลแล้ว ศาลของเจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซีนับว่าโอ่อ่ามีหน้ามีตา ควันธูปเข้มข้นมากยิ่งกว่า

แค่มองก็รู้ว่าเป็นเจ้าแม่เทพวารีที่เข้าใจจัดการกับกิจการของตัวเองเป็นอย่างดี

แต่ในเมื่อนางสามารถกดข่มให้เจ้าแห่งคูน้ำอีกคนหนึ่งไม่อาจลืมตาอ้าปากได้ เป็นเหตุให้ศาลถูกทิ้งร้าง แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่ตะเกียงที่ประหยัดน้ำมันอย่างแน่นอน

ตอนที่ลงมาจากภูเขา เฉินผิงอันก็เล่าคดีโศกนาฎกรรมในเมืองสุยเจี้ยให้ตู้อวี๋ฟัง ด้วยต้องการให้ตู้อวี๋ไปถามเรื่องจดหมายลับฉบับนั้น

ตู้อวี๋รู้สึกว่าวันนี้ข้าผู้อาวุโสคือคนที่ถือว่าตายมาสองรอบแล้ว ยังจะต้องกลัวว่าจะล่วงเกินเจ้าแห่งคูน้ำเล็กๆ คนหนึ่งอีกหรือ? ดังนั้นตู้อวี๋จึงไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย อย่าว่าแต่เจ้าแห่งคูน้ำที่เป็นแม่ย่าลำคลองเล็กๆ คนหนึ่งเลย เวลานี้ต่อให้เจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นมายืนอยู่ตรงหน้าตน ทำให้ตนอารมณ์เสีย เขาก็ยังจะชักดาบฟันอีกฝ่ายอยู่ดี หากไม่เป็นเพราะผู้อาวุโสท่านนี้บอกว่าให้พูดคุยกันดีๆ เขาตู้อวี๋ก็คงชักดาบถีบประตู ฟันให้อีกฝ่ายร่อแร่ใกล้ตายเสียก่อนแล้วค่อยให้เจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซีผู้นั้นมาพูดคุยเรื่องเป็นการเป็นงานกับนายท่านตู้อวี๋ หลังจากคุยจบก็ยกดาบปลิดชีพ ถึงจะระบายความเคียดแค้นที่อยู่ในใจได้ มารดามันเถอะ ล้วนเป็นเพราะฮวงจุ้ยของทะเลสาบชางอวิ๋นพวกเจ้าที่เส็งเคร็ง ถึงได้ทำร้ายให้ข้าผู้อาวุโสต้องมาคอยเดินตามก้นคนอื่นต้อยๆ ทำตัวเป็นหมาที่ได้แต่ส่ายหางขอความเมตตาอย่างว่าง่าย ที่น่าแค้นที่สุดก็คือ ส่ายหางขอความสงสารอย่างเดียวก็ช่างเถิด นี่ยังต้องคอยเป็นกังวลว่าหากส่ายหางได้ไม่ดีพอ อยู่ดีไม่ว่าดีอาจจะต้องถูกคนเขาตบให้ตายด้วยฝ่ามือเดียวหรือไม่

คนทั้งสองต่างก็เก็บลมปราณแล้วเดินเท้าลงภูเขา หลีกเลี่ยงไม่ให้เป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น

เฉินผิงอันถามชวนคุย “หากเจ้ารู้คดีโศกนาฎกรรมของเมืองสุยเจี้ยตั้งแต่เนิ่น ๆ เจ้าจะทำอย่างไร? พูดออกมาตามความรู้สึกก็พอ”

ตู้อวี๋ยิ้มกล่าว “แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับตนก็ปล่อยให้มันแขวนลอยเติ่งอยู่อย่างนั้น ท่านเทพอภิบาลเมืองของเมืองแห่งหนึ่งไม่ใช่บรรดาศักดิ์ที่ได้รับจากราชสำนักเหมือนพวกแม่ย่าลำคลองทั่วไป ยังไม่ต้องพูดว่าจะฆ่าเขาได้หรือไม่ ต่อให้ฆ่าได้ ผลกรรมก็หนักหนาเกินไป อีกอย่างบุญคุณความแค้นในยุทธภพ ความถูกความผิดในวงการขุนนางก็ไม่ได้มีอะไรที่น่าสนใจจริงๆ พลิกค้นกลับไปกลับมาก็เป็นแค่เรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้งเท่านั้น แต่จะว่าไปแล้ว บนภูเขาของพวกเราก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไหร่ คนที่ตั้งใจฝึกตนอย่างแท้จริงก็มีอยู่ คนที่ทั้งไม่ทำร้ายคนอื่นและไม่ช่วยเหลือใคร อยู่อย่างสงบของตัวเองก็ไม่ถือว่าน้อย ข้าก็แค่นิสัยใจร้อน อีกทั้งการฝึกตนยังมาเจอกับคอขวด ถึงได้มาท่องยุทธภพเพื่อหาความบันเทิงให้ตัวเอง”

ตู้อวี๋รู้สึกกระวนกระวายใจเล็กน้อย จึงเอ่ยถามไปอีกหนึ่งประโยค “ถ้อยคำที่มาจากใจจริงเหล่านี้ของผู้น้อยคงไม่ทำให้ท่านผู้อาวุโสไม่สบอารมณ์หรอกกระมัง?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่หรอก เห็นมาบ่อยแล้วก็ยากที่จะเกิดริ้วคลื่นอะไรขึ้นมาได้”

ตู้อวี๋เงียบงันไปนาน แล้วจู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นว่า “แต่หากข้าเป็นคนบนยอดเขาอย่างแท้จริงอย่างที่ท่านพ่อท่านแม่ของข้าเล่าให้ฟัง บางทีหากอารมณ์ดีก็อาจจะทำตัวมีคุณธรรมน้ำใจสักครั้ง หรือไม่หากเห็นเทพอภิบาลเมืองผู้นั้นแล้วรู้สึกขวางหูขวางตาก็อาจจะยกดาบฟันให้อีกฝ่ายตายไปอย่างง่ายๆ ส่วนคดีอยุติธรรมของเจ้าเมืองผู้นั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับข้า ข้าก็ไม่ไปยุ่งเกี่ยวด้วย เรื่องประเภทนี้ เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง แถมยังเอากระดูกมาแขวนคอ และเมื่อสังหารเทพอภิบาลเมืองไปแล้ว ข้าก็ไม่หวังชื่อเสียง หวังแต่ผลประโยชน์ ร่างทองของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภูเขาแม่น้ำที่แหลกสลายมีค่านักล่ะ ส่วนตอนนี้ หากไม่มีเรื่องที่สมบัติหนักจะเผยกายบนโลก ข้าเข้ามาในเมืองสุยเจี้ยแล้วก็คงแค่กินดื่มเที่ยวเล่นของตัวเองให้หนำใจ แล้วค่อยปัดก้นเดินจากไปก็เท่านั้น”

เฉินผิงอันกล่าว “รอจนเจ้าได้กลายเป็นคนบนยอดเขาจริงๆ ก็จะค้นพบว่า เทพอภิบาลเมืองของเมืองแห่งหนึ่งไม่อาจทำให้เจ้าเกิดความสนใจที่จะหวังผลประโยชน์จากเขาได้เลย ความคิดมากมายที่เกิดในวันนี้ก็จะกลายเป็นเรื่องตลกในอนาคตเท่านั้น”

ตู้อวี๋ขบคิดอย่างละเอียด จากนั้นก็เอ่ยเย้ยหยันตัวเองว่า “พรสวรรค์ของข้าพอใช้ได้ แต่กลับไม่ได้มีฐานกระดูกในการฝึกตนที่ดีอย่างเจ้านครหวงเยว่และบรรพจารย์ของดินแดนเซียนเป่าต้ง ไม่พูดถึงผู้อาวุโสใหญ่ที่บรรลุมรรคาแล้วสองท่านนี้ ลำพังเพียงแค่เหอลู่และเยี่ยนชิงก็เป็นภูเขาใหญ่ที่ถูกกำหนดมาแล้วว่าชีวิตนี้ข้าจะไม่อาจข้ามผ่านไปได้ บางครั้งเวลาอยู่ในยุทธภพและดื่มเหล้ากับตัวเองก็จะรู้สึกว่า คำพูดที่กล่าวว่าดื่มเหล้าดับทุกข์นั้นไม่ได้หลอกลวงคนจริงๆ”

เฉินผิงอันถาม “เจ้าท่องอยู่ในยุทธภพมานานหลายปี เคยได้เห็นพวก…คนในยุทธภพที่เจ้ารู้สึกว่าโง่มากบ้างหรือไม่?”

ตู้อวี๋ยิ้มกล่าว “แน่นอนว่าต้องมี แต่ส่วนใหญ่ล้วนตายไปหมดแล้ว คนที่ไม่ตาย ก็ยากที่จะเป็นคนดี คนที่ตายไปแล้วก็มีดีอยู่แค่นั้นแหละ”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เวลาที่หัวใจของเจ้าไม่บีบรัดตัวด้วยความตึงเครียด คำพูดคำจาก็ไม่ค่อยน่าฟังเท่าไรจริงๆ”

ตู้อวี๋บื้อใบ้พูดต่อไม่ออก

ฟังแล้วแปลกพิกล แต่ทำไมตนถึงยังรู้สึกว่าตัวเองโชคดีได้นะ?

คนทั้งสองลงจากภูเขาแล้วก็เดินเลียบธารน้ำที่กว้างขวางสายน้ำไหลริกๆ ไปอีกสิบกว่าลี้ ตู้อวี๋เห็นศาลที่แสงไฟสว่างไสว ขนาดของศาลเกินสถานะไปมาก เหมือนจวนของเหล่าอ๋องเหล่ากง เขาก็กดด้ามดาบ พูดเสียงแผ่วต่ำว่า “ผู้อาวุโส ไม่ค่อยปกติดแล้ว คงไม่ใช่ว่าเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นมาเยือนด้วยตัวเอง รอให้พวกเราพาตัวมาติดกับหรอกกระมัง?”

ตลอดทางที่เดินกันมานี้ เฉินผิงอันเห็นว่าตู้อวี๋ไม่มีท่าผิดปกติ ก่อนหน้านี้เขาจึงดูดดึงหยดแก่นน้ำที่น่าจะไม่ผ่านการเล่นตุกติกใดๆ เข้าไป แต่กลับไม่ได้หล่อหลอมมันด้วยตัวเอง ทว่าโยนเข้าไปในจวนน้ำให้พวกเด็กจิ๋วชุดเขียวช่วยกันดูดซับ และเมื่อพาจิตวิญญาณจมจ่อมเข้าไปในฟ้าดินขนาดเล็ก ใช้วิธีการมองภายในมองไป จิตหยินกระชับตัวหดเล็กจนเหมือนเมล็ดงาที่ไปเยือนจวนน้ำด้วยตัวเอง อยู่ในฟ้าดินขนาดใหญ่นอกเรือนกาย หยดน้ำหยดนั้นมีขนาดเล็ก แต่เมื่ออยู่ในฟ้าดินขนาดเล็กอย่างร่างกายตนเอง จิตหยินของเฉินผิงกลับเหมือนใช้สองมือแบกวัตถุขนาดใหญ่ยักษ์ พอพวกเด็กๆ ชุดเขียวได้ไข่มุกแก่นชะตาน้ำไปแล้ว เฉินผิงอันก็ไม่รู้ว่าพวกเขาตรวจสอบกันอย่างไร แต่ละคนถึงได้ลิงโลดร่าเริง เป็นครั้งแรกที่เผยสีหน้าชื่นชมปลาบปลื้มให้เฉินผิงอันได้เห็น

เฉินผิงอันจึงเข้าใจทันทีว่า ของสิ่งนี้มีประโยชน์มหาศาล

ดังนั้นจึงต้องมาเยือนศาลเจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซีเองสักครั้ง

หากไม่เป็นเพราะไม่ค่อยกล้าบุกเข้าไปในวังมังกรทะเลสาบชางอวิ๋นโดยพลการ เฉินผิงอันก็อยากจะทำ ‘การค้า’ กับเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นผู้นั้นอยู่เหมือนกัน

เป็นการทำการค้าเหมือนกัน แต่กลับใช้วิธีการต่างกัน

คัมภีร์การทำการค้าที่ใช้กับพวกตู้อวี๋ เจ้าแห่งคูน้ำทะเลสาบชางอวิ๋น แน่นอนว่าย่อมต่างไปจากการค้าที่เฉินผิงอันทำร่วมกับผู้ฝึกตนสำนักพีหมา

หนึ่งคือตระหนี่ถี่เหนียว ให้เงินเหรียญทองแดงข้าน้อยไปหนึ่งเหรียญก็ยังต้องพิจารณาว่าควรจะฆ่าเจ้าให้ตายดีหรือไม่

หนึ่งคือยินดีที่จะได้กำไรน้อย ถึงขั้นที่ว่าต่อให้เสียเปรียบก็ยังไม่เป็นไร

ได้ยินคำเตือนของตู้อวี๋ เฉินผิงอันก็เอ่ยสัพยอกว่า “ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในศาลสุ่ยเซียน เจ้าไม่ได้โหวกเหวกว่าขอแค่เจ้าแห่งทะเลสาบขึ้นมาบนฝั่ง ก็จะประลองฝีมือกับเขาหรอกหรือ?”

ตู้อวี๋ยิ้มกล่าว “ได้ผู้อาวุโสสั่งสอนว่าควรวางตัวเป็นคนอย่างไร เวลานี้แค่ข้าได้ยินเสียงนกร้องก็หวาดผวา ต้นไม้ใบหญ้าส่ายไหวไปตามสายลมก็หวั่นกลัวไปหมด ทำให้ผู้อาวุโสได้เห็นเรื่องตลกแล้ว”

เฉินผิงอันตบไหล่ของเขา “หากยังมีการเข่นฆ่ากันเกิดขึ้น คราวนี้อย่าพูดว่าจะยอมให้ก่อนหนึ่งกระบวนท่าอะไรอีกล่ะ”

ตู้อวี๋แอบขุ่นเคืองในใจ

คิดว่าหากมีโอกาสควรจะสังหารคนหนุ่มชาวบ้านพวกนั้นดีไหม? ไม่อย่างนั้นหากข่าวนี้แพร่ออกไปจะไม่กลายเป็นเรื่องตลกที่ใหญ่เทียมฟ้าหรอกหรือ?

ทว่าเจ้าคนผู้นั้นกลับยิ้มเอ่ยขึ้นว่า “คนที่แม้แต่ข้าก็ยังไม่สังหาร หากเจ้ากลับไปฆ่า ก็คือการมอบผลหลีตอบแทนผลท้อ สอนให้ข้ารู้ว่าควรเป็นคนอย่างไรงั้นหรือ? หรือจะบอกว่า รู้สึกว่าตัวเองโชคดี ชีวิตนี้จะไม่ต้องมาเจอกับคนอย่างข้าอีกแล้ว?”

ตู้อวี๋ขนลุกขนพองอยู่ในใจ พูดอย่างหนักแน่นว่า “คำสั่งสอนอันมีค่าของผู้อาวุโส ผู้น้อยจะต้องจดจำไว้ให้ขึ้นใจแน่นอน!”

เฉินผิงอันเดินไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า ยิ้มเอ่ยว่า “การจะทำดีกับคนอื่นนั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก แต่แค่ไม่ย่ำยีคนธรรมดา ไม่กระทำเรื่องชั่วร้าย มันจะยากขนาดนั้นเลยหรือ? แต่ก็ถูกนะ ทำทุกอย่างตามใจปรารถนา ไร้พันธนาการ ใครบ้างจะไม่วาดหวังให้เป็นเช่นนี้ เล่าเรียนวิชาตระกูลเซียนสำเร็จก็ไม่ใช่คนในโลกมนุษย์อีกแล้ว ยังคิดจะอยากมีจิตใจแห่งความเมตตาสงสารที่เป็นดั่งภาระกดทับอยู่บนกายไปไย นั่นช่างเป็นสิ่งที่เกินความจำเป็น ก็เหมือนชาวบ้านกินเนื้อหมูเนื้อไก่ อยู่ดีๆ จะให้หันไปกินเจ ก็เป็นการสร้างความลำบากใจให้ผู้อื่นมากเกินไปจริงๆ”

ตู้อวี๋ไม่กล้าแน่ใจเลยว่าคำพูดประโยคนี้ของอีกฝ่ายเป็นคำที่ออกมาจากใจจริงหรือไม่ ดังนั้นให้ตายเขาก็จะไม่ยอมเปิดปากพูดให้เปลืองน้ำลายแม้แต่คำเดียว

เฉินผิงอันถอนหายใจเบาๆ หนึ่งครั้ง

ต่อให้กดเส้นหนึ่งในนั้นลงไปแล้วกดทับซ้ำเอาไว้อีก

แต่มันจะได้ผลจริงๆ หรือ?

เขาจับประคองงอบ เดินหน้าต่อไป

ไปถึงด้านนอกของศาล

เฉินผิงอันก็หยุดฝีเท้า “ไปเถอะ ไปสืบหาความจริงมา หากตาย ข้าจะต้องช่วยเก็บศพให้เจ้าแน่นอน ไม่แน่ว่าจะยังช่วยแก้แค้นแทนเจ้าด้วย”

ตู้อวี๋อดทนข่มกลั้นอยู่นาน สุดท้ายก็เอ่ยอย่างจนใจว่า “ท่านผู้อาวุโสช่าง…ทำตัวสนิทสนมกับผู้น้อยยิ่งนัก”

ตู้อวี๋กำเม็ดเสื้อเกราะของสำนักการทหารไว้แน่น ทันใดนั้นก็เหมือนมีปรอทสีเงินไหลวนไปทั่วร่างของเขา แล้วบนร่างก็กลายเป็นว่าสวมห่มเสื้อเกราะเทพรับน้ำค้างซึ่งเป็นสมบัติหนักชิ้นหนึ่งของสำนัก

ตู้อวี๋ก้าวยาวๆ เข้าไปในศาลที่ประตูใหญ่เปิดอ้า

ไม่ถึงครึ่งก้านธูป ตู้อวี๋ที่มีสีหน้าเหมือนคนกินอาจมก็เดินกลับมาที่ประตูใหญ่ มาหยุดอยู่ข้างกายเฉินผิงอันแล้วพูดเบาๆ ว่า “เยี่ยนชิงผู้นั้นดันมาเป็นแขกอยู่ที่นี่พอดี ข้ากลัวว่าจะเกิดปัญหาแทรกซ้อนก็เลยไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องธุระที่ท่านมอบหมายให้”

เฉินผิงอันไม่ถือสา เพียงกล่าวอย่างสงสัยว่า “เทพธิดาของดินแดนเซียนเป่าต้งคนนั้นน่ะหรือ?”

ตู้อวี๋พยักหน้ารับหนักๆ “ผู้ฝึกตนของดินแดนเซียนเป่าต้งเพิ่งจะมาถึงทะเลสาบชางอวิ๋นแห่งนี้พอดี เยี่ยนชิงมีนิสัยเย็นชา ไม่ชอบความคึกคักของที่วังมังกรนั่น ก็เลยมาหาความเงียบสงบจากที่นี่”

เฉินผิงอันถาม “เหอลู่ผู้นั้นไม่อยู่หรือ?”

ตู้อวี๋อึ้งตะลึง จากนั้นก็ส่ายหน้า “ผู้อาวุโส พวกเขาสองคนคงไม่ได้ใจกล้าขนาดนั้นกระมัง? อีกไม่นานสองสำนักก็ต้องต่อสู้เอาเป็นเอาตายกันที่เมืองสุยเจี้ยแล้ว พวกเขาจะกล้านัดหมายเวลาและสถานที่แอบมาลอบพบกันที่นี่ภายใต้เปลือกตาของผู้อาวุโสในสำนักตัวเองเลยหรือ? เจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซีผู้นั้นอาจจะปิดปากสนิท ช่วยปิดบังเรื่องนี้ให้ก็จริง แต่ทั้งสองคนก็ไม่น่าจะใจร้อนขนาดนี้ถึงจะถูก คนหนึ่งนิสัยเย็นชา ส่วนเหอลู่ก็ถือว่าจิตใจมุ่งมั่นอยู่กับมรรคา”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ดินแดนเซียนเป่าต้งมาเยือนวังมังกรใต้ทะเลสาบอย่างเปิดเผย เยี่ยนชิงนิสัยเป็นอย่างไร เจ้าเองยังรู้ดี แล้วเหอลู่จะไม่รู้ได้หรือ? เยี่ยนชิงจะไม่รู้หรือว่าเหอลู่จะเข้าใจความต้องการของนางหรือไม่? เรื่องแบบนี้จำเป็นต้องให้คนทั้งสองนัดหมายกันมาก่อนหรือ? ศึกใหญ่กำลังจะเกิดขึ้น หากทั้งสองฝ่ายต้องทำเพื่อส่วนรวม ลงสนามรบเปิดฉากสังหารกันจริงๆ การพบกันในคืนนี้จะไม่ใช่โอกาสสุดท้ายแล้วหรอกหรือ? แต่พวกเราสร้างความครึกโครมขึ้นที่ศาลสุ่ยเซียน เจ้าแห่งคูน้ำรีบไปแจ้งข่าวที่วังมังกร นี่ก็น่าจะเป็นการทำให้จิตที่สื่อถึงกันของทั้งสองวุ่นวายตามไปด้วย ไม่แน่ว่าเวลานี้เหอลู่อาจจะซ่อนตัวอยู่ที่ใดที่หนึ่ง และกำลังกล่าวโทษที่เจ้าทำลายเรื่องดีๆ ของเขา ตอนอยู่ในศาล เยี่ยนชิงผู้นั้นเห็นเจ้าแล้วรู้สึกขวางหูขวางตาใช่ไหม? สายตาและถ้อยคำที่เจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซีใช้ล่ะเป็นอย่างไร? สามารถนำมาพิสูจน์การคาดเดาของข้าได้หรือไม่?”

ตู้อวี๋รู้สึกอับอายนิดๆ “ก่อนหน้านี้มัวแต่คิดว่าจะบุกจวนยกดาบขึ้นฟันคน จะได้สร้างความชอบเล็กๆ น้อยๆ ให้กับท่านผู้อาวุโส ผู้น้อยจึงไม่ได้คิดเรื่องพวกนี้เลยจริงๆ”

เฉินผิงอันไม่รีบร้อนเข้าไปในศาล เขาชำเลืองตามองตู้อวี๋ที่กระวนกระวายใจ จากนั้นก็กวาดตามองไปรอบด้าน ถามชวนคุยว่า “เจ้าท่องอยู่ในยุทธภพอย่างไร? มีชีวิตอยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้ได้อย่างไร? หรือจะบอกว่าประเพณีพื้นบ้านของแต่ละถิ่นในหลายสิบแคว้นซึ่งรวมถึงแคว้นอิ๋นผิงเป็นหนึ่งในนั้นล้วนบริสุทธิ์เรียบง่าย? แต่ตอนอยู่ศาลสุ่ยเซียนแห่งนั้น ข้าว่าผู้ฝึกตนอย่างพวกเจ้า องค์เทพและชาวบ้านธรรมดา ทั้งสามฝ่ายนี้ ดูเหมือนว่าจะไม่ได้บริสุทธิ์เรียบง่ายกันสักเท่าไรเลยนะ”

ตู้อวี๋ได้แต่กล่าวว่า “เมื่อเทียบกับผู้อาวุโสที่คิดคำนวณทั้งด้านคน เรื่องราวและจิตใจได้อย่างรอบคอบรัดกุมแล้ว ผู้น้อยย่อมมีแต่จะกลายเป็นตัวตลก”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “คิดคำนวณทั้งด้านคน เรื่องราวและจิตใจได้อย่างรอบคอบรัดกุม อืม ประโยคนี้ไม่เลวเลย ข้าจำเอาไว้แล้ว”

ตู้อวี๋อัดอั้นอยู่ในใจ เจ้าจะจดจำประโยคนี้ไปทำไม?

เฉินผิงอันเริ่มขยับเท้าเดินข้ามธรณีประตูใหญ่ของศาลนำไปก่อน

จวนโอ่อ่ามลังเมลืองไม่เหมือนศาลเลยแม้แต่น้อย

มาถึงหน้าประตูของเรือนในแห่งหนึ่งที่แขวนกรอบป้ายลงรักสีทองคำว่า ‘น้ำเขียวไหลยาว’ เอาไว้

สตรีโตเต็มวัยสวมชุดชาววังห่มผ้าคลุมไหล่สวมมงกุฎหงส์ บุคลิกท่าทางสง่างามเรียบร้อย ดวงตาดอกท้อที่ค่อนข้างเรียวยาวคู่นั้นมีรอยยิ้มอยู่จางๆ

หญิงสาวคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างกายนางสวมชุดสีขาว บนศีรษะสวมมงกฎปีกหงส์สีทองที่ทำขึ้นอย่างประณีตดุจสวรรค์รังสรรค์ ยามที่ลมพัดโชยผ่านเบาๆ หางหงส์สีทองก็จะส่ายไหวตามไปด้วย และคล้ายจะมีเสียงลูกหงส์ร้องยาวดังมาให้ได้ยินแว่วๆ

เฉินผิงอันกวาดตามองสตรีทั้งสองแค่ปราดเดียว แต่จับจ้องไปที่มงกุฎสีทองอยู่หลายที

น่าจะเป็นสมบัติอาคมที่ระดับขั้นไม่เลว

ตู้อวี๋ยืนเคียงไหล่กับเฉินผิงอันตามที่เขากำชับมาไว้ก่อนหน้านี้ คนทั้งสองคือสหายที่รู้จักกันในยุทธภพมานานหลายปี ผู้อาวุโสมีนามว่า ‘เฉินฮ่าวเหริน’ (เฉินคนดี) คือผู้ฝึกตนอิสระคนหนึ่งที่ออกเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วสารทิศ

ก่อนจะเข้ามาในศาล เฉินผิงอันถามเขาว่าสองคนที่อยู่ด้านหน้าเป็นวิชามองภูเขาแม่น้ำผ่านฝ่ามือหรือไม่

ตู้อวี๋เกือบจะกระอักเลือดเก่าที่คั่งค้างออกมา แม้แต่บรรพจารย์ตำหนักขวานผีของเขายังต้องใช้อาวุธหนักของสำนักถึงจะโคจรวิชาอภินิหารประเภทนี้ได้

นอกจากสิ่งมีชีวิตจำนวนน้อยนิดอย่างเจ้านครหวงเยว่ อาจารย์ผู้มีพระคุณของเยี่ยนชิงท่านนั้น เจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋น หรือไม่ก็สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งห้าขุนเขาซึ่งอยู่บนภูเขาที่เป็นบ้านของตัวเองแล้ว จะมีใครที่กล้าพูดว่าตัวเองสามารถมองภูเขาแม่น้ำผ่านฝ่ามือได้?

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ข้ากับพี่น้องตู้อวี๋บุ่มบ่ามมาเยี่ยมเยือนในครั้งนี้ เพราะอยากจะถามเรื่องเล็กๆ เรื่องหนึ่งจากฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำ”

ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำผู้นั้นยิ้มบางๆ ตอบรับ “ในเมื่อตัวเจ้าเองยังบอกว่าเป็นเรื่องเล็ก ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องรีบร้อน คืนนี้การดื่มชาระหว่างข้ากับเทพธิดาเยี่ยนเป็นเรื่องใหญ่ ไม่สู้เจ้ากับตู้เซียนซือค่อยมาใหม่วันพรุ่งนี้ ดีไหม?”

—–

กระบี่จงมา Sword of Coming

กระบี่จงมา Sword of Coming

Status: Ongoing
” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์  ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์  หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า  แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “
เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา
เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม
และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง
ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้
–ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท