กระบี่จงมา Sword of Coming – บทที่ 534.1 ไอ้หมอนั่นกล้ามาที่ภูเขาตะวันเที่ยงหรือ

บทที่ 534.1 ไอ้หมอนั่นกล้ามาที่ภูเขาตะวันเที่ยงหรือ

เฉินผิงอันอยู่บนภูเขาลูกนั้นสองวัน ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ทำเพียงแค่เดินโซเซฝึกเดินนิ่งเท่านั้น

ยามฟ้าสางของวันนี้ มีบุรุษหนุ่มชุดเขียวที่ลักษณะคล้ายชาวลัทธิขงจื๊อคนหนึ่งทะยานลมมาถึง พอพบร่องลึกบนพื้นที่ราบกว้างเส้นนั้นแล้วก็พลันหยุดลอยตัวนิ่ง และเพียงไม่นานก็มองเห็นเฉินผิงอันที่อยู่บนยอดเขา ฉีจิ่งหลงพลิ้วกายลงบนพื้น ท่าทางเหน็ดเหนื่อยจากการเร่งเดินทาง สามารถทำให้ผู้ฝึกกระบี่คอขวดก่อกำเนิดคนหนึ่งมีสภาพกระเซอะกระเซิงได้ขนาดนี้ แสดงว่าต้องรีบเดินทางมากจริงๆ

เพียงแต่ว่าตั้งแต่ทะยานลมมาจนถึงพลิ้วกายลงพื้น ฉีจิ่งหลงกลับไม่ส่งเสียงใดๆ จนกระทั่งเขาสะบัดอาภรณ์เบาๆ ประกายแสงศักดิ์สิทธิ์ของยันต์ถึงได้สลายหายไปหมด แล้วถึงได้ปรากฏตัวออกมา

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ

เส้นเอ็นหัวใจที่ขึงตึงแน่นตลอดเวลาเส้นนั้นพลันคลายตัวลงได้หลายส่วน

ขอแค่ฉีจิ่งหลงปรากฏตัว จะแอบอู้ก็ไม่เป็นไร

ก่อนหน้านี้ที่จากลากันที่ท่าเรือหัวมังกร เฉินผิงอันได้นำกระบี่บินส่งข่าวหนึ่งในสองเล่มที่เก็บไว้ในกล่องเก็บกระบี่บินซึ่งจู๋เฉวียนแห่งสำนักพีหมามอบให้ตน มอบให้กับฉีจิ่งหลงไป ทั้งสองฝ่ายจะได้ติดต่อกันได้สะดวก เพียงแต่ไม่ว่าอย่างไรเฉินผิงอันก็คิดไม่ถึงว่าจะได้เอามาใช้งานเร็วขนาดนี้ สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าเหตุใดนักฆ่าของภูเขาเกอลู่กลุ่มนั้นถึงยอมตัดใจทุบป้ายอักษรทองชื่อเสียงอันดีงามของตนเพียงแค่เพื่อเล่นงานคนต่างถิ่นอย่างเขาคนเดียว

ทั้งสองฝ่ายจึงต้องแลกเปลี่ยนกระบี่บินส่งข่าวให้กันและกัน

คำตอบกลับของฉีจิ่งหลงนั้นเรียบง่ายมาก สั้นกระชับจนไม่รู้จะเอาอะไรมาเปรียบ ‘รอเดี๋ยว อย่าเพิ่งตาย’

เวลานี้ฉีจิ่งหลงกวาดตามองไปรอบด้าน หลังจากเพ่งสังเกตอย่างละเอียดไปรอบหนึ่งแล้วก็ถามว่า  เกิดอะไรขึ้น? หรือว่าเป็นคนสองกลุ่ม? 

เฉินผิงอันนั่งอยู่บนหีบไม้ไผ่ หยิบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ออกมาแกว่ง

ฉีจิ่งหลงปวดหัวแปลบทันใด รีบพูดว่า  อย่าดีกว่า 

ตอนนี้บนร่างของเฉินผิงอันสวมชุดคลุมอาคมเถาเถี่ยร้อยตาที่ ‘เก็บมาได้จากข้างทาง’ ชิ้นนั้น เขากรอกเหล้าเข้าปากหนึ่งอึก แล้วเอ่ยว่า  คนหนึ่งในนั้นคือผู้อาวุโสท่านหนึ่ง ข้าไม่สะดวกจะเอ่ยนามของเขา เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่าข้าเคยเล่าเรื่องหนึ่งให้เจ้าฟัง เกี่ยวกับมดแดงย้ายภูเขาทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของอุตรกุรุทวีป? 

ฉีจิ่งหลงพยักหน้ารับ

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว  ผู้อาวุโสท่านนี้ก็คือคนเขียนตำราหมัดที่ข้าเล่าเรียน หลังจากที่ผู้อาวุโสหาตัวข้าเจอก็ตบรางวัลให้ข้าด้วยสามหมัด ข้าไม่ตาย เขายังช่วยข้าจัดการนักฆ่าของภูเขาเกอลู่อีกหกคนให้ข้าด้วย 

ฉีจิ่งหลงถาม  เป็นเขา? 

เฉินผิงอันกะพริบตาปริบๆ ไม่เอ่ยคำใด

ถ้าอย่างนั้นก็ใช่แล้ว

ฉีจิ่งหลงจึงไม่ถามให้มากความอีก

นักฆ่าของภูเขาเกอลู่กลุ่มที่สองไม่ได้ทิ้งร่องรอยไว้ในบริเวณใกล้เคียงภูเขาลูกนี้มากนัก แต่กลับแสดงท่าทีชัดเจนว่าแม้จะต้องทำผิดกฎ แต่ก็จะลงมือให้จงได้ นี่หมายความว่าอีกฝ่ายได้มองเฉินผิงอันเป็นผู้ฝึกตนก่อกำเนิดคนหนึ่ง หรืออาจเป็นก่อกำเนิดที่แข็งแกร่งมากด้วย มีเพียงทำเช่นนี้เท่านั้นถึงจะไม่เกิดเรื่องไม่คาดฝันใดๆ แล้วยังไม่ทิ้งร่องรอยของตัวเองเอาไว้ ถ้าอย่างนั้นผู้ฝึกยุทธที่สามารถทำให้เฉินผิงอันบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้เพียงแค่เพราะเจอหมัดสามหมัดของเขา แล้วยังใช้พละกำลังของตัวเองคนเดียวสังหารผู้ฝึกตนของภูเขาเกอลู่อีกหกคนได้อย่างง่ายดาย อย่างน้อยที่สุดก็ควรจะเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตยอดเขาคนหนึ่ง

ต่อให้เริ่มนับคำนวณมาตั้งแต่แคว้นอู่หลิง แล้วทวนกระแสน้ำเดินทางไกลไปถึงแคว้นลวี่อิง จนมาถึงแคว้นฝูฉวีแห่งนี้ ก็ไม่มีผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้าคนใดอยู่อีกแล้ว เมืองหลวงต้าจ้วนมีปรมาจารย์ใหญ่ที่เป็นสตรีอยู่คนหนึ่ง น่าเสียดายที่จำเป็นต้องไปคุมเชิงเปิดฉากเข่นฆ่าอยู่กับเจียวร้ายแห่งแม่น้ำอวี้ซีตัวนั้น แล้วพอเอามาเชื่อมโยงกับคำกล่าวถึงมดแดงของเฉินผิงอัน รวมไปถึงข่าวลือบางอย่างที่เล่าลือกันอยู่ในแถบตะวันออกเฉียงใต้ของอุตรกุรุทวีปในอดีต ถ้าอย่างนั้นอีกฝ่ายจะเป็นใคร แน่นอนว่าก็ย่อมเหมือนหินที่ผุดขึ้นเมื่อน้ำลดลงแล้ว

เดาได้ง่ายมาก ต้องเป็นกู้โย่วอย่างไม่ต้องสงสัย

กู้โย่วผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทาง ตลอดชีวิตที่ผ่านมาไม่เคยรับลูกศิษย์อย่างเป็นทางการ ปรมาจารย์หญิงของเมืองหลวงต้าจ้วนผู้นั้นนับว่าเป็นลูกศิษย์ได้แค่ครึ่งตัวเท่านั้น ในเรื่องของการถ่ายวิชาหมัดของกู้โย่วนั้น แปลกประหลาดอย่างมากมาโดยตลอด

ทุกคนพากันพูดไปหลากหลาย

มีเพียงคำกล่าวเดียวที่ถือว่าน่าเชื่อถือมากที่สุด นั่นคือบอกว่า กู้โย่วเคยพูดเองว่า วิชาหมัดของข้า ใครก็ล้วนเรียนได้ แต่ใครก็ล้วนเรียนไม่สำเร็จ

ฉีจิ่งหลงใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยว่า  ช่วงนี้เจ้าน่าจะยังปลอดภัยดี ในเมื่อผู้อาวุโสท่านนั้นออกหมัดแล้ว แต่แทบจะไม่มีข่าวคราวใดๆ แพร่งพรายออกไป นี่หมายความว่าช่วงนี้ทางภูเขาเกอลู่ยังคงรอฟังผล จึงไม่มีทางส่งนักฆ่ากลุ่มใหม่ให้มาเล่นงานเจ้า ดังนั้นเจ้าก็ออกเดินทางไกลต่อไปได้ ข้าจะไปหาบรรพจารย์ผู้บุกเบิกขุนเขาของภูเขาเกอลู่แทนเจ้าเอง และจะพยายามเก็บกวาดเรื่องเละเทะครั้งนี้ให้ แต่ก็บอกไว้ก่อนว่า กับภูเขาเกอลู่นั้น ข้ามั่นใจว่าจะทำให้พวกเขาหยุดมือได้ แต่ผู้บงการเบื้องหลังที่ออกเงินทำให้ภูเขาเกอลู่ยอมแหกกฎเพื่อตามตัวเจ้าให้เจอนั้น ตัวเจ้าเองยังต้องระวังให้มาก 

เฉินผิงอันยกสองมือกอดอก เอ่ยว่า  ท่องอยู่ในยุทธภพ ข้ามีประสบการณ์มากกว่าเจ้า 

ฉีจิ่งหลงถาม  คิดจะอยู่ที่นี่อีกสักกี่วัน? 

เฉินผิงอันพูดอย่างตรงไปตรงมา  ยังต้องการเวลาอีกสามวัน รอให้ร่างกายฟื้นฟูอีกสักหน่อยค่อยเร่งเดินทางต่อ 

ฉีจิ่งหลงก้าวออกไปหนึ่งก้าวก็มาถึงที่ตีนเขา จากนั้นก็เริ่มวาดยันต์เลียบตีนเขาไปเรื่อยๆ เอามือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งจิ้มๆ ชี้ๆ ไป

ทุกครั้งที่วาดยันต์หนึ่งชิ้นเสร็จก็จะพุ่งตัวออกไปหลายสิบจั้ง ทำทุกอย่างได้คล่องแคล่วดุจสายน้ำไหล ไม่มีติดขัดเลยแม้แต่น้อย

อย่าลืมล่ะว่า วิถีแห่งยันต์ของฉีจิ่งหลงนั้นสามารถทำให้หยางหนิงเจินแห่งตำหนักนภากาศรู้สึกว่าตัวเองห่างชั้นเกินกว่าจะเอื้อมถึง แล้วก็ต้องรู้ว่าตำหนักนภากาศหน่วยฉงเสวียนนั้นคือหนึ่งในปฐมสำนักของพรรคยันต์แห่งอุตรกุรุทวีป

ผ่านไปประมาณหนึ่งก้านธูป ฉีจิ่งหลงก็ย้อนกลับมาที่ยอดเขา  สามารถต้านทานการโจมตีของผู้ฝึกตนก่อกำเนิดทั่วไปได้สามครั้ง ซึ่งเงื่อนไขก็คือต้องไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ ไม่มีอาวุธกึ่งเซียน 

เฉินผิงอันยกนิ้วโป้งให้อีกฝ่าย  แค่เคยมองข้าวาดยันต์รอยหิมะบนผนังครั้งเดียวก็เรียนเป็นแล้วเจ็ดแปดส่วน ไม่เสียแรงที่เป็นเจียวหลงบนบกของอุตรกุรุทวีป เป็นชายหนุ่มมากความสามารถจริงๆ! 

ฉีจิ่งหลงคร้านจะสนใจเขา เตรียมจะจากไป

ไปเร็วหน่อยจะได้หาคนที่มีสิทธิ์ตัดสินใจของภูเขาเกอลู่เจอเร็วหน่อย ไอ้หมอนี่ก็จะปลอดภัยมากขึ้น

และเมื่อหาคนของภูเขาเกอลู่เจอ ก็แน่นอนว่ายังต้องใช้เหตุผลกัน

แต่เวลานี้พอฉีจิ่งหลงชำเลืองตามองเฉินผิงอัน ผิวเนื้อนอกชุดคลุมอาคมส่วนใหญ่ล้วนผิวหนังปริแตก และยังมีหลายจุดที่กระดูกขาวโผล่ออกมา เขาก็ขมวดคิ้วถามว่า  เจ้านี่ไม่เคยรู้จักเจ็บเลยหรือไร? 

เฉินผิงอันหัวเราะร่า  ผู้ฝึกยุทธอย่างข้า อาการบาดเจ็บเล็กๆ น้อยๆ … 

ฉีจิ่งหลงพลันขยับมาอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน เอามือหนึ่งกดไหล่ของเขาไว้

เฉินผิงอันหน้าบูดเบี้ยวในทันที ไหล่ข้างหนึ่งทรุดลง แล้วจึงเบี่ยงตัวหลบฉีจิ่งหลง  อะไรกัน! 

ฉีจิ่งหลงถึงได้ยิ้มเอ่ยว่า  ยังดี ยังเป็นคนอยู่ 

ฉีจิ่งหลงกวาดตามองรอบด้านแล้วยกมือข้างหนึ่งขึ้น แสงสีทองหลายเส้นก็บินผลุบเข้ามาในชายแขนเสื้อ น่าจะเป็นยันต์เฉพาะตัวของเขาที่ถูกเก็บมา เพราะแน่ใจแล้วว่ารอบด้านไม่มีปราณสังหารซ่อนแฝงอยู่

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว  ไม่ดื่มเหล้าสักคำก่อนไปจริงๆ หรือ? 

ฉีจิ่งหลงหัวเราะอย่างขันๆ ปนฉุน  ดื่มๆๆ ถูกคนซ้อมจนเลือดหลายไปหลายจิน ดื่มเหล้าแล้วจะชดเชยกลับมาได้หรือ? ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวอย่างพวกเจ้ามีแต่วิธีที่องอาจห้าวหาญอย่างนี้งั้นรึ? 

เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าจริงจัง  บอกตามตรง หลังจากกินสามหมัดของผู้อาวุโสไป ตอนนี้ขอบเขตของข้าทะยานพรวดพราด นี่เรียกว่าจากลาสามวันต้องมองกันเสียใหม่! หากเจ้าฉีจิ่งหลงยังไม่รีบฝ่าทะลุคอขวดอีก วันหน้าก็ไม่มีหน้ามาพบข้าแล้ว 

ฉีจิ่งหลงถาม  เจ้าเป็นขอบเขตร่างทองหรือว่าขอบเขตเดินทางไกลแล้วเล่า? 

เฉินผิงอันพูดกลั้วหัวเราะ  คุยกับเจ้านี่น่าเบื่อจริงๆ 

ฉีจิ่งหลงไม่พูดไม่จาก็ทะยานลมจากไป เรือนกายของเขาล่องลอยราวกับกลุ่มควัน และเพียงแค่ชั่วพริบตาก็หายวับไป

สาเหตุย่อมต้องเป็นเพราะมียันต์ชั้นยอดอยู่ติดกายอย่างแน่นอน

มาอย่างเร่งร้อน แล้วก็จากไปอย่างเร่งร้อน ก็หนีไม่พ้นเช่นนี้เอง

เฉินผิงอันไม่ได้รู้สึกผิดใดๆ ถึงขั้นไม่จำเป็นต้องเอ่ยขอบคุณด้วย

เหตุผลนั้นง่ายดายมาก

วันหน้าหากฉีจิ่งหลงเรียกให้เขาเฉินผิงอันมาช่วยเหลือ ก็จะเป็นเช่นนี้เหมือนกัน

แต่เฉินผิงอันก็ยังหวังว่าอย่าได้มีโอกาสเช่นนี้เลย ต่อให้มีก็ขอให้ช้าสักหน่อย รอให้วิชากระบี่ของเขาสูงยิ่งกว่านี้ ออกกระบี่ได้เร็วยิ่งกว่านี้ แน่นอนว่ายังมีหมัดที่ต้องแข็งแกร่งกว่านี้ ยิ่งช้าเท่าไรก็ยิ่งดี

เพราะใต้หล้านี้ตัวอักษรสองคำที่สามารถทนรับการขัดเกลาได้ดีที่สุด ก็คือชื่อของเขาเอง

ผิงอัน (สงบสุข/ปลอดภัย)

หลังจากที่ฉีจิ่งหลงจากไป เฉินผิงอันก็อยู่ว่างไม่มีอะไรทำ เรื่องของการพักฟื้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการประสานตัวของเรือนกายที่มีเลือดเนื้อนั้น จะรีบร้อนไม่ได้

เฉินผิงอันลังเลอยู่เล็กน้อย แต่พอคิดว่าถึงอย่างไรรอบด้านก็ไร้ผู้คนจึงเริ่มเอาหัวทิ่มพื้น เท้าชี้ขึ้นฟ้า ทดลองเอาท่าฟ้าดินและอีกสามกระบวนท่ามาผสานรวมให้เป็นหนึ่งเดียว

ใช้หัว ‘เดินไปช้าๆ’

ครึ่งก้านธูปต่อมา เฉินผิงอันก็ใช้ฝ่ามือยันพื้น พลิกตัวหมุนกลับอย่างแผ่วพลิ้ว กลับมายืนบนพื้นอีกครั้ง เขาปัดฝุ่นที่เกาะอยู่บนศีรษะ รู้สึกไม่ค่อยจะดีเท่าไรนัก

ผลคือเฉินผิงอันมองเห็นว่าตรงหีบไม้ไผ่มีฉีจิ่งหลงที่จากไปแล้วย้อนกลับมายืนอยู่

เฉินผิงอันเอ่ย  ทำตัวอย่างกะผี คิดจะมาหลอกคนตอนกลางวันแสกๆ งั้นรึ? 

ฉีจิ่งหลงถามอย่างใคร่รู้  นี่เจ้ากำลังทำอะไร? 

เฉินผิงอันปัดหัวของตัวเองต่อ พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า  ฝึกท่าเดินนิ่งไงล่ะ เป็นวิชาลับเฉพาะ เจ้าอยากเรียนหรือไม่? คนทั่วไปคิดจะเรียน ข้าไม่มีทางสอนให้หรอกนะ 

ฉีจิ่งหลงสะบัดชายแขนเสื้อ ทยอยเอาเหล้าหมักตระกูลเซียนสองกาที่ซื้อมาจากชายหาดโครงกระดูกออกมาวางลงบนหีบไม้ไผ่  ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ฝึกต่อเถอะ 

ฉีจิ่งหลงกลายร่างเป็นสายรุ้งที่ทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้าอีกครั้ง จากนั้นเรือนกายก็พลันหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย

เฉินผิงอันนั่งลงบนหีบไม้ไผ่ หยิบกาเหล้าขึ้นมา เป็นเหล้าตระกูลเซียนของแท้แน่นอน ไม่ใช่เหล้าหมักข้าวเหนียวตามหมู่ชาวบ้านร้านตลาด

ดูเหมือนว่าไอ้หมอนี่จะมีคุณธรรมกว่าตนเล็กน้อย

……

ภูเขาตะวันเที่ยงจัดงานเลี้ยงฉลองขึ้น เพื่อแสดงความยินดีที่เถาจื่อหลานสาวของบรรพจารย์ตระกูลเถาหนึ่งในเซียนกระบี่บนภูเขาเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตถ้ำสถิต

ขอบเขตถ้ำสถิตคือธรณีประตูใหญ่ด่านหนึ่ง

เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตถ้ำสถิตก็คือเทพเซียนห้าขอบเขตกลาง

นอกจากของขวัญกราบภูเขาที่กองกำลังฝ่ายต่างๆ ส่งมาร่วมอวยพรแล้ว ทางฝั่งของภูเขาตะวันเที่ยงเองก็มีของขวัญชิ้นใหญ่เช่นกัน พวกเขามอบภูเขาลูกหนึ่งที่ย้ายมาจากนอกพื้นที่ให้กับเด็กสาวโดยตรง ยกให้เป็นสวนดอกไม้ส่วนตัวของเถาจื่อ ไม่ถือว่าเป็นการเปิดภูเขา เพราะถึงอย่างไรเด็กสาวก็ยังไม่ใช่ขอบเขตโอสถทอง แต่ตอนที่เถาจื่อถือกำเนิดก็มีภูเขาเป็นของตัวเองแล้วลูกหนึ่ง ภายหลังซูเจี้ยออกไปจากภูเขาตะวันเที่ยง ภูเขาลูกนั้นของซูเจี้ยจึงถูกดึงมาให้เถาจื่อ ตอนนี้ในมือเด็กสาวคนนี้จึงได้ครอบครองพื้นที่ฮวงจุ้ยดีเยี่ยมที่มีปราณวิญญาณเปี่ยมล้นแล้วถึงสามแห่ง เรียกได้ว่าสินเดิมอุดมสมบูรณ์ ในอนาคตหากใครสามารถผูกสมัครเป็นคู่บำเพ็ญเพียรบนภูเขากับนางก็ถือว่าเป็นความโชคดีใหญ่เทียมฟ้าที่สะสมมาตั้งแต่ชาติปางก่อนจริงๆ

และภูเขาที่ทางศาลบรรพจารย์ของภูเขาตะวันเที่ยงนำมามอบให้เป็นของขวัญนั้น ก็คือหนึ่งในอดีตขุนเขาของแคว้นเล็กแห่งหนึ่ง!

มีแคว้นเล็กแห่งหนึ่งอาศัยชัยภูมิที่อันตรายมาต่อต้าน สุดท้ายถูกกองทัพม้าเหล็กของต้าหลีท่วมกลบทับ ร่างทองขององค์เทพแห่งขุนเขาถูกทำลายลงท่ามกลางสงคราม ขุนเขาแห่งนั้นจึงกลายเป็นสถานที่ที่ไร้เจ้าของอย่างสมบูรณ์ ภูเขาตะวันเที่ยงจึงนำคุณความชอบทางการต่อสู้ของผู้ฝึกตนบนภูเขามาหักลบกลบหนี้กับราชสำนักต้าหลี แล้วซื้อขุนเขาเหนือของแคว้นเล็กแห่งนี้มา จากนั้นก็มอบให้วานรเฒ่าผู้พิทักษ์ภูเขาตะวันเที่ยง ให้มันร่ายวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิต ตัดสะบั้นฐานภูเขาแล้วแบกยอดเขายักษ์จากมา เนื่องจากขุนเขาเหนือของแคว้นเล็กลูกนี้ไม่ได้ใหญ่โตมโหฬารมากเกินไป วานรย้ายภูเขาจึงแค่ต้องเผยร่างจริงแบบไม่สมบูรณ์ เรือนกายสูงแค่ไม่กี่สิบจั้งเท่านั้น แบกภูเขาลูกนี้ก็เหมือนชายฉกรรจ์แบกหินก้อนใหญ่ จากนั้นก็ขึ้นเรือข้ามฟากของตระกูลตัวเอง พากลับไปที่ภูเขาตะวันเที่ยง เมื่อภูเขาลูกนี้ร่วงลงสู่พื้นและหยั่งรากแล้ว ขุนเขาสายน้ำก็สามารถเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน

เถาจื่อคือแก้วตาดวงใจของเหล่าเซียนกระบี่ผู้เฒ่าแห่งภูเขาตะวันเที่ยงมาตั้งแต่เด็ก นอกจากสถานะของนางจะสูงศักดิ์แล้ว คุณสมบัติของนางเองยังดีเยี่ยมอย่างถึงที่สุด นี่ก็คือกุญแจสำคัญเช่นกัน คือตัวประหลาดเพียงหนึ่งเดียวของภูเขาตะวันเที่ยงในช่วงเวลาห้าร้อยปีที่ผ่านมา ขณะเดียวกันกับที่คุณสมบัติดีเยี่ยม ทั้งฐานกระดูก พรสวรรค์ นิสัยใจคอ โชควาสนา ทุกด้านล้วนครองความได้เปรียบอย่างมั่นคง นี่หมายความว่าความเร็วในการเลื่อนขั้นของเถาจื่อจะไม่เร็วมากนัก ทว่าคอขวดจะเล็กมาก เลื่อนขั้นเป็นโอสถทองได้อย่างไม่มีปัญหา ในอนาคตก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะกลายเป็นผู้ฝึกตนก่อกำเนิดที่สูงส่งทะลุไปถึงทะเลเมฆได้

สำหรับตระกูลเซียนที่มีกำลังพอจะก่อสำนักตั้งพรรคเป็นของตัวเองแล้ว ผู้มีพรสวรรค์เลิศล้ำอย่างเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะ แน่นอนว่าทุกคนต้องรู้สึกอิจฉา แต่ตัวอ่อนด้านการฝึกตนอย่างเถาจื่อก็สำคัญมากเช่นกัน ถึงขั้นพูดได้ว่าในความหมายระดับหนึ่งนั้น ก่อกำเนิดท่านหนึ่งที่เดินขึ้นไปถึงบนยอดเขาอย่างไม่รีบไม่ร้อน เมื่อเทียบกับลูกรักแห่งสวรรค์ที่มีชื่อเสียงมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว อันที่จริงกลับมั่นคงกว่ามาก เพราะไม้ที่เด่นเกินไพรย่อมถูกแรงลมพัดให้หักโค่น

ทว่าในบรรดาของขวัญร่วมแสดงความยินดีทั้งหลายนี้ มีชิ้นหนึ่งที่สะดุดตาอย่างถึงที่สุด

ต่อให้คนที่มอบของขวัญจะไม่ได้ปรากฎตัว แต่ยอดเขาทั้งหมดนอกเหนือจากบรรพจารย์ตระกูลเถาของภูเขาตะวันเที่ยงเองแล้ว ทุกคนล้วนรู้สึกมีเกียรติเป็นอย่างยิ่ง

เพราะของขวัญอวยพรชิ้นนั้นมาจากจวนอ๋องเจ้าเมืองของนครมังกรเฒ่า หรือก็คืออ๋องอักษรเดียวเคียงบ่าแห่งสกุลซ่งต้าหลี ซ่งมู่

ก่อนหน้านี้มีข่าวลือเล็กๆ บางอย่างบอกว่าตอนที่เถาจื่อเป็นเด็กเคยเดินทางไปเยือนถ้ำสวรรค์หลีจูมารอบหนึ่ง แล้วก็ได้รู้จักกับซ่งมู่องค์ชายที่สถานะยังไม่ถูกเปิดเผยตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว

บนภูเขาลูกใหม่ ศาลประจำขุนเขาเหนือผุพังไม่เหลือสภาพดี ยังจำเป็นต้องทุ่มเทกำลังทรัพย์และกำลังคนไปซ่อมแซมอีกมาก

—-

 

กระบี่จงมา Sword of Coming

กระบี่จงมา Sword of Coming

Status: Ongoing
” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์  ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์  หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า  แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “
เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา
เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม
และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง
ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้
–ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท