ราชินีพลิกสวรรค์ – ตอนที่ 82 จะไปหรือไม่ไปดีล่ะ
เจียงหลีก้าวขึ้นรถม้า คนรูปหล่อที่อยู่ในรถม้าถือว่าเป็นทัศนียภาพงดงามที่สุดในโลก นางจึงผ่อนคลายไอเย็นยะเยือกออกจากร่างกายทันที
“หายโกรธแล้วหรือ” ลู่เจี้ยมองนางอ้อยอิ่งด้วยสายตาประกายรอยยิ้ม
น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนเต็มไปด้วยความเอ็นดู
ทำให้เจียงหลีได้สติขึ้นมาจากความงามของเขา แล้วจับอารมณ์เขาไม่ถูก
น่าแปลกถ้าหากลู่เจี้ยไม่ดีกับนาง นางกลับรู้สึกสบายใจยิ่งกว่า หากเขาดีกับนางแล้ว นางรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้มีจุดประสงค์แอบแฝงอยู่ตลอดเวลา
คำถามของลู่เจี้ยทำให้เจียงหลีพยักหน้า “อืม ตระกูลเย่ว์ จบสิ้นแล้ว”
นางพูดในขณะที่นั่งลงข้างลู่เจี้ย มองไปที่เขา จู่ๆ ก็พูดจาเข่นเขี้ยว “แต่เรื่องที่ท่านเห็นคนกำลังจะตายกลับไม่ช่วยเยี่ยงนี้ ข้าไม่จบสิ้นกับท่าน”
“เช่นนั้นเอาทรัพยากรการฝึกของตระกูลเย่ว์ให้เจ้าถือเป็นการชดใช้ความผิด” ลู่เจี้ยหัวเราะเบาๆ ให้กับท่าทางเขม่นเข่นเขี้ยวของนาง
เอ่อ!
เจียงหลีอึ้งไปครู่หนึ่ง ขอการยืนยันจากเขาด้วยดวงตาเปล่งประกายวาววับ “พูดจริงหรือ ท่านจะเอาทรัพยากรการฝึกของตระกูลเย่ว์ทั้งหมดให้ข้าอย่างนั้นหรือ”
ลู่เจี้ยพยักหน้า “อืม”
“คำพูดท่านเชื่อได้จริงหรือ” เจียงหลีมีความรู้สึกไม่อยากเชื่อเล็กน้อย ทำไมจู่ๆ ลู่เจี้ยถึงได้ใจกว้างเช่นนี้
“เชื่อได้” ลู่เจี้ยพยักหน้ายืนยันอีกครั้ง
“ไม่มีจุดประสงค์อื่นใช่ไหม” เจียงหลีมองเขาด้วยแววตาสงสัย
“ไม่มี” เป็นครั้งแรกที่ลู่เจี้ยส่ายหน้า
บุญหล่นทับข้าแล้ว หรือว่านายน้อยรูปงามจะยังไม่ตื่นนะ เจียงหลีพึมพำในใจ แล้วจู่ๆ ก็ยกยิ้มขึ้น “ได้ ข้าจะจำคำท่านไว้”
ทันใดนั้นนางชูกำปั้นใส่หน้าพร้อมขู่เสียงดุ “ถ้าข้ารู้ว่าท่านวางแผนกับข้าล่ะก็…ฮึ่มๆ…”
ท่าทางข่มขู่ของนางทำให้ลู่เจี้ยยกยิ้มที่มุมปากเบาๆ “ถ้าทำให้เจ้าไม่วางใจเช่นนี้ เช่นนั้นข้าจะบอกเหตุผลให้เจ้า”
“เหตุผลอะไร” เจียงหลีกระพริบตาหูตั้ง
ลู่เจี้ยยกยิ้มมุมปากสูงขึ้น “เจ้าดูดซึมทรัพยากรในการฝึกได้มากกว่าคนธรรมดาทั่วไปนัก ทรัพยากรการฝึกของตระกูลเย่ว์นี้อย่างน้อยก็ช่วยเลี้ยงเจ้าได้สักระยะหนึ่ง”
“…” เจียงหลีอึ้ง
เดี๋ยว…นะ…
หน็อยแน่! ที่แท้เจ้าจิ้งจอกรูปงามนี่กำลังรังเกียจอ้อมๆ ว่านางตะกละหรือ
เข้าใจสาเหตุแล้ว หัวใจเจียงหลีที่ระแวงว่าจะถูกซ้อนแผนอย่างไม่รู้ตัวจึงสงบลง นางยิ้มเย็นชา “ข้าไม่สนเรื่องนี้ ตอนแรกเราตกลงกันแล้ว ท่านให้ทรัพยากรกับข้า หลังจากที่ข้าเติบโตจนสามารถคุ้มครองตระกูลลู่ได้ นี่คือการร่วมมือกัน ได้ผลประโยชน์ร่วมกัน ฉะนั้นไม่ว่าข้าต้องการทรัพยากรการฝึกมากเท่าไหร่ ตระกูลลู่จะต้องมอบให้ข้า ไม่เช่นนั้นข้าจะสะบัดตูดออกไปซะ”
“สัญญาซื้อขายทาสของเจ้าอยู่ในมือข้า เจ้าจะไปไหนได้” ลู่เจี้ยมองนางแล้วขำ
ดวงตาเป็นประกายของเจียงหลีฉายแววเย่อหยิ่ง “เจ้าคิดว่าจักรพรรดินีอย่างข้าจะสนใจสัญญาขายทาสจริงๆ อย่างนั้นหรือ”
ลู่เจี้ยส่ายหน้ายิ้มๆ “เจ้าไม่สนใจก็ได้ แต่เจ้าอยู่ในโลกนี้ สัญญาทาสเป็นพยานบอกสถานะของเจ้าได้ ไม่มีสถานะ เจ้าจะก้าวไปทางไหนก็ลำบาก”
คำพูดของเขาทำเอานางถึงกับขมวดคิ้ว
บรรยากาศภายในรถม้าจึงเงียบลงทันที ขณะเดียวกันก็มีเสียงดังมาจากข้างนอกรถม้า
“ข้าน้อยหนานอู๋เฮิ่นจากสถาบันไป๋หยวนขอเข้าพบนายน้อยลู่ขอรับ” ที่แท้ก็เป็นหนานอู๋เฮิ่นนี่เอง
เขาไม่ได้เข้าไปใกล้รถม้าเพียงแต่ยืนรออยู่ไกลๆ เพราะการถ่ายทอดเสียงของพลังปราณจึงทำให้สองคนบนรถม้ารับรู้การมาถึงของเขา
การปรากฏตัวของหนานอู๋เฮิ่นทำลายความเงียบแปลกๆ ภายในรถม้า
เจียงหลีค้อมศีรษะมองด้านนอกหน้าต่างทั้งที่ยังไม่ได้เลิกผ้าม่านรถขึ้น เพียงแต่พึมพำถามด้วยความสงสัย “คนของสถาบันไป๋หยวน เขามาทำอะไร”
แต่ลู่เจี้ยกลับไม่รู้สึกประหลาดใจเลยสักนิด ยิ้มเล็กน้อยแล้วอธิบายให้เจียงหลีคลายความสงสัย “เพราะวันนี้หลีเอ๋อร์แสดงฝีมือให้ทุกคนเห็น คงเข้าตากรรมการอย่างหนานอู๋เฮิ่นแล้วล่ะ น่าจะอยากพาเจ้าเข้าสถาบันไป๋หยวน”
“หนานอู๋เฮิ่นผู้นี้เป็นใคร” เจียงหลีถามอย่างสนใจ
นางทราบดีว่าการกระทำของนางวันนี้ทำให้ผู้หลักผู้ใหญ่ประหลาดใจบ้าง แต่ไม่คิดว่าคนของสถาบันไป๋หยวนจะเป็นฝ่ายมาหาก่อน
“ในสถาบันไป๋หยวนมีสามยอดนักปราชญ์ ที่คนภายนอกรับรู้คือ พวกเขาฝึกฝนถึงระดับหลิงไซว่ในขั้นสูง ภายใต้สามยอดนักปราชญ์มีศิษย์เอกวีรบุรุษทั้งเจ็ด ล้วนกำลังฝึกในระดับหลิงไซว่ขั้นต้นและขั้นกลาง หนานอู๋เฮิ่นผู้นี้เป็นที่หนึ่งในเจ็ดวีรบุรุษ ตำแหน่งของเขาในสถาบันไป๋หยวนก็เป็นรองแค่สามยอดนักปราชญ์เท่านั้น” ลู่เจี้ยแนะนำ
“ที่คนภายนอกรับรู้?” เจียงหลีได้ยินในคำพูดของลู่เจี้ย น่าสนใจทีเดียว
ลู่เจี้ยยิ้มแล้วไม่อธิบายอะไรมากมายอีก จากนั้นจึงพูดกับหนานอู๋เฮิ่นที่รอคอยด้านนอกรถม้า “ท่านอาจารย์หนานมาไกลถึงซูหนาน ร่างกายของเจี้ยอ่อนแอนัก อีกทั้งยังมิได้เข้าคาราวะ เป็นความผิดของเจี้ยเอง”
หนานอู๋เฮิ่นเคยยื่นจดหมายขอเข้าคาระวะตระกูลลู่ เรื่องนี้ลู่เจี้ยทราบดีอยู่แล้ว
น้ำเสียงของลู่เจี้ยไพเราะอ่อนหวานและถ่อมตนเหมือนไม่ใช่คนธรรมดา หนานอู๋เฮิ่นลอบถอนหายใจ ดูแล้วข่าวลือน่าจะเป็นจริง นายน้อยลู่เจี้ยผู้นี้จะตายก่อนวัยอันควรเป็นเรื่องแน่ชัดแล้ว
“นายน้อยเกรงใจเกินไปแล้ว เป็นอู๋เฮิ่นเองที่มาโดยมิได้นัดหมาย รบกวนความสงบของนายน้อยแล้ว” หนานอู๋เฮิ่นเก็บงำความคิดไว้ในใจ
เขาแปลกใจในรูปลักษณ์อันงดงามของลู่เจี้ยยิ่งนัก แต่กลับไม่พูดออกมาในตอนนี้
“ข้าน้อยขอรบกวน อู๋เฮิ่นเพียงมีเรื่องหนึ่งอยากจะถามความเห็นจากนายน้อย” หนานอู๋เฮิ่นเข้าประเด็นคำถามตามตรง
“ท่านอาจารย์หนานเชิญกล่าวมาเถิด” ลู่เจี้ยพูด
หลังจากหนานอู๋เฮิ่นพิจารณาดีแล้วจึงเอ่ยออกมา “ไม่กล้าปิดบังนายน้อย อู๋เฮิ่นมาเพื่อแม่นางเจียงหลีในจวนของท่าน แม่นางเจียงหลีมีพรสวรรค์เหนือใคร ถ้าหากสามารถเข้ามาฝึกในสถาบันไป๋หยวนของข้าได้ จะเป็นการดีต่อทั้งนางและสถาบันไป๋หยวน”
เจียงหลีนึกขำอยู่ในรถม้า
เห็นได้ชัดว่าหนานอู๋เฮิ่นมาเพราะตัวนางเองแล้วรู้อีกด้วยว่านางนั่งอยู่ในรถแต่กลับไม่ถามความคิดเห็นของนางที่เป็นเจ้าของเรื่อง กลับถามแค่ลู่เจี้ยเท่านั้น
แล้วท่าทางของเขาต่อลู่เจี้ยทั้งยังทำให้นางรู้สึกแปลกใจ
ตามที่ได้กล่าวมา โดยตำแหน่งของหนานอู๋เฮิ่นไม่ควรจะถ่อมตนต่อนายน้อยขี้โรคเช่นนี้
“เรื่องนี้ไว้ค่อยพูดกันเถิด เจี้ยเหนื่อยแล้ว เชิญท่านอาจารย์หนานมาที่จวนในวันอื่น” ลู่เจี้ยไม่ได้ให้คำตอบในทันที
คำพูดนี้หนานอู๋เฮิ่นก็พอจะคาดการณ์ได้ เขาไม่ได้โกรธ เพียงแต่รับคำพูดของลู่เจี้ย ถอยหลังไปหลายก้าว “เช่นนั้น อู๋เฮิ่นค่อยไปคารวะตระกูลลู่ในวันอื่น”
ภายในรถม้าไม่มีคำพูดใดๆ ตอบกลับไปอีก
แล้วรถม้าที่เทียบจอดในมุมเงียบมาตลอดก็หันกลับออกไปจากตระกูลเย่ว์ที่ถึงคราวจุดจบ
ภายในรถม้าที่ส่ายไปมา เจียงหลีเงียบไม่พูดสิ่งใด ดวงตาคู่สวยของลู่เจี้ยมองไปที่นาง “หลีเอ๋อร์โกรธที่หนานอู๋เฮิ่นพูดหรือ”
เจียงหลีเหลือบมองเขาแวบหนึ่งไม่พูดจา
ลู่เจี้ยยิ้มขำ “ที่จริงเจ้าน่าจะเข้าใจดี ข้าเป็นนายเจ้าเป็นบ่าว ในที่นี้บ่าวทาสไม่มีตำแหน่ง ไม่มีสิทธิ์เลือก นาย ในสายตาคนบนโลก เจ้าเป็นทาสของตระกูลลู่ ทุกสิ่งทุกอย่างของเจ้าต้องผ่านการยินยอมจากข้า”
เจียงหลีหดหู่ นางเข้าใจเหตุผล แต่ก็ไม่สบายใจจริงๆ
คิดๆ ดูแล้วโลกก่อนหน้านางอยู่เบื้องสูง ในโลกนี้นางได้กลายเป็นทาสที่ใช้ชีวิตโดยพึ่งพาเจ้านายของนางอย่างนั้นหรือ
เหอะ ช่างน่าขันยิ่งนัก
“หลีเอ๋อร์เจ้าอยากไปสถาบันไป๋หยวนหรือไม่” จู่ๆ ลู่เจี้ยก็ถามขึ้น