ราชินีพลิกสวรรค์ – ตอนที่ 87 ขอมอบคำว่า “หย่า” ให้ท่าน
“เจ้าช่างบังอาจยิ่งนัก!”
มู่หว่านโหรวยังไม่ทันได้พูด อู๋เชียนก็โกรธเจียงหลีไปเสียแล้ว “เป็นแค่ทาสหญิง ต่อหน้าองค์หญิงเจ้าจะมีสิทธิ์พูดอะไร”
“เจ้าสิบังอาจ! ที่นี่เป็นที่อยู่อาศัยตระกูลลู่ของข้า นายน้อยของบ้านข้ายังไม่ได้พูด จะปล่อยให้สุนัขต่างถิ่นมาเห่าที่นี่ได้อย่างไร ไม่ว่าเจ้าจะหยิ่งแค่ไหน เจ้าก็จะต้องถูกไล่ตีออกไป!” ทันใดนั้นสายตาของเจียงหลีก็คมกริบขึ้นมา ดวงตาที่คมกริบนั้นทอดสายตาไปที่อู๋เชียน
“เจ้า!” อู๋เชียนไม่เคยถูกทำให้อับอายเท่านี้มาก่อน
ภายใต้ความโกรธ เขาได้ปลดปล่อยพลังวิญญาณออกมา
การฝึกฝนของอู๋เชียนเป็นขั้นสูงสุดคือระดับเก้าของหลิงเจี้ยง และเขาอยู่ห่างจากหลิงไซว่เพียงหน่อยเดียว ในขณะนี้ภายใต้ความโกรธ เขาได้ปลดปล่อยพลังวิญญาณ ซึ่งเป็นพลังที่มีความรุนแรงและมองไม่เห็น ได้เปล่งออกมาจากตัวเขาเหมือนน้ำวน ทำให้โต๊ะเก้าอี้โดยรอบกลายเป็นผงและลอยอยู่ในอากาศ
“เจ้าสุนัขเฒ่า! คิดจะรังแกข้า คิดว่าตระกูลลู่ไม่มีคนแล้วหรือไง!” เจียงหลีไม่กลัวพลังของอู๋เชียน และได้ก้าวไปข้างหน้า ในขณะที่นางก้าวออกไป พลังบนร่างของนางก็ระเบิดออกมา และภาพของเลี่ยเทียนซื่อได้ปรากฏอยู่ด้านหลังนาง
ภายนอกมีเสียงฝีเท้าที่เร่งรีบดังมา
เห็นได้ชัดว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในที่นี่ ทำให้องครักษ์ของตระกูลลู่ตื่นตระหนกนัก
“ใครกันที่มาเสียมารยาทในตระกูลลู่ของข้า!” เสียงตะโกนที่ดังสนั่นเหมือนเสียงฟ้าฟาด ร่างของลู่จ้านก็ได้ปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศอย่างไม่คาดคิด และได้ยกมือขึ้นแล้วจู่โจมไปทางอู๋เชียน
ทันใดนั้น เหมือนมีม้าพันตัวคำราม พวกมันมุ่งไปข้างหน้า เพื่อบดขยี้พลังของอู๋เชียน ไม่เพียงเท่านี้ พลังฝ่ามือนี้ได้ตกลงมาที่ร่างของอู๋เชียนโดยตรง ทำให้เขาลอยตัวขึ้นกลางอากาศทันที แล้วตกลงมาอยู่นอกห้องโถง ทุกอย่างเกิดขึ้นในพริบตา หลังจากทุกอย่างจบลง ลู่จ้านก็ลงมาอยู่ในห้องโถงประหนึ่งไม่มีอะไรเกิดขึ้น ด้วยสายตาที่เย็นชาราวกับใบมีดที่คมกริบ กวาดตามองดู ‘แขก’ เหล่านั้นของตระกูลลู่
พายุดูเหมือนจะสงบลงแล้ว
อย่างไรก็ตาม โต๊ะและเก้าอี้ในห้องโถงถูกทำลายจนเกือบหมดสิ้น เว้นแต่ม้านั่งอวิ๋นจิ่นตัวยาวของลู่เจี้ย
“ข้าเป็นคนของสำนักหลิงอู่ พวกเจ้าตระกูลลู่ต้องการจะก่อกบฏหรือ” น้ำเสียงที่โกรธของอู๋เชียนดังมาจากด้านนอกห้องโถง
ลู่จ้านหัวเราะเยาะ “การฆ่าเจ้าเป็นการกบฏอย่างนั้นหรือ เจ้ามองตัวเองสูงส่งเกินไปแล้ว”
“ลู่จ้าน ส่งแขก” ในเวลานี้ลู่เจี้ยเปิดปากพูด และน้ำเสียงของเขายังคงเบาบางเสมือนไอหมอก
ลู่จ้านลดความเย่อหยิ่งลงทันที และกล่าวด้วยความเคารพว่า “ขอรับ!”
เมื่อพูดจบ หลิงเจี้ยงทั้งสองในตระกูลลู่ ซ้ายคนหนึ่งขวาคนหนึ่งเข้าไปจับอู๋เชียนทันที หยุดการดิ้นรนและคำพูดของเขา แล้วพาเดินตรงไปที่ประตูใหญ่ โดยไม่เห็นแก่หน้าของสำหนักหลิงอู่และมู่หว่านโหรวแม้แต่น้อย
หนานอู๋เฮิ่นไม่ขยับ เขามองไปที่ลู่เจี้ยที่สงบนิ่งตั้งแต่ต้นจนจบ ดวงตาของเขาเปล่งประกาย เมื่อเห็นลู่เจี้ยครั้งแรก รู้สึกสับสนกับความงามของเขา แต่เมื่อมองดูเขาในเวลานี้ กลับรู้สึกว่ามีความไม่ธรรมดา แม้ว่าจะไม่สามารถฝึกฝนวรยุทธ์ แต่ยังทำให้ผู้อื่นรู้สึกเกรงขามได้
ต่อหน้าลู่เจี้ย แม้แต่เขาผู้เป็นหลิงไซว่ ก็ยังต้องยับยั้งพลังของเขาเอาไว้ และแสดงความเคารพ นี่คือเจ้านายน้อยที่บอบบางแห่งตระกูลลู่ ที่ผู้คนกล่าวขานกันว่าเป็นคนงดงามป่วยขี้โรคนั่นหรือ
หนานอู๋เฮิ่นรู้สึกประหลาดใจ สายตาของเขามองไปรอบๆ ตัวเจียงหลีกับลู่เจี้ย ด้วยความตื่นเต้น เขารู้สึกว่า การมาซูหนานในครั้งนี้ เป็นการเดินทางที่คุ้มค่าจริงๆ!
“ลู่เจี้ย เจ้าก็อย่าได้ทำเกินกว่าเหตุ! อย่างไรก็ตามอู๋เชียนก็เป็นผู้อาวุโสของสำนักหลิงอู่” การแสดงออกทางสีหน้าของมู่หว่านโหรวในเวลานี้ได้สงบลงแล้ว และปรากฎความสง่างามขององค์หญิงออกมา
ในขณะนี้ลู่จ้านได้ถอยกลับไปหาลู่เจี้ย เขาเป็นชายคนหนึ่ง ไม่สะดวกที่จะโต้เถียงกับองค์หญิงอันผิง
แต่ว่าเจียงหลีกลับไม่รู้สึกว่าไม่มีอะไรที่ต้องเกรงใจ นอกจากนี้นางยังยืนอยู่ข้างๆ ลู่เจี้ย และมองไปที่มู่หว่านโหรวด้วยความเย่อหยิ่ง “เขาเป็นเพียงสุนัขแก่ตัวหนึ่งที่เรียกร้องความสนใจก็เท่านั้น องค์หญิงท่านมีคุณธรรมสูงส่ง อย่าพูดแทนเขาเลย”
ดวงตาของมู่หว่านโหรวเย็นลง กวาดสายตาไปทางเจียงหลี
ก่อนหน้านี้ นางทาสคนนี้ทำให้นางอับอาย แต่นางก็ไม่ได้ว่าอะไร
“นี่ตระกูลลู่สอนทาสให้เป็นแบบนี้กันหรือ”
“หลีเอ๋อร์นั้นดีมาก” ลู่เจี้ยยิ้มเล็กน้อย
น้ำเสียงนั้น ดูเหมือนจะพูดกับมู่หว่านโหรว ทาสของข้า จะเอ็นดูอย่างไรก็ได้ จะตามใจอย่างไรก็ได้ตามที่ข้าต้องการ!
ท่าทีของเขา ทำให้หัวใจของมู่หว่านโหรวลุกเป็นไฟด้วยความโกรธ
นางเป็นคนอารมณ์เย็น และมีน้อยคนที่จะทำให้นางโกรธได้ อย่างไรก็ตามในวันนี้ที่ตระกูลลู่ นางโกรธแล้วจริงๆ
“องค์หญิงอันผิง” คำพูดของลู่เจี้ย ทำให้เจียงหลีพอใจอย่างมาก นางมองไปที่มู่หว่านโหรว อย่างไม่ถ่อมตัวและเอาแต่ใจแล้วกล่าวว่า “นายน้อยของบ้านข้าได้ลั่นวาจาไปแล้ว แต่ท่านยังคงรีบร้อนเกินไป ท่านมาที่นี่ในวันนี้ก็ดีเหมือนกัน โปรดนำหนังสือหย่ากลับไปด้วยเถิด”
“… “
“… “
ใบหน้าที่สวยงามและเย็นชาของมู่หว่านโหรว แสดงสีหน้าตกตะลึง
หนานอู๋เฮิ่นมองไปที่เจียงหลีและลู่เจี้ยด้วยความประหลาดใจ
นี่มันอะไรกัน องค์หญิงอันผิงมาเผื่อยกเลิกการสมรสด้วยตนเองไม่ใช่หรือ เหตุใดตอนนี้เรื่องกลับตาลปัตรเปลี่ยนเป็นนางต้องเป็นคนได้รับหนังสือยกเลิกการสมรสไปเสียแล้ว
คำพูดของเจียงหลี ไม่เพียงทำให้ลู่จ้านและองครักษ์คนอื่นๆ ของตระกูลลู่ตกตะลึง แต่ยังทำให้ใบหน้าของมู่หว่านโหรวเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน!
“ข้ากับเขายังไม่ได้เสกสมรสกัน จะมีหนังสือหย่ามาจากไหนกัน” หว่านโหรวกล่าววาจาออกไป นี่ถ้าไม่ใช่เพราะนางมีสติดี ไม่เช่นนั้นนางคงลงมือด้วยความโกรธเหมือนอู๋เชียนเป็นแน่
เจียงหลีเม้มริมฝีปากแล้วยิ้ม นางมองไปที่ลู่เจี้ยด้วยหางตา และรอยยิ้มที่มุมปากของเขา รวมทั้งสายตาแวววาวนั้นที่สามารถมองเห็นได้ในระยะใกล้ ก็ได้หลบหายไปในที่ลึกสุดของดวงตา รอยยิ้มของนางก็เบิกกว้างขึ้นอย่างไม่รู้ตัวและพูดกับมู่หว่านโหรวว่า “นี่ไม่ใช่จุดประสงค์ในการเดินทางมาที่นี่ของขององค์หญิงหรอกหรือ ทำไม เมื่อเห็นความงามของนายน้อยบ้านข้าแล้ว ก็คิดเสียดายสินะ”
ในขณะที่พูด นางไม่สนใจสีหน้าที่น่าเกลียดของมู่หว่านโหรว และพูดด้วยเสียงที่ดังอีกว่า “เอาตลับหมึกมา!”
ในไม่ช้า คนใช้ของตระกูลก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี และส่งสิ่งที่เจียงหลีต้องการให้นาง
ในห้องนอกจากคนของมู่หว่านโหรว และหนานอู๋เฮิ่นที่กำลังมองดูเหตุการณ์อยู่แล้ว ยังมีทหารองครักษ์ของตระกูลลู่ที่ล้อมรอบไว้อีกสามชั้น
อย่าทำเป็นเล่นไป นายน้อยของพวกเขาเกือบถูกสุนัขบ้ากัดเข้าให้แล้ว แน่ทีเดียวว่าพวกเขาต้องคอยรับใช้อยู่ใกล้ๆ!
แน่นอนว่า พวกเขาไม่มีวันยอมรับว่าที่เฝ้าอยู่ตรงนี้นั้น เพราะพวกเขาต้องการอยู่ดูเหตุการณ์!
มู่หว่านโหรวจ้องไปที่เจียงหลี และดูมือของนางที่จุ่มพู่กันลงในหมึก และส่งให้ลู่เจี้ย ในดวงตาที่เย็นชานั้น ประหนึ่งจะมีไฟระเบิดออกมา
“หลีเอ๋อร์เขียนแทนข้าทีเถอะ” ใครจะรู้ได้ว่าลู่เจี้ยจะพูดอย่างสบายๆ ได้เช่นนี้
มู่หว่านโหรวคิดว่าลู่เจี้ยจะห้าม ไม่ให้เจียงหลีทำสิ่งที่ไม่ควรอย่างไร้ยางอาย แต่ไม่คาดคิดว่า เขาจะพูดเช่นนั้น ทันใดนั้นดูเหมือนนางจะเข้าใจคำพูดที่ว่า ‘หลีเอ๋อร์นั้นดีมาก’ แล้ว
ลู่เจี้ย! กับทาสหญิงคนหนึ่ง เจ้ากลับตามใจนางเพียงนี้เชียวหรือ มือของมู่หว่านโหรวที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อนั้น กำหมัดขึ้นแน่นอย่างเงียบๆ พลังวิญญาณเป็นเส้นๆ ล้อมรอบหมัดกำปั้นทั้งคู่ของนาง
แต่เจียงหลีที่อยู่ข้างที่นั่งอวิ๋นจิ่น นางเลิกคิ้วขึ้นหลังจากได้ยินคำพูดของลู่เจี้ย และไม่ได้พูดอะไรมาก ลงมือวาดเขียนขึ้นอย่างคล่องแคล่ว
ในไม่ช้า ภารกิจก็เสร็จสิ้น
เจียงหลีมองไปที่หมึกบนกระดาษ แล้วพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ จากนั้นนางสะบัดพู่กันกลับ คว้ากระดาษที่เขียนเสร็จแล้วโยนมันไปที่มู่หว่านโหรว และกล่าวอย่างเคร่งเครียดว่า “รับสิ่งที่เจ้าต้องการ แล้วออกไปจากตระกูลลู่ซะ!”
ขณะที่กระดาษกำลังล่องลอยอยู่ในอากาศ และมีตัวอักษรที่หมึกยังไม่แห้งดี ทุกคนจ้องมองไปที่มัน ปรากฎคำว่า ‘หย่า’ ขนาดใหญ่เขียนอยู่บนกระดาษนั่น…