ผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วยาม ตู้อวี๋เพิ่มกิ่งไม้แห้งใส่ในกองไฟอยู่หลายครั้ง
จากนั้นตู้อวี๋ก็สังเกตเห็นว่าหลังจากที่ผู้อาวุโสลืมตาขึ้นแล้ว ดูเหมือนจะอารมณ์ไม่เลว บนใบหน้าจึงมีรอยยิ้มน้อยๆ
เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้นมอง
ทะเลเมฆหนาหนักที่แทบจะแผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งอาณาบริเวณของทะเลสาบชางอวิ๋นได้สลายหายไปหมดแล้ว
ดวงจันทร์กลมโตลอยกลางนภา
เฉินผิงอันถามตู้อวี๋ ตู้อวี๋ เจ้าว่าขนบธรรมเนียมที่สะสมมานานเป็นพันปีของทะเลสาบชางอวิ๋นแห่งนี้ ไม่ว่าใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ใช่หรือไม่?
ตู้อวี๋ตอบอย่างตรงไปตรงมา เว้นเสียแต่ว่าจะเปลี่ยนใหม่หมดตั้งแต่บนจรดล่าง เปลี่ยนตั้งแต่เจ้าแห่งทะเลสาบ มาจนถึงเทพวารีสามลำคลองสองคูน้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นที่เป็นคนแรกซึ่งต้องเปลี่ยนใหม่ นั่นต่างหากถึงจะมีโอกาส เพียงแต่ว่าหากคิดจะสร้างวีรกรรมที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ก็คงต้องให้ผู้ฝึกตนบนยอดเขาอย่างผู้อาวุโสออกหน้าลงมือเองเท่านั้น แล้วก็ยังต้องเสียเวลาคอยจับตามองการเปลี่ยนแปลงอยู่ที่นี่อย่างน้อยก็หลายสิบปี ไม่อย่างนั้นหากจะให้ข้าบอก เปลี่ยนคนใหม่ก็ไม่สู้ไม่เปลี่ยนจะดีกว่า เพราะอันที่จริงอินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นยังพอจะถือว่าเป็นผู้ปกครองที่ไม่ค่อยสูบน้ำแห้งเพื่อจับปลา (เปรียบเปรยถึงคนที่เห็นแต่ผลประโยชน์ตรงหน้า ไม่มองการณ์ไกล) เท่าใดนัก อุทกภัยและภัยแล้งที่เขาจงใจสร้างขึ้นก็แค่เพื่อเพิ่มสาวใช้หน้าตางดงามพรสวรรค์ดีเยี่ยมให้กับวังมังกรเท่านั้น ทุกครั้งชาวบ้านตายกันไปหลายร้อยคน แต่หากไปเจอเข้ากับเทพภูเขาเทพวารีที่สมองไม่เฉียบไว แม้แต่วิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตก็ยังปล่อยและเก็บไม่ได้ดังใจปรารถนา ปล่อยคาถาออกมาทีเดียวคนก็ตายกันไปหลายพัน หรือหากไปเจอกับพวกที่นิสัยเกรี้ยวกราดเจ้าอารมณ์สักหน่อย ถึงขั้นเอาภูเขาสายน้ำมาต่อสู้กัน หรือไม่ก็ผูกปมแค้นกับเพื่อนร่วมงาน นั่นแหละที่จะทำให้ชาวบ้านในอาณาเขตอยู่ไม่สุข คนอดอยากหิวโหยเดินขบวนพันลี้อย่างแท้จริง ข้าท่องอยู่ในยุทธภพมานานหลายปีขนาดนี้ เคยเห็นเทพภูเขาสายน้ำ เทพอภิบาลเมืองของแต่ละสถานที่ และเทพแห่งผืนดินมากมายที่สนใจแต่เรื่องใหญ่ปล่อยปละเรื่องเล็ก พวกเขาไม่สนพวกชาวบ้านทั้งหลายหรอก เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลบนภูเขา ปรมาจารย์วิถีวรยุทธที่ก่อสำนักตั้งพรรค ขุนนางที่อยู่ในเมืองหลวง เมล็ดพันธ์บัณฑิตที่พอจะมีความหวัง คนพวกนี้ต่างหากถึงจะเป็นเป้าหมายที่พวกเขาอยากจะซื้อใจอย่างแท้จริง
เฉินผิงอันชำเลืองตามองตู้อวี๋
ตู้อวี๋พูดด้วยสีหน้าไร้เดียงสา ผู้อาวุโส ข้าพูดไปตามความจริง ไม่ใช่ข้าที่ทำเรื่องเลวร้ายพวกนั้นสักหน่อย พูดประโยคที่ไม่น่าฟังสักคำ เรื่องสกปรกเล็กๆ น้อยๆ ที่ข้าตู้อวี๋ทำไว้ในยุทธภพล้วนเทียบกับความคิดชั่วร้ายที่เค้นออกมาจากซอกเล็บของพวกเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋น เจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซีนี่ไม่ได้เลย ข้ารู้ว่าผู้อาวุโสไม่ชอบนิสัยอำมหิตไร้ปราณีของคนตระกูลเซียนอย่างพวกเรา แต่ข้าตู้อวี๋ที่อยู่ต่อหน้าผู้อาวุโสก็ได้แค่เอาความจริงในใจออกมาพูด ไม่กล้าปิดบังแม้แต่ครึ่งคำ
เฉินผิงอันหัวเราะ
ตู้อวี๋ไม่คิดได้คืบแล้วจะเอาศอก เขาไม่คิดว่าตัวเองจะเข้าตาของเทพเซียนผู้เฒ่าบนยอดเขาท่านนี้จริงๆ แล้วจากนั้นก็จะได้เป็นจิ้งจอกห่มหนังพยัคฆ์ที่แอบอ้างบารมีของอีกฝ่ายได้
อย่างมากอีกฝ่ายก็แค่ไม่สะบัดชายแขนเสื้อฆ่าตนให้ตายเท่านั้น
สายตาน้อยนิดแค่นี้ ตู้อวี๋ยังพอจะมีอยู่บ้าง
นี่กระมังถึงจะเป็นคนบนยอดเขาที่แท้จริง คือความไร้น้ำใจบนมหามรรคาอย่างแท้จริง
อันที่จริงก่อนหน้านี้ตอนที่ตู้อวี๋แหงนหน้ามองดวงจันทร์ เขารู้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเหตุใด ท่องเที่ยวอยู่ในหลายภพมาตั้งหลายครั้งและหลายปีขนาดนี้ แต่นี่กลับเป็นครั้งแรกในชีวิตที่รู้สึกคิดถึงพ่อแม่
แต่ตอนนี้พอผู้อาวุโสลืมตาขึ้น เขาก็ต้องทำตัวให้กระปรี้กระเปร่าอีกครั้ง รับมือกับคำถามที่มองดูเหมือนง่ายๆ ของผู้อาวุโสอย่างระมัดระวัง
ถือเสียว่าเป็นการขัดเกลาสภาพจิตใจอย่างหนึ่งแล้วกัน ในอดีตท่านพ่อท่านแม่มักจะชอบพูดว่าการฝึกฝนจิตใจของผู้ฝึกตนไม่ได้สำคัญขนาดนั้น คำสั่งสอนจากสำนักก็ดี คำบ่นที่ผู้ถ่ายทอดมรรคามีต่อลูกศิษย์ก็ช่าง ล้วนเป็นเพียงแค่คำพูดสวยหรูเท่านั้น เงินเทพเซียน สมบัติติดกาย และวิชาตระกูลเซียนที่เป็นรากฐานของมหามรรคา สามอย่างนี้ต่างหากถึงจะสำคัญที่สุด เพียงแต่ว่าเรื่องของการฝึกฝนจิตใจนั้นก็ยังต้องทำอยู่บ้าง
ตู้อวี๋ปลุกความกล้าเอ่ยถาม ผู้อาวุโส ผลศึกบนทะเลสาบชางอวิ๋นเป็นอย่างไรบ้าง?
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว เหมือนอย่างที่เจ้าบอก แค่ทำให้พวกเขาถอยร่นไปเท่านั้น ก็เป็นการหาเงินอย่างปรองดองนี่นะ
ตู้อวี๋รู้สึกว่าไม่น่าจะเป็นอย่างที่อีกฝ่ายพูด
แต่ตนก็ไม่เหลือความกล้าให้ซักไซ้เอาความอีกแล้ว
ความกล้าหาญที่เหลือในอีกครึ่งชีวิตของข้าผู้อาวุโสใกล้จะถูกนำมาใช้จนหมดสิ้นในคืนนี้แล้ว
แล้วยังต้องให้ข้าตู้อวี๋ทำตัวกล้าหาญขนาดไหนอีกถึงจะเรียกได้ว่าเป็นวีรบุรุษชายชาตรี?
จากนั้นเฉินผิงอันก็เริ่มมีสมาธิอยู่กับการฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลู
ส่วนตู้อวี๋ก็เริ่มใช้คาถาลับเฉพาะของตำหนักขวานผีมาเข้าฌานทำสมาธิอย่างช้าๆ
ยามฟ้าสาง
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน เริ่มฝึกท่าเดินนิ่งหกก้าวพลางพูดกับตู้อวี๋ที่รีบลุกขึ้นยืนตามว่า เจ้าลองไปหาดูว่าในศาลของเทพวารีเจ้าคูน้ำแห่งนี้มีวัตถุที่มีค่าอะไรหรือไม่
ตู้อวี๋พยักหน้ารับ แล้วก็เตรียมจะไปหาวัตถุอาคมหรือไม่ก็เงินร้อนน้อยมาให้ผู้อาวุโส
แต่ผู้อาวุโสกลับพูดขึ้นกะทันหันว่า คำว่ามีค่าของข้า ก็คือหนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะ
ตู้อวี๋อึ้งตะลึง คิดว่าตัวเองฟังผิดไปจึงถามอย่างระมัดระวัง ผู้อาวุโสจะพูดว่าหนึ่งเหรียญเงินร้อนน้อยกระมัง?
เฉินผิงอันกล่าวอย่างระอาใจ ด้วยความสามารถในการได้ยินเช่นนี้ของเจ้า สามารถท่องอยู่ในยุทธภพมาได้จนถึงทุกวันนี้ก็ลำบากเจ้าแล้วจริงๆ
ตู้อวี๋พลันกระจ่างแจ้ง แล้วจึงเริ่มทำการกวาดค้น มีผู้อาวุโสอยู่ข้างกายตน อย่าว่าแต่ศาลแม่ย่าลำคลองที่ไร้เจ้าของเลย ต่อให้เป็นวังมังกรใต้ทะเลสาบแห่งนั้น เขาก็สามารถขุดดินลงไปค้นสามฉื่อได้
เฉินผิงอันหลับตาเดินนิ่งต่อไป
จนกระทั่งถึงช่วงเที่ยงวัน ตู้อวี๋ถึงได้แบกห่อผ้าสองใบใหญ่กลับมาพร้อมผลเก็บเกี่ยวเต็มไม้เต็มมือ
เฉินผิงอันเอ่ย ถุงที่มีค่าเป็นของข้า อีกใบหนึ่งเป็นของเจ้า
ตู้อวี๋หน้าม่อย ผู้อาวุโส ข้าทำอะไรไม่ถูกหรือ?
เฉินผิงอันยังคงเดินนิ่งไม่หยุด พลางเอ่ยเนิบช้าว่า การฝึกตนก็มีกฎของการฝึกตน ท่องอยู่ในยุทธภพก็มีกฎของการท่องยุทธภพ ทำการค้าก็มีกฎของการทำการค้า เข้าใจหรือไม่?
อันที่จริงตู้อวี๋ไม่เข้าใจ แต่ก็แสร้งทำเป็นว่าเข้าใจ ไม่ว่าจะอย่างไร รับเอาถุงอีกใบหนึ่งไปอย่างอกสั่นขวัญผวาก็แล้วกัน
แต่ตู้อวี๋คิดดูแล้วก็เปิดถุงสองใบออก นำของมีค่าสองสามชิ้นที่อยู่ในถุงของตนใส่เข้าไปในถุงของผู้อาวุโส
เฉินผิงอันเองก็ไม่ได้ขัดขวาง
เฉินผิงอันหยุดท่าหมัด ทะยานตัวขึ้นไปบนหลังคาของสิ่งปลูกสร้างหลังหนึ่งที่สูงที่สุด ทอดสายตามองไปทางเมืองสุยเจี้ย
จากนั้นเฉินผิงอันก็ฝึกท่าเดินนิ่งไปบนหลังคาเรือนแต่ละหลัง
ตู้อวี๋ให้รู้สึกอัดอั้นนัก เหตุใดไม่ว่ามองอย่างไรนั่นก็เหมือนท่าหมัดของคนในยุทธภพ ไม่คล้ายวิชาคาถาของตระกูลเซียนอะไรเลยเล่า?
แต่จากนั้นตู้อวี๋ก็พลันรู้สึกเลื่อมใส
การกระทำของผู้อาวุโสตรงหน้าคนนี้ไม่เหมือนกับคนอื่นจริงๆ ย้อนกลับคืนสู่ธรรมชาติความเป็นจริงแล้ว
ท่ามกลางแสงสนธยาของวันนี้ ตู้อวี๋ก็ก่อกองไฟขึ้นมาอีกครั้ง เฉินผิงอันเอ่ยว่า เอาล่ะ ไปท่องยุทธภพของเจ้าต่อเถอะ อยู่ในศาลมาหนึ่งวันหนึ่งคืน ทุกคนที่จับตามองอยู่ก็พอจะมั่นใจได้แล้ว
ตู้อวี๋รู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย
อุบายเล็กๆ น้อยๆ นี้ของตนมิอาจรอดพ้นสายตาอันเฉียบแหลมของผู้อาวุโสไปได้จริงๆ ด้วย
หากทั้งสองฝ่ายแยกย้ายกันทันทีตั้งแต่ที่ท่าเรือ ตู้อวี๋ก็กลัวว่าตนจะไม่อาจมีชีวิตรอดเดินออกไปจากเมืองสุยเจี้ยได้
ตู้อวี๋ใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก็คิดว่าควรจะหยุดเมื่อพอสมควร จึงแบกถุงผ้าป่านใบนั้นเตรียมเดินมุ่งหน้าไปทางเมืองสุยเจี้ย
เฉินผิงอันพลันเอ่ยว่า เจ้าอยู่ต่ออีกเดี๋ยว
ตู้อวี๋ทำตามคำสั่ง วางถุงผ้าป่านลงแล้วนั่งขัดสมาธิบนพื้น ถามเสียงเบา ผู้อาวุโส อันที่จริงข้ายังมียันต์ลับที่สืบทอดมาจากศาลบรรพจารย์ของสำนักอีกวิชาหนึ่ง ไม่เป็นรองยันต์รอยหิมะกับยันต์แบกศิลาสักเท่าไร
เฉินผิงอันยิ้มพลางโบกมือ ก่อนหน้านี้ต้องเผชิญกับเส้นแบ่งระหว่างความเป็นความตาย เจ้าทำเรื่องที่ขาดคุณธรรมเช่นนั้นก็ยังพอเข้าใจได้ แต่ตอนนี้ในเมื่อไม่มีอันตรายถึงชีวิต จะเอากฎของสำนักมาทำเหมือนการปักบุปผาลงบนผ้าแพรให้กับตัวเอง คงไม่ค่อยดีเท่าไร บนเส้นทางการฝึกตน ก่อนจะเป็นเซียนต้องรู้จักเป็นคนให้ได้เสียก่อน
ตู้อวี๋อึ้งตะลึงอยู่กับที่
แล้วถึงได้ชำเลืองตามองถุงผ้าป่านที่วางอยู่บนพื้น
ราวกับว่าจนกระทั่งบัดนี้เขาถึงเพิ่งจะพอจับเบาะแสบางอย่างได้เล็กน้อย
มือทั้งสองข้างของตู้อวี๋กำเป็นหมัด เงียบงันไม่เอ่ยคำใด
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ตู้อวี๋จะลุกยืนตามจิตใต้สำนึก แต่เฉินผิงอันกลับยื่นมือมากดลงบนความว่างเปล่าเสียก่อน
ตู้อวี๋หันหน้าไปมอง ครู่หนึ่งต่อมาเงาร่างที่คุ้นเคยก็โผล่เข้ามาในการมองเห็น
ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ช่างงดงามนัก
ไม่เสียทีที่เป็นเทพธิดาเยี่ยนชิง
แต่เฉินผิงอันกลับขมวดคิ้ว
ตู้อวี๋รู้สึกอกสั่นขวัญผวาเล็กน้อย ผู้อาวุโส ขอร้องท่านอย่าบดขยี้บุปผาอย่างอำมหิตอีกเลย เทพธิดาที่โฉมสะคราญเช่นนี้หากตายไป ผู้อาวุโสท่านไม่อาลัยอาวรณ์ แต่ผู้น้อยอย่างข้ากลับกลุ้มใจนัก
เยี่ยนชิงถาม ในเมื่อฆ่าเทพลำคลองสามท่านและเทพคูน้ำหนึ่งท่านไปพร้อมกันรวดเดียวแล้ว เหตุใดถึงยังจงใจปล่อยให้อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบหนีไปได้เล่า?
ตู้อวี๋ได้ยินคำถามก็รู้สึกนั่งได้ไม่มั่นคง รีบยื่นมือไปประคองพื้นทันที
เฉินผิงอันถาม ใครมอบความกล้าให้เจ้ามาพบข้าอีกครั้ง?
เยี่ยนชิงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า เซียนกระบี่คนหนึ่งที่กังวลว่าทะเลเมฆจะลดระดับลงมาสร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้าน จะเป็นคนที่ชอบฆ่าคนบริสุทธิ์พร่ำเพื่อจริงๆ หรือ? ข้าเยี่ยนชิงคนแรกล่ะที่ไม่เชื่อ
เฉินผิงอันเอ่ย เจ้าเชื่อหรือไม่ เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย? ข้าจะเตือนเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย ความอดทนของข้ามีขีดจำกัด
เยี่ยนชิงกลับเดินตรงมาที่กองไฟ
ตู้อวี๋ขยับก้นหลบย้ายมุมตั้งนานแล้ว แบบนี้ก็จะได้มองประเมินการเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าของผู้อาวุโส แล้วก็ได้ชื่นชมรูปโฉมสาวงามใต้แสงจันทร์ได้พอดี
จากนั้นตู้อวี๋ก็ต้องอ้าปากค้างน้อยๆ
ควันสีเขียวกลุ่มหนึ่งพุ่งมายังเทพธิดาชุดขาวที่ส่องแสงประชันกับดวงจันทร์ จากนั้นเยี่ยนชิงก็เหมือนลูกเจี๊ยบที่ถูกคนหิ้วลอยไปกลางอากาศ พุ่งไปยังหลังคาเรือนหลังหนึ่งพร้อมกับควันเขียว
ชุดเขียวที่อยู่บนหลังคานั้นหมุนตัวเป็นวงหนึ่งรอบ สาวงามชุดขาวก็หมุนตามไปด้วยแต่เป็นรอบวงที่ใหญ่ยิ่งกว่า
เสียงสวบดังหนึ่งครั้ง
เทพธิดาเยี่ยนชิงก็หายวับไป
เฉินผิงอันกระโดดลงจากหลังคากลับมานั่งที่ขั้นบันได
ตู้อวี๋เช็ดปาก กลืนน้ำลาย
เฉินผิงอันโบกมือ เจ้าไปได้แล้ว
ตู้อวี๋กำลังจะบอกลาอย่างเคารพนอบน้อม
เห็นเพียงว่าจู่ๆ ผู้อาวุโสก็เผยสีหน้าหงุดหงิด ทะยานร่างขึ้นสูง แล้วตลอดทั้งศาลก็สะเทือนโยกคลอนเหมือนความเคลื่อนไหวที่เคยเกิดขึ้นตอนอยู่ท่าเรือ
ตู้อวี๋รู้สึกลำบากใจเล็กน้อย สรุปว่าตนควรจะไปหรือไม่ไปดี? หากไปโดยไม่ลา คงไม่ค่อยดีสักเท่าไร แต่หากไม่ไป แล้วอยู่ดีๆ ผู้อาวุโสเกิดรักหยกถนอมบุปผา จูงมือกลับมากับเทพธิดาเยี่ยนชิงที่อ่อนหวานงดงามผู้นั้น แถมคืนนี้ดวงจันทร์ยังสวยงาม คนงามก็งามยิ่งกว่า…
ตู้อวี๋ตบบ้องหูตัวเองหนึ่งที
สะพายห่อผ้าแล้วเริ่มเผ่นหนี
ทว่าตู้อวี๋เพิ่งจะเดินมาถึงหน้าประตูใหญ่ของศาลเทพวารี ก็ต้องยืนเหม่อ
เกรงว่าครั้งนี้เพราะรีบร้อนเดินทางซึ่งไม่รู้ว่าเพราะสาเหตุใด ถึงได้ทำให้ผู้อาวุโสทุ่มกำลังทั้งหมดอย่างแท้จริง?
จากศาลเทพวารีเจ้าแห่งคูน้ำที่อยู่ด้านหลังไปจนถึงทะเลสาบชางอวิ๋น
มองไม่เห็นเงาร่างชุดเขียวนั่นแล้ว แต่กลับมีเสียงฟ้าร้องดังขึ้นไม่ขาดสาย
ตู้อวี๋ถอนหายใจหนักๆ
เฉินผิงอันพลิ้วกายลงที่ท่าเรือ หรี่ตาลง
ผู้ฝึกตนหญิงจากดินแดนเซียนเป่าต้งที่ทำให้คนเห็นจนเอียนผู้นั้นถูกตนทุ่มใส่ทะเลสาบชางอวิ๋นไปแล้ว ไม่ถึงขั้นบาดเจ็บ อย่างมากก็แค่หายใจลำบากไปชั่วขณะ และสภาพกระเซอะกระเซิงหน่อยก็เท่านั้น
แต่พอคิดถึงว่ามีความเป็นไปได้ที่เจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นจะอยู่ในบริเวณใกล้เคียงนี้ เฉินผิงอันจึงได้แต่ไล่ตามมา แล้วก็จริงดังคาด หลังจากที่สตรีผู้นั้นจมลงทะเลสาบไปก็ไม่เห็นร่องรอยอีก
เฉินผิงอันใช้สองนิ้วคีบยันต์แสงสว่างอวี้ชิงแผ่นนั้นออกมา
ในขณะที่เฉินผิงอันกำลังจะขว้างยันต์ที่ปลายนิ้วออกไปนั้นเอง
ผิวน้ำของทะเลสาบชางอวิ๋นก็แหวกออก อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบที่สวมชุดคลุมมังกรสีม่วงหรูหราเดินออกมา ข้างกายยังมีหญิงสาวที่คล้ายว่าเพิ่งจะหลุดพ้นจากวิชากรงขังมาได้สำเร็จเดินตามมาด้วย นางจ้องมองชายชุดเขียวที่อยู่บนท่าเรือด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเดือดดาล
อินโหวผายฝ่ามือข้างหนึ่งมาด้านหน้า ยิ้มบางเอ่ยว่า เมื่อครู่นี้ข้าเป็นห่วงความปลอดภัยของเทพธิดาเยี่ยนชิง ด้วยสถานการณ์ฉุกละหุก จึงร่ายเวทคาถาเล็กๆ พยายามลดทอนแรงกระแทกยามที่เทพธิดาตกลงไปในทะเลสาบออก ล่วงเกินแล้ว เชิญเทพธิดาเยี่ยนชิงขึ้นฝั่งได้
เยี่ยนชิงสีหน้าเย็นชา สะบัดไอน้ำทั้งหมดที่เหลือติดร่างออกแล้วทะยานลมพลิ้วกายลงบนท่าเรือ
หากเจ้าตัวการผู้นั้นไม่รีบมาที่ท่าเรือ เยี่ยนชิงก็ไม่อาจจินตนาการถึงจุดจบของตัวเองได้เลย
เยี่ยนชิงแค่นเสียงเย็นชาในลำคอแล้วทะยานลมจากไปไกล
เฉินผิงอันมองเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นที่มีสีหน้าระแวงภัยแล้วยิ้มเอ่ยว่า เจ้าน่าจะรู้ดีว่า หากข้าตัดสินใจว่าจะฆ่าเจ้าให้ได้ นั่นก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย
อินโหวพยักหน้ารับ เป็นเช่นนี้จริง ดังนั้นข้าจึงแปลกใจอย่างมากว่าเหตุใดเซียนกระบี่ถึงยอมออมมือให้ข้า
เฉินผิงอันกวาดตามองไปรอบด้าน ไม่ตอบคำถาม
สองเท้าของอินโหวตรึงอยู่ในน้ำตลอดเวลา
ไม่เพียงเท่านี้ กลางอากาศเหนือทะเลสาบชางอวิ๋นและเขตน่านน้ำในการปกครองทั้งหมดก็เริ่มมีเมฆทะมึนมารวมตัวกันอีกครั้ง
เฉินผิงอันถาม จดหมายลับที่เจ้าเมืองสุยเจี้ยส่งไปยังเมืองหลวงปีนั้น เรื่องเป็นมาอย่างไรกันแน่?
อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบตอบอย่างไม่ลังเล เนื้อความในจดหมายไม่มีอะไรแปลกใหม่ คาดว่าเซียนกระบี่ก็น่าจะเดาได้แล้ว ก็หนีไม่พ้นหวังว่าเพื่อนสนิทในเมืองหลวงจะช่วยพลิกคดีให้ต่อหลังจากที่เจ้าเมืองผู้นั้นตายไป อย่างน้อยก็ควรหาโอกาสเปิดเผยเรื่องนี้แก่ปวงประชา แต่ว่ามีเรื่องหนึ่งที่เซียนกระบี่น่าจะเดาไม่ถึง นั่นก็คือช่วงท้ายของจดหมายฉบับนั้น เจ้าเมืองเขียนบอกไว้อย่างตรงไปตรงมาว่า หากชีวิตนี้เพื่อนของเขาไม่สามารถเป็นขุนนางสำคัญของราชสำนักได้ ก็อย่ารีบร้อนพาตัวมาเสี่ยงอันตรายกับเรื่องนี้ หลีกเลี่ยงไม่ให้พลิกคดีไม่สำเร็จ กลับกันยังจะต้องเดือดร้อนไปด้วย
เฉินผิงอันหยิบเหล้ากาหนึ่งออกมาจากความว่างเปล่า เปิดผนึกดินออกแล้วดื่มช้าๆ
—–