ราชินีพลิกสวรรค์ – ตอนที่ 64 มั่นใจเกินไป

ตอนที่ 64 มั่นใจเกินไป

ราชินีพลิกสวรรค์ – ตอนที่ 64 มั่นใจเกินไป
มู่หว่านโหรวหรี่ตามองไปที่เจียงหลีเป็นครั้งที่สอง

ครั้งแรกเพราะรู้ว่านางคือสาวใช้ของตระกูลลู่ ครั้งที่สองก็เพราะว่าไป๋หลี่เฟิ่งมองนาง คนที่อยู่ตรงนั้น ไม่มีใครรู้ดีไปกว่านางว่าไป๋หลี่เฟิ่งเย่อหยิ่งขนาดไหน

ตอนที่อยู่ที่เมืองซั่งตู นางยืนอยู่ตรงหน้าเขา เขาเดินผ่านไปโดยไม่ชายตามองนางเลยสักนิด

แต่ในวันนี้ เขากลับหยุดมองสาวใช้ของตระกูลลู่ที่อยู่ข้างล่างเวทีการประลอง

เด็กสาวคนนี้ มีพลังอะไรกันแน่ที่ทำให้ไป๋หลี่เฟิ่งสนใจเป็นพิเศษ มู่หว่านโหรวคิดอยู่ในใจ

……

ที่ขอบเวทีการประลอง ไป๋หลี่เฟิ่งเลิกมอง แล้วเดินต่อไปอย่างช้าๆ

เจียงหลีก็หันมอง แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ไม่ได้มีท่าทีโต้ตอบกับการท้าทายของไป๋หลี่เฟิ่ง

“คุณหนู เขาหมายความว่าอย่างไร” เมื่อครู่หม่าหยวนจย่าก็กังวลนิดหน่อย กลัวว่าไป๋หลี่เฟิ่งจะทำอะไรเจียงหลี

เจียงหลียิ้มอย่างคลุมเครือ “ใครจะไปรู้ว่าเขาจะหาเรื่องหรือเป็นอะไร”

“เอ่อะ!” หม่าหยวนจย่าได้ฟังคำตอบของนาง ก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ

ที่จริงในใจของเจียงหลีเดาได้แล้ว ก่อนหน้านี้ในการแข่งขันรอบแรก ตอนที่นางจัดการกับเหล่าผู้เข้าประลองจากเมืองไป๋ลู่ ถูกไป๋หลี่เฟิ่งเห็นเข้า คนที่มาทีหลังก็เข้าใจผิดคิดว่าไป๋หลี่เฟิ่งเป็นคนลงมือ เขาก็ตั้งตัวเป็นคู่ต่อสู้กับนางแล้ว คู่ต่อสู้ที่ทำให้เขารู้สึกว่าสมน้ำสมเนื้อ

โดนผู้ที่เก่งกาจที่สุดแห่งยุคจ้องมอง

เจียงหลีลูบจมูก ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้รู้สึกภูมิใจ

“รอบที่สอง เย่ว์หนานซีสู้กับเจียงหลี!”

หลังจากที่ผู้ตรวจตราพูดจบ ร่างคนที่ผ่านไปอย่างเร็วจากไกลๆ ลงมาอยู่บนเวทีการประลอง

ในตอนที่เท้าทั้งสองข้างของเขาถึงพื้น เหยียบอยู่บนเวทีการประลอง พลังออกจากเท้าของเขา ปะทะกับพื้นเวที ทำให้ฝุ่นฟุ้งขึ้นมา

“เจียงหลี ขึ้นมา!”

เขายืนตัวตรง ท่าทางทรงพลัง ตะโกนไปที่ด้านล่างเวที

“ผู้เข้าประลองที่เก่งกาจของตระกูลเย่ว์ ดูเก่งกาจขึ้นมากกว่าเมื่อก่อน”

“ดูจากพลังแล้ว เกรงว่าเขาจะทุ่มสุดตัว”

“สาวใช้ตระกูลลู่นั่น ครั้งนี้ดูท่าจะตกที่นั่งลำบากเสียแล้ว”

“จุ๊ๆๆ เป็นคู่ที่น่าดูจริงๆ ตอนแรกโดนสาวใช้ถอนหมั้น ตอนหลังก็มานัดประลองกันอีก”

“……”

บริเวณด้านล่างเวที ผู้คนพูดคุยถกกัน

สายตาของคนไม่น้อยจับจ้องไปที่เจียงหลีหญิงสาวผู้สวมชุดดำ

ภายใต้สายตาของผู้คนที่จับจ้อง นางก้าวเท้าออกมาก้าวแรก

“คุณหนู!” หม่าหยวนจย่าตะโกนอยู่ด้านหลังนาง ให้กำลังใจนางผ่านทางสายตา

คนตระกูลเย่ว์ที่อยู่ไม่ไกล ล้วนมองดูด้วยสีหน้าสบายใจ เจียงหลีเดินขึ้นบันไดเวทีทีละก้าวๆ รอยยิ้มในดวงตาของพวกเขาดูชัดมากขึ้น

หลังจากวันนี้ ผู้ที่นำความอับอายมาให้คนตระกูลเย่ว์ก็จะหายไป!

ผู้เข้าประลองของตระกูลเย่ว์ที่เก่งกาจของพวกเขาก็จะไร้มลทิน

เจียงหลีเดินอย่างช้าๆ เหมือนกับไป๋หลี่เฟิ่งก่อนหน้านี้ เดินอย่างสบายๆ ไม่มีความกังวลใดๆ

ผู้คนมากมายที่จ้องมองนางเดินขึ้นเวที ล้วนถูกดึงดูดด้วยท่าทางที่สบายๆ ของนาง

เมื่อ การประลองของไป๋หลี่เฟิ่งจบลง มู่หว่านโหรวก็กลับมานั่งที่ แต่หนานอู๋เฮิ่นกลับลุกยืนขึ้นแล้วเดินไปข้างหน้า เพื่อให้มองเห็นการประลองได้ชัดขึ้น

เขาพูดด้วยความสนใจเป็นอย่างมากว่า “สาวน้อยคนนี้ น่าสนใจทีเดียว”

ในคำพูดนั้นไม่ปิดบังความชื่นชมที่มีต่อเจียงหลีเลยสักนิด

นางอายุน้อยนิด กลับมีพรสรรค์มาก สติปัญญายอดเยี่ยม การประลองในวันนี้ ถ้านางสามารถนำความปีติยินดีมาให้เขาได้ คนที่มีความสามารถเช่นนี้ สถาบันไป๋หยวนไม่มีทางพลาดแน่

“ผู้หญิงที่มีความผิด แถมยังถูกขายเป็นทาสรับใช้ จะมีพรสวรรค์แค่ไหนเชียว แล้วจะมีประโยชน์อันใด ทั้งยังชอบก่อเรื่อง” อู๋เชียนได้ยินคำที่หนานอู๋เฮิ่นพูด ก็ส่ายหัวแล้ววิจารณ์

หนานอู๋เฮิ่นไม่โกรธ เพียงแค่ยิ้มแล้วตอบกลับว่า “สถาบันของพวกเรา มาตรฐานไม่สูง ไม่เหมือนกับสำนักหลิงอู่ที่ให้ความสำคัญกับชาติตระกูลหรอก”

อู๋เชียนขมวดคิ้ว สีหน้าไม่สบายใจ

เฮ่อเหลียนเฟิงพูดแทรกในทันที “ผู้เก่งกาจแห่งเมืองซูหนานของข้า ได้รับความชื่นชอบจากผู้ใหญ่สองท่าน ทำให้เจ้าเมืองอย่างข้ารู้สึกเป็นเกียรติอย่างมาก”

อู๋เชียนผ่อนคลายคิ้วลง แม้ในใจจะไม่พอใจนักแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก

เฮ่อเหลียนเฟิงโล่งอกแล้วพูดทันทีว่า “พวกเราดูการประลองเถอะ ไม่รู้รอบนี้ผลจะออกมาเป็นอย่างไร”

ตามที่พูดคุยกัน เจียงหลีเดินไปถึงบนเวทีการประลองแล้ว ยืนอยู่ตรงหน้าเย่ว์หนานซี

แววตาของเย่ว์หนานซีเผยความโหดร้ายออกมา เขายิ้มมุมปากอย่างเยือกเย็น “เจียงหลี ข้าไม่รู้ว่าเจ้าใช้วิธีอะไรหรอกนะ ถึงได้สามารถฝึกพลังได้ แต่ว่าเจ้าคิดว่าการฝึกพลังเพียงแค่สามเดือน ก็จะเป็นคู่ต่อสู้ของข้าได้เลยหรือ”

“จะใช่คู่ต่อสู้หรือไม่ ลองดูเดี๋ยวก็รู้ ผู้ชายอย่างเจ้าเหตุใดจึงพล่ามเยอะจริงๆ ไม่รำคาญตัวเองบ้างหรือ” เจียงหลียกมือขึ้น ใช้นิ้วแคะหู

ท่าทางดูไม่เหมาะสม แต่กลับทำให้คนรับรู้ได้ถึงความทะนงองอาจ

เย่ว์หนานซีถูกคำพูดของนางตอกกลับ ความชั่วร้ายในตัวยิ่งเพิ่มมากขึ้น

พลังออกมาจากตัวของเขา รวมอยู่ระหว่างฝ่ามือทั้งสองข้าง เขาพูดถากถางว่า “ถ้าเช่นนั้นก็ดี ในเมื่อเจ้าอวดดีเช่นนี้ วันนี้ข้าจะสอนให้เจ้ารู้ว่าการมีมารยาทมันเป็นอย่างไร!”

“เจ้าไม่ปลดปล่อยวิญญาณยุทธ์หรือ” เหมือนเจียงหลีไม่เห็นพลังที่อยู่ในมือเขา เลยเตือนด้วยความหวังดี

และเย่ว์หนานซีก็เหมือนกับไป๋หลี่เฟิ่งก่อนหน้านี้ เพียงแต่ว่าสายตาที่เหยียดหยามนั้นมีมากกว่าและชั่วร้ายกว่า เขาพูดอย่างเย็นชาว่า “แค่รับมือกับเจ้า ข้าไม่ต้องปลดปล่อยวิญญาณยุทธ์หรอก”

“เริ่มต่อสู้!” พูดจบ เขาตะโกนเสียงต่ำ ใช้เทคนิคการต่อสู้ของตระกูลเย่ว์ มุ่งมาข้างหน้าเจียงหลี

หมัดสังหารขั้นเจ็ดเป็นเทคนิคการต่อสู้ที่มีชื่อเสียงของตระกูลเย่ว์ในเวลานั้น

หมัดรวดเร็วและดุดันเหมือนมีด แฝงไปด้วยพลังทำลายล้าง สามารถทำลายศัตรูให้ย่อยยับได้อย่างง่ายดาย

พลังขั้นหก! เจียงหลีรับรู้ได้ถึงแรงกดดันที่มาจากเย่ว์หนานซี สายตาจ้องมอง

เย่ว์หนานซียิ้มด้วยความโหดร้าย อำนาจของหมัดสังหารขั้นเจ็ด ทำให้พื้นเวทีเสียหายเล็กน้อย “คิดไม่ถึงล่ะสิ เจ้าทำลายข้า ทำให้ข้าอับอาย ท้ายที่สุดข้าไม่เพียงรักษาบาดแผลหายแล้ว ยังมีความโชคดีในความโชคร้ายที่ได้พลังขั้นหกมา วันนี้ ข้าจะดูว่าเจ้าจะเอาชนะข้าได้อย่างไร!”

เจียงหลียิ้มเย็นชา ก้าวเท้าออกไปด้วยกระบวนท่าหนึ่งย่องพันก้าว ร่างกายกลายเป็นภาพมายา ปรากฏอยู่ทุกที่บนเวที

“เจ้าทำเป็นแค่หลบซ่อนหรือ” เย่ว์หนานซีหัวเราะเสียงดัง

ที่ห่างไกลจากเวที เจียงอวี๋และนางเหอซื่อยืนอยู่ท่ามกลางผู้คน แอบดูการประลองครั้งนี้ เจียงอวี๋ทั้งกังวลและตื่นเต้นเล็กน้อย

เห็นท่าทีที่จนตรอกของเจียงหลี นางก็รู้สึกสะใจไปด้วย

“คิดไม่ถึงว่าเจียงหลีเด็กผู้หญิงคนนี้ก็ได้ฝึกพลัง! เชอะ ไม่รู้ว่านางโชคดีอะไร แต่ว่าวันนี้เจอกับหนานซี ความโชคดีของนางคงจะสิ้นสุดลงแล้ว” นางเหอซื่อพูดด้วยน้ำเสียงอิจฉา

“ท่านแม่ ท่านพี่หนานซีต้องชนะแน่ๆ” เจียงอวี๋พูดอย่างมั่นใจมาก

นางเหอซื่อหยักหน้า “แน่นอนอยู่แล้ว หนานซีฝึกพลังมากี่ปีแล้ว ส่วนนังเด็กคนนั้นเพิ่งจะฝึกพลังได้นานแค่ไหนกัน ใช่แล้ว อวี๋เอ๋อร์ แม่ให้เจ้าไปหาหนานซี ตกลงเขายอมยกโทษให้เจ้าไหม”

“อืม” เจียงอวี๋ตามองต่ำ พยักหน้า เรื่องที่หน้าอายแบบนั้น นางไม่กล้าบอกแม่ด้วยตัวเอง

นางเหอซื่อยิ้ม “เช่นนั้นก็ดี ข้ารู้ว่าในใจหนานซีมีแต่เจ้า และเจ้าก็เป็นลูกสาวที่เชื่อฟัง ต่อไปก็รอเสวยสุขได้เลย นังเด็กผู้หญิงชั่วคนนี้ ถึงอย่างไรก็สู้เจ้าไม่ได้”

……

บนเวทีการประลอง เจียงหลีเอาแต่หลบ ยังไม่โจมตี ยั่วให้เย่ว์หนานซีโมโห เขายืนอยู่ที่เดิม ตะโกนใส่ร่างมายาว่า “เจ้าอยากให้ข้าสูญเสียพลังหรือ เหอะ เจตนาชั่วร้ายยิ่ง แม้แต่สู้กันต่อหน้ายังไม่กล้า!”

“ใช้วิธีการปั่นประสาทเช่นนั้นหรือ ได้ ข้าจะช่วยให้เจ้าสมหวังเอง!” ทันใดนั้น ร่างมายาบนเวทีของเจียงหลีก็หายไป รวมกันเป็นหนึ่งเดียว พลังรวมกันอยู่ที่หมัดของนาง พุ่งไปยังเย่ว์หนานซี

ราชินีพลิกสวรรค์

ราชินีพลิกสวรรค์

Status: Ongoing

หลังศึกใหญ่กับมู่เทียนอินร่างของ เจียงหลี ก็ถูกดูดเข้าไปในมิติอื่นจนเหลือเพียงวิญญาณที่ล่องลอยอยู่ในมิติเคว้งคว้างไร้ขอบเขต แม้จะมีเพียงวิญญาณอ่อนแอ แต่จิตใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังของนางนั้นกลับไม่อนุญาตให้ตัวเองยอมพ่ายแพ้ นางจะต้องกลับไปให้ได้ เพื่อไปหาสหายสนิทของนางผู้นั้น…

ในสนามประลองยิ่งใหญ่แห่งแคว้นซูหนาน สถานที่ที่ชีวิตของทาสทั้งหลายมีค่าเท่าเศษธุลี สถานที่ที่มีไว้เพื่อให้ความบันเทิงกับบรรดาผู้สูงศักดิ์ และนาง เจียงหลี ก็ดันฟื้นขึ้นมาในร่างของนางทาสแห่งสถานที่นี้เสียได้!

โลกแปลกหน้าที่ยึดถือผู้แข็งแกร่งเป็นใหญ่ หลิงซือ เนี่ยนซือ วิญญาณยุทธ์ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับเจียงหลี แต่นางคือผู้ใด นางคือราชินีผู้เก่งกล้าแห่งแคว้นกู่วูเชียวนะ ก็แค่ต้องฝึกฝนเบิกเนตรญาณด้วยร่างเด็กน้อยอ่อนแอ สถานะกลับตาลปัตรจากผู้สูงศักดิ์กลายเป็นทาสในเรือนของ ลู่เจี้ย ผู้ที่ได้รับฉายาหนุ่มรูปงามขี้โรค ไหนจะยังต้องฝ่าฟันกับอุปสรรคนานัปการเพื่อหาหนทางกลับไปยังโลกเดิมของตนเองอีก เพียงเท่านี้เอง นางทำได้สบายอยู่แล้ว!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท