ราชินีพลิกสวรรค์ – ตอนที่ 31 จะเอาอะไรมาแลกกับข้า
ณ ถ้ำเก้าปีศาจ
หลังจากที่เจียงหลีรู้สึกว่าตนไม่สามารถดูดซับพลังวิญญาณได้อีกต่อไป นางจึงยอมแพ้
นางเข้าใจความจริงที่ว่าไม่สามารถกินให้อ้วนได้ด้วยการกินเพียงคำเดียว อย่างไรก็ตามเมื่อนางลืมตาขึ้นและเห็นกองผงเหล่านั้นที่อยู่ตรงหน้า เหลือหินวิญญาณเพียงครึ่งหนึ่ง เมื่ออยู่คนเดียวในกองฝุ่น นางก็ยังอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย
“อ่ะแฮ่ม” นางกระแอมไออย่างเขินอายเล็กน้อย
แม้แต่ตัวนางเองก็รู้สึกเขินอายกับความสยองขวัญในการดูดซับ “ดูเหมือนว่าหลังจากนี้ข้าจะต้องหาวิธีที่จะได้รับหินวิญญาณด้วยตัวข้าเอง” เจียงหลีพึมพำขณะที่เอามือถูคางของตน
นางกังวลว่าหลังจากฝึกฝนไปแล้ว ทั้งตระกูลลู่ยังไม่เพียงพอที่จะดูดซับ
“ข้ามีความคิดและเป้าหมายที่ใหญ่ ข้าต้องการฝึกฝนและทะลุขีดจำกัด ฝ่าอุปสรรคของโลกนี้และกลับสู่โลกเดิมของข้า” เจียงหลีกำหมัดแน่นเพื่อให้กำลังใจตัวนางเอง
ทันใดนั้นความสง่าของลู่เจี้ยก็เปล่งประกายออกมาจากส่วนลึกของจิตใจนาง
มันทำให้นางยิ้มอย่างน่าเวทนา “ฮี่ๆ เมื่อถึงเวลาที่จะไป หากสามารถพาสวามีกลับไปได้มันคงจะดี แต่ว่า…”
นางขมวดคิ้วและเอ่ยด้วยความเยาะเย้ยว่า “แต่ก็อ่อนแอไปหน่อย” คิ้วของนางคลายออกทันทีและนางยิ้ม “ช่างเถอะเพราะเห็นแก่ความงามของเจ้า ราชินีอย่างข้าก็จะไม่ใส่ใจ”
นางพึมพำอยู่ในเรือนหินคนเดียวเป็นเวลานานก่อนจะกระโดดลงจากเตียงอย่างเต็มไปด้วยพลัง แล้วเดินออกจากเรือนไป
ไม่มีใครสนใจนางและนางก็ไม่รู้จะทำอะไร นางจึงเดินไปรอบๆ อย่างเกียจคร้าน สำหรับลู่จ้านเขาจากไปเมื่อใด นางก็ไม่สนใจแม้แต่น้อย
ค่ายฝึกของตระกูลลู่ล้วนสร้างขึ้นบนเนินเขาและซ่อนอยู่ แต่สามารถฝึกอบรมผู้คนได้ดีที่สุด ในระยะไกลมีเสียงกลองและเจียงหลีก็ขยับไปตามทิศทางของกลอง
ระหว่างทางนางไม่พบใครเลย และไม่นานก็เดินไปถึงที่ๆ มีเสียงกลองดังขึ้น
ขบวนรบทุบพันครั้งฝึกร้อยครา เจียงหลีรำพึงเงียบๆ ในใจ
เบื้องหน้าของนาง เป็นการคัดเลือกที่ใหญ่กว่าขบวนรบทุบพันครั้งฝึกร้อยครา มีผู้คนไม่น้อยอยู่ในนั้นที่กำลังฝึกฝน และมีเซียวเซียวอยู่ในหมู่พวกเขาด้วย
ดูเหมือนว่ารายการแรกของการฝึกผู้พิทักษ์ความมืดของตระกูลลู่คือการฝึกร่างกายก็ถูกต้องแล้ว หากต้องการฝึกฝนให้ดีขึ้น ต้องเริ่มจากพื้นฐานยิ่งร่างกายดีก็สามารถฝึกฝนได้อย่างราบรื่นมากขึ้น เจียงหลีคิดในใจ
สองครั้งแรกนั้นนางจงใจใช้การฝึกฝนขบวนรบทุบพันครั้งฝึกร้อยคราและครั้งที่สามนางไม่ได้รับผลกระทบอีกต่อไป ไม่คาดคิดว่ายังมีรายการนี้อยู่ในการฝึกอบรมผู้องครักษ์ลับ
เจียงหลีคิดอยู่สักพักและก้าวไปข้างหน้า
นางอยากจะลองดู ว่าการฝึกฝนขบวนรบทุบพันครั้งฝึกร้อยคราในสนามที่ใหญ่ขึ้น นางจะทนได้หรือไม่
“เจ้าอยู่ที่นี่หรือ” ทันใดนั้นเสียงลู่จ้านดังขึ้นที่ข้างหลังนาง ทำให้เท้าของนางที่ก้าวออกไปนั้นถอยกลับอีกครั้ง
นางหันกลับมามองไปที่ลู่จ้านที่กำลังเดินเข้ามาหานาง
การจ้องมองของลู่จ้านเลยไปจากนางไป แล้วมองไปที่สนามฝึกขบวนรบทุบพันครั้งฝึกร้อยคราจากนั้นก็มองกลับมา “ตามข้ามา การฝึกฝนนี้ไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับเจ้า”
ดวงตาของเจียงหลีเปล่งประกายและถามว่า “จะไปที่ใด”
ลู่จ้านตอบด้วยใบหน้าที่เฉยเมยว่า “เจ้าควรผสานวิญญาณยุทธ์ในขั้นแรกแล้ว”
ดวงตาของเจียงหลีหรี่ลง ทันใดนั้นหัวใจของนางดูเหมือนจะเต้นแรง
วิญญาณยุทธ์ตัวแรก
ในที่สุดนางก็สามารถเข้าสู่โลกแห่งการฝึกฝนอย่างเป็นทางการแล้วหรือนี่ จะได้ไม่ต้องเป็นคนอ่อนแอให้ใครมาย่ำยีได้อย่างง่ายดายอีก เมื่อลู่จ้านพูดจบเขาก็หันหลังและจากไป เจียงหลีไม่ลังเลรีบเดินตามไปทันที
“วิญญาณยุทธ์ นี่มันอะไรกัน” เจียงหลีรีบเดินไปสองสามก้าวก่อนที่จะตามลู่จ้านทัน และถามอย่างสงสัย
ลู่จ้านเหลือบมองไปที่นางและพูดอย่างเมินเฉย “วิญญาณยุทธ์เป็นพลังวิญญาณชนิดพิเศษที่ไม่มีตัวตนแต่มีพลังหลากหลาย บ้างก็เพื่อการโจมตี บ้างก็เพื่อการปกป้องและบ้างก็เพื่อการช่วยเหลือและเพื่อการควบคุม วิญญาณยุทธ์สามตัวแรกมีความสำคัญมากและกำหนดทิศทางของการฝึกฝนในอนาคตของเจ้า”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร นอกจากนี้ข้าเข้าใจการโจมตี และการป้องกัน แต่ความช่วยเหลือและการควบคุมคืออะไร” เจียงหลีถามอย่างไม่อาย
“การช่วยเหลือไม่ใช่ความสามารถในการรบที่แท้จริง แต่ก็ไม่ควรประมาท เช่นการรักษา การปรับแต่งอาวุธตรวจจับ การขยายและอื่นๆ การควบคุม พูดง่ายๆ คือความสามารถในการดักจับศัตรู ทั้งสามตัวแรกนั้นคือพื้นฐานของเนตรญาณ โดยทั่วไปแล้วทั้งสามจะรวมอยู่ในวิญญาณยุทธ์ประเภทเดียวกัน ดังนั้นผลของการที่ทับซ้อนกัน ยิ่งใหญ่อย่างไม่มีที่สิ้นสุดและจำนวนมาก ก็คือเหมือนกันสองเนตรและอีกเนตรนั้นเพื่อเสริมกัน วิญญาณการต่อสู่ในภายหลังขั้นพื้นฐานนั้นจะขึ้นอยู่กับลักษณะเนตรญาณของวิญญาณยุทธ์” ลู่จ้านกล่าวแนะนำ
“แล้วถ้าเลือกวิญญาณยุทธ์ที่ไม่ได้มาจากทิศทางเดียวกัน มารวมเข้ากับเนตรสามญาณหล่ะ” เจียงหลีถามอย่างสงสัย
“…”
ระหว่างทางเจียงหลียังคงถามไม่หยุด ลู่จ้านก็ยังคงอธิบายอย่างอดทน
ในที่สุดนางก็มีแนวคิดที่ชัดเจนเกี่ยวกับวิญญาณยุทธ์รวมถึงการจำแนกประเภท เมื่อสรุปสิ่งที่ลู่จ้านพูด การเลือกลักษณะของวิญญาณยุทธ์นั้นขึ้นอยู่กับบุคลิกภาพของแต่ละบุคคล
หากบุคคลนั้นมีนิสัยขี้ขลาดอ่อนแอก็จะไม่สามารถหลอมรวมศิลปะการต่อสู้ของวิญญาณยุทธ์ที่เน้นการโจมตีเป็นหลักได้ แต่สามารถหลอมรวมศิลปะการต่อสู้วิญญาณที่เป็นประเภทเสริมได้เท่านั้น
“จะหาวิญญาณยุทธ์ได้จากที่ไหน” เจียงหลีถามคำถามอีกข้อหนึ่ง
ลู่เจี้ยเหลือบมองไปที่นางก่อนจะพูดว่า “โดยทั่วไปแล้ว วิญญาณยุทธ์ระดับสูงเป็นที่ชื่นชอบในพวกตระกูลใหญ่ๆ เนตรญาณสามระดับแรกมักจะเป็นของขวัญจากตระกูลหรือหลังจากระดับที่สองแล้วก็ต้องออกล่าวิญญาณยุทธ์ด้วยตัวเองในอาณาเขตหลิงอู่ ถือได้ว่าเป็นทดลองการฝึกฝน”
“อาณาเขตหลิงอู่” เจียงหลีได้รับข้อความใหม่อีกครั้ง
อย่างไรก็ตามก่อนที่นางจะถามอย่างละเอียด ลู่จ้านกล่าวว่า “เจ้าในตอนนี้เพิ่งก้าวเข้าสู่การฝึกฝนอย่าคิดไปไกลเกิน ก่อนอื่นเจ้าควรคิดว่าจะรวมวิญญาณยุทธ์สู้ขั้นแรกได้อย่างไร”
เจียงหลีรู้สึกประหลาดใจ แล้วดูเหมือนว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะผสานรวมวิญญาณยุทธ์
…
หลังตามลู่จ้านไป นางก็กลับไปที่ตระกูลลู่ในเมืองซูหนานและได้พบเจอกับความงดงามของลู่เจี้ยอีกครั้ง
หลังจากพาผู้คนมาถึงแล้ว ลู่จ้านก็จากออกไปอย่างเงียบๆ
ในห้องขนาดใหญ่มีเพียงลู่เจี้ยกับเจียงหลี
“ท่านต้องการมอบวิญญาณยุทธ์ให้ข้าหรือ” เจียงหลีถาม
น้ำเสียงของลู่เจี้ยแผ่วเบาและบนใบหน้าที่หล่อเหลาริมฝีปากสีแดงของเขาเปิดออกเล็กน้อย “ใช่แล้ว ในเมื่อจะเป็นคนดีก็ต้องดีให้ถึงที่สุด”
เจ้าเป็นคนดีหรือ
เจียงหลีสบประมาทในใจ
นางไม่ได้พูดประชดประชันอะไรในตอนนี้ เพียงแต่ถามว่า “ลักษณะนิสัยเป็นอย่างไร อยู่ในระดับไหนหรือ” ถ้าต่ำเกินไปนางไม่รับไว้จะดีกว่า
“สายต่อสู้โจมตี ระดับหรือก็…เป็นชั้นยอด” ลู่เจี้ยพูดด้วยน้ำเสียงขี้เล่น
ชั้นยอด!
ทันใดนั้นเจียงหลีก็เบิกตากว้างพร้อมกับความประกายในดวงตาของนาง เมื่อมันเป็นชั้นยอดนอกจากนี้ยังสอดคล้องกับลักษณะการโจมตีของนาง
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าในราชวงศ์โฮ่วจิ้นนี้มีวิญญาณยุทธ์ชั้นยอดเท่าไหร่” ลู่เจี้ยถามอย่างกะทันหัน
เรื่องนี้เจียงหลีไม่รู้จริงๆ
นางรู้แค่ว่าระดับยิ่งสูงจำนวนก็ยิ่งน้อย
“แม้แต่เหล่าองค์ชายแห่งซั่งตูก็ไม่มีวิญญาณยุทธ์ระดับหนึ่ง ต่างก็ไม่มีชั้นยอดเลย” คำพูดเหล่านี้ทำให้เจียงหลีตระหนักอย่างชัดเจนถึงความขาดแคลนของวิญญาณยุทธ์ชั้นหนึ่ง
ลู่เจี้ยยินดีจะมอบวิญญาณยุทธ์ที่หายากและล้ำค่านี้แก่นางหรือ “เจ้ามีจุดประสงค์อะไร” นางถาม
ลู่เจี้ยยิ้มและรอยยิ้มนั้นอ่อนโยนและสวยงามกว่ามวลดอกไม้นับร้อย “เจ้าลองคิดดูให้ดีสิว่า จะเอาอะไรมาแลกกับข้า”