ราชินีพลิกสวรรค์ – ตอนที่ 77 นางยังคงเปล่งประกายที่สุด

ตอนที่ 77 นางยังคงเปล่งประกายที่สุด

ราชินีพลิกสวรรค์ – ตอนที่ 77 นางยังคงเปล่งประกายที่สุด

“เจียงหลี เจ้าตายซะเถอะ!”

หลิงเจี้ยงตระกูลเย่ว์ตามมา เมื่อดวงตามองเห็นเจียงหลีข้ามเข้าไปในประตูใหญ่จวนลู่จึงร้อนใจส่งทักษะต่อสู้เพื่อฆ่านาง

และในขณะนั้นเอง ขณะที่เจียงหลีใกล้จนมุม แต่ดวงตาเป็นประกายกลับสาดส่องไปยังร่างของคนที่อยู่ตรงหน้า

“ข้ากลับมาแล้ว” นางพูดกับเขา

น้ำเสียงสงบเรียบไร้ซึ่งลูกคลื่นราวกับว่านางเพียงแค่เดินเล่นรอบถนนอย่างผ่อนคลายสบายอารมณ์

ร่างอันสูงใหญ่อ้าแขนรับร่างนางที่กระโจนใส่เขาเข้ามาในอ้อมแขน เมื่อเข้าสู่อ้อมกอดกว้างกลิ่นยาหอมเย็นก็ถูกนางสูดดมเข้าจมูก ชื่นใจจริงๆ

“ข้ารู้ว่าเจ้าต้องกลับมาให้ได้ ลำบากเจ้าแล้ว” หญิงสาวที่ลู่เจี้ยโอบกอดโชกเลือดไปทั่วกายแต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกรังเกียจเลยแม้แต่น้อย

หลิงเจี้ยงของตระกูลเย่ว์ที่ไล่ตามมานั้นไม่เคยอยู่ในสายตา ราวกับว่าไม่ได้มีอยู่มาตั้งแต่แรก

และการโจมตีหลิงเจี้ยงตระกูลเย่ว์ผู้นั้นกลับถูกทำให้ไป สายตาของเขาเต็มไปด้วยความสยองรู้สึกเหมือนก้าวสู่พื้นที่เสี่ยงจากก้นบึ้งของหัวใจ

หนี! แทบจะเป็นปฏิกิริยาตามสัญชาติญาณในทันที เขาถอดใจกับภารกิจตามฆ่าเจียงหลี จึงหันหลังคิดหนีกลับไป

และในขณะนั้นเองร่างหนึ่งเหาะมาจากในจวนตระกูลลู่ ยกสองมือใช้พลังดึงดูดเขาจากกลางอากาศให้กลับมา

“บังอาจกล้ามาเหยียบตระกูลลู่! ฆ่าเสียไม่ต้องปราณี!” ผู้ที่เข้ามาส่งเสียงคำรามด้วยความโทสะ

ได้ยินเพียงเสียงร้อง อ้ากกก! จากหลิงเจี้ยงตระกูลเย่ว์อย่างทรมาน

เจียงหลีที่กระโจนใส่อ้อมกอดของลู่เจี้ยหันไปมองด้วยความสงสัย

เป็นลู่จ้านนี่เอง! เจียงหลีหรี่ตา คนที่เหาะออกมาจากจวนลู่ เป็นเพียงแค่เงาข้างหลังแต่นางกลับระบุตัวได้ในแวบเดียว ในที่สุดเขาก็มาจนได้ ลู่เจี้ยวางแผนทุกอย่างไว้ตั้งแต่แรกแล้วหรือ

ปัง!

เสียงดังสนั่น หลิงเจี้ยงตระกูลเย่ว์โดนลู่จ้านดึงดูดกลับมาระเบิดเป็นจุลกลางอากาศ ร่างทั้งร่างกลายเป็นเศษกลุ่มก้อนเลือนรางของเลือดเนื้อตกลงไปยังด้านนอกประตูใหญ่ของจวนตระกูลลู่

ทันใดนั้นเจียงหลีรู้สึกตัวเบาหวิวเพราะถูกลู่เจี้ยช้อนอุ้มขึ้นมา นางมองกลับไปอย่างแปลกใจ ผู้ชายที่มองเท่าไหร่ก็ไม่ทะลุปรุโปร่งเสียที

เดิมทีคิดว่าหลังจากกลับมาแล้วจะคิดบัญชีกับเขา แอบบ่นในใจที่เขาปล่อยให้ตัวเองถูกตระกูลเย่ว์ตามฆ่าเช่นนี้ แต่เมื่อได้เห็นหน้าเขาแล้วนางหายโกรธทันที

ที่จริงมิใช่ว่านางไม่เข้าใจวิธีการของลู่เจี้ย อยากจะเติบโตเร็วๆ ก็ต้องเผชิญหน้ากับความเป็นความตายเพียงลำพังให้ได้ ถ้าหากยังพึ่งพาคนอื่นไปเสียทุกเรื่อง เมื่อเจอภัยอันตรายก็เสาะหาภูผาเพื่อกำบัง เช่นนั้นก็คงมิต้องเอ่ยถึงการปีนป่ายเพื่อไปสู่จุดสูงสุด

ลู่เจี้ยกล่าวไว้อย่างชัดเจนตั้งแต่แรก เขาได้เห็นถึงพรสวรรค์ของนาง หวังว่าหลังจากที่นางเติบโตอย่างรวดเร็วแล้ว จะตอบแทนตระกูลลู่และคุ้มครองตระกูลลู่ได้

“เจ้าจะทำอะไร” เมื่อถูกกอดไว้ในอ้อมแขนเจียงหลีก็ไร้ซึ่งความเหนียมอาย แขนโอนอ่อนราวกับไร้กระดูกทั้งสองข้างยกขึ้นคล้องคอลู่เจี้ยด้วยท่าทางแนบสนิท ส่งสายตายั่วเย้า

“พาเจ้าไปอาบน้ำอย่างไรเล่า” ลู่เจี้ยตอบตามตรง

“แล้วตระกูลเย่ว์นั่นจะทำเยี่ยงไรดี” เจียงหลีถามไม่จริงจังนัก

ลู่เจี้ยหยุดชะงักเท้าไว้ครู่หนึ่งก้มมองนางแล้วจึงหัวเราะเบาๆ

ทันใดนั้นเจียงหลีรู้สึกว่าความงดงามตรงหน้ามีความรู้สึกบางอย่างที่อยากใกล้ชิดก็แปรเปลี่ยนชั่วพริบตา แม่ตัวดีคนนี้นี่!

“พวกเขารังแกคนของข้า นับจากวันนี้เป็นต้นไป เมืองซูหนานจะไม่มีตระกูลเย่ว์อีกต่อไป” ลู่เจี้ยตอบนาง

เจียงหลีถึงกับผงะ แม้คำตอบจะอยู่ในความคาดหมาย แต่ทว่าสิ่งที่ลู่เจี้ยกล่าวออกมาทำไมนางถึงรู้สึกดูมารยาชอบกลล่ะ ทั้งยังพูดคำว่า คนของเขา ถูกเล่นงานเสียด้วย

ราวกับว่าจะยืนยันคำพูดของลู่เจี้ย เมื่อวาจาของเขากำลังเอ่ยจบ เจียงหลีก็มองเห็นผู้อารักขาตระกูลลู่ที่พร้อมจะพลีชีพได้ทุกเวลานับพันคน

เอ่อ…

เขาอุ้มนางต่อหน้าธารกำนัลมากมายเฉกเช่นนี้เลยหรือ

เจียงหลีกะพริบตาปริบๆ คาดเดาความคิดของชายคนนี้ไม่ถูกอีกแล้ว

“ลู่จ้าน” ลู่เจี้ยตะโกนเรียก

ลู่จ้านที่กำลังสังหารหลิงเจี้ยงตระกูลเย่ว์อยู่ด้านนอกประตูจวนหันกลับมามองด้านหลังร่างของลู่เจี้ย “นายน้อย”

เจียงหลีหันศีรษะมองไปยังลู่จ้าน ลู่จ้านก็มองมาที่นางอยู่เช่นกัน สายตาของผู้ชายคนนี้เป็นประกายวาววับทำให้นางรู้สึกปลาบปลื้ม

“ข้าต้องการให้คนของตระกูลเย่ว์ไม่หลงเหลือแม้เพียงผู้เดียว” ลู่เจี้ยกล่าวจบก็โฉบอุ้มเจียงหลีแล้วจากไป

เมื่อสองคนนั้นไปแล้วดวงตาของลู่จ้านฉายแววสังหารเย็นเฉียบ เพียงเขายกมือขึ้นคนของตระกูลลู่ก็ทยอยรุดเร่งขึ้นหลังอาชาพร้อมบุกตระกูลเย่ว์ไปกับเขา

อีกทั้งผู้อารักขาลับของตระกูลลู่ที่คอยคุ้มครองเจียงหลีในที่ซ่อนก็เข้ามาร่วมขบวนอย่างเงียบๆ

ตระกูลลู่ต่างก็ปกป้องให้ท้ายกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร!

ถ้าหากไม่ใช่เพราะลู่เจี้ยมีเจตนาเคี่ยวกรำฝึกฝน จะยอมให้ตระกูลเล็กๆ อย่างตระกูลเย่ว์รังแกเจียงหลีได้เช่นนี้เชียวหรือ

หนานอู๋เฮิ่นที่แอบตามมาตลอดกับอู๋เชียน หลังจากที่ตามมาจนถึงด้านนอกประตูใหญ่ของตระกูลลู่แต่ไม่ได้ขยับเข้าไปใกล้อีก พวกเขามาช้าเกินไปเสียแล้ว แน่นอนว่าไม่ทันเห็นฉากที่ลู่เจี้ยอุ้มเจียงหลีเดินเข้าไป เห็นเพียงแค่กองซากเลือดเนื้อที่นองอยู่หน้าประตูตระกูลลู่เท่านั้น หลิงเจี้ยงตระกูลเย่ว์ไม่เหลือแม้แต่เงา

จากนั้นกองพลที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าพวกเขา

คนแรกที่ดูเหมือนจะไหวทันว่ามีพวกเขาสองคนอยู่ หันกลับมาสำรวจยังที่พวกเขาซ่อนตัวอยู่ แววตาซ่อนสัญญาณเตือนเอาไว้

รอจนกว่าคนของตระกูลลู่เดินห่างไปไกล หนานอู๋เฮิ่นก็พูดออกมาอย่างตื่นตะลึง “คนผู้นี้แข็งแกร่งเกินไปแล้ว”

อู๋เชียนสบถอย่างเยือกเย็น “ลู่จ้านคนบ้าบิ่นของตระกูลลู่จะไม่แข็งแกร่งได้เยี่ยงไร ดูท่าทางพวกเขาสิ ราวกับว่าจะไปสร้างความเดือดร้อนให้ตระกูลเย่ว์อย่างไรอย่างนั้น”

“ที่แท้เขาก็คือลู่จ้านนี่เอง” หนานอู๋เฮิ่นนึกขึ้นได้ฉับพลัน แววตาแสดงความสนใจ

“ผู้เฒ่าอู๋ อาจารย์หนาน พวกท่านอยู่ตรงนี้นี่เอง” ขณะนี้เสียงที่มาจากด้านหลังเป็นเสียงของเฮ่อเหลียนเฟิง

ทั้งสองหันหลังไปดูก็เห็นคนกลุ่มใหญ่ปรากฏขึ้นกลุ่มหนึ่ง ด้านหลังของพวกเขายังมีกลุ่มคนตามมาอย่างคึกคักไม่น้อยเลยทีเดียว

พวกเขาเพิ่งคลาดกันกับขบวนของตระกูลลู่พอดิบพอดี

เฮ่อเหลียนเฟิงและมู่หว่านโหรวมาจากงานประลองชิงเจียว สาเหตุหลักเพราะคนสำคัญของงานประลองชิงเจียวอย่างไป๋หลี่เฟิ่งหายจากไปอย่างกะทันหัน

ขณะนี้ไป๋หลี่เฟิ่งก็อยู่ในกลุ่มคนด้วย เขามาในครั้งนี้เพราะถูกดึงดูดจากการเคลื่อนไหวในการต่อสู้เมื่อครู่

เขาแวะดูสถานที่ที่เจียงหลีต่อสู้กับหลิงเจี้ยงทั้งสี่ของตระกูลเย่ว์แล้ว พิจารณาจากซากปรักหักพัง เขาก็สามารถจินตนาการถึงความดุเดือดในการต่อสู้ได้

ที่สำคัญที่สุด เขายังได้ยินจากปากชาวบ้านข้างทางที่เล่าลืออีกว่าเจียงหลีนางทาสของตระกูลลู่ต่อสู้เพียงลำพังกับหลิงเจี้ยงทั้งสี่ของตระกูลเย่ว์ ไม่เพียงแต่ไม่ตายเท่านั้นนางยังกลับฆ่าได้ถึงสามคน

ระดับการต่อสู้เช่นนี้ ไร้เทียมทานยิ่งนัก!

แม้จะเป็นเขาต่อให้ได้ถึงระดับนี้ก็คงดูไม่จืด

“ท่านอาจารย์หนาน ท่านผู้เฒ่าอู๋ เกิดอะไรขึ้นกันนี่ ตอนที่พวกข้ารุดมาได้ยินผู้คนลือกันว่าเจียงหลีผู้นั้นฆ่าหลิงเจี้ยงตระกูลเย่ว์ตายไปถึงสามคนเชียวหรือ” เมื่อพบพวกเขาเฮ่อเหลียนเฟิงจึงถามขึ้นมาอย่างอดทนรอไม่ไหว

ผลลัพธ์เช่นนี้น่าเหลือเชื่อจริงๆ

สีหน้าของอู๋เชียนมีความกล้ำกลืน มองไปยังใบหน้าเย็นชาของมู่หว่านโหรว ขณะเดียวกันสายตาของนางที่กวาดมองไป๋หลี่เฟิ่งก็ดูไม่ออกว่านางกำลังคิดการสิ่งใดอยู่

หนานอู๋เฮิ่นกลับพยักอย่างหน้าแช่มชื่น “ท่านเจ้าเมือง ท่านไม่ได้ตามมา ช่างพลาดโอกาสดูฉากที่น่าตื่นตาตื่นใจเสียจริงๆ เจียงหลีผู้นี้ ระหว่างดู ข้าว่านางเปล่งประกายที่สุด งานประลองชิงเจียวเมื่อเทียบกับนางแล้วดูจืดไปเลยล่ะ”

เมื่อเขาพูดเช่นนี้ใครก็ตามที่เห็นเจียงหลีต่อสู้ด้วยตาของเขาเองก็ไม่กล้าที่จะหักล้างและพวกเขาก็เห็นด้วยอย่างยิ่ง

ความจริงถ้าพวกเขาเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ พวกเขาคงไม่สามารถต่อสู้ได้อย่างแน่นอน ทำไม่ได้เช่นเจียงหลี ที่ต่อสู้สุดชีวิตอย่างไม่เกรงกลัวความตาย

ทว่ามู่หว่านโหรวไม่ได้เห็นกับตา เมื่อได้ยินหนานอู๋เฮิ่นวิพากษ์วิจารณ์เข้าจึงขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วถามว่า “ท่านอาจารย์หนานกล่าวเช่นนี้ ไม่เกินจริงไปหน่อยหรือ”

ราชินีพลิกสวรรค์

ราชินีพลิกสวรรค์

Status: Ongoing

หลังศึกใหญ่กับมู่เทียนอินร่างของ เจียงหลี ก็ถูกดูดเข้าไปในมิติอื่นจนเหลือเพียงวิญญาณที่ล่องลอยอยู่ในมิติเคว้งคว้างไร้ขอบเขต แม้จะมีเพียงวิญญาณอ่อนแอ แต่จิตใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังของนางนั้นกลับไม่อนุญาตให้ตัวเองยอมพ่ายแพ้ นางจะต้องกลับไปให้ได้ เพื่อไปหาสหายสนิทของนางผู้นั้น…

ในสนามประลองยิ่งใหญ่แห่งแคว้นซูหนาน สถานที่ที่ชีวิตของทาสทั้งหลายมีค่าเท่าเศษธุลี สถานที่ที่มีไว้เพื่อให้ความบันเทิงกับบรรดาผู้สูงศักดิ์ และนาง เจียงหลี ก็ดันฟื้นขึ้นมาในร่างของนางทาสแห่งสถานที่นี้เสียได้!

โลกแปลกหน้าที่ยึดถือผู้แข็งแกร่งเป็นใหญ่ หลิงซือ เนี่ยนซือ วิญญาณยุทธ์ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับเจียงหลี แต่นางคือผู้ใด นางคือราชินีผู้เก่งกล้าแห่งแคว้นกู่วูเชียวนะ ก็แค่ต้องฝึกฝนเบิกเนตรญาณด้วยร่างเด็กน้อยอ่อนแอ สถานะกลับตาลปัตรจากผู้สูงศักดิ์กลายเป็นทาสในเรือนของ ลู่เจี้ย ผู้ที่ได้รับฉายาหนุ่มรูปงามขี้โรค ไหนจะยังต้องฝ่าฟันกับอุปสรรคนานัปการเพื่อหาหนทางกลับไปยังโลกเดิมของตนเองอีก เพียงเท่านี้เอง นางทำได้สบายอยู่แล้ว!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท