ราชินีพลิกสวรรค์ – ตอนที่ 120 ขจัดความอึดอัดใจของนายน้อย

ตอนที่ 120 ขจัดความอึดอัดใจของนายน้อย

“จับสาวใช้เหิมเกริมนี้เอาไว้!”

มู่เจิ้งเฟิงโมโห หน้าตาของเขา หน้าตาของราชวงศ์ฉู่ จะต้องได้รับการชดใช้!

ที่น่าชังที่สุดก็คือ คืนนี้เดิมทีเป็นเขาที่ต้องการเหยียดหยามตระกูลลู่ เหยียดหยามลู่เจี้ย กลับคิดไม่ถึงว่ากับดักที่เตรียมเอาไว้ จะถูกสาวใช้คนหนึ่งทำลายเสียได้ ไม่เพียงเช่นนี้ ยังตอกกลับได้เฉียบขาดถึงเพียงนี้ได้

ผลลัพธ์เช่นนี้ เขาทนรับมันไม่ได้!

เมื่อเขาพูดจบ ทหารรักษาพระองค์ที่เฝ้าอยู่หน้าตำหนัก เสื้อเกราะเสียดสีกันทะลักกันเข้ามา ชักดาบข้างเอวยืนล้อมลู่เจี้ยและเจียงหลีในพระตำหนักนั้น

“ฝ่าบาท!” ทันใดนั้นเอง เสียงตะโกนก็ดังขึ้น

สายตาเยือกเย็นและน่าเกรงขามของมู่เจิ้งเฟิง กลอกกลิ้งช้าๆ แล้วตกกระทบบนตัวพระชายาลู่

สายตาเขาเหลือบไปเห็นลู่จ้านที่เต็มไปด้วยพลังวิญญาณในฝ่ามือ ตระกูลลู่! จวนตระกูลลู่! มู่เจิ้งเฟิงกัดฟันโกรธแค้นในใจ

ต่างก็กล่าวกันว่า จะยอมให้ผู้อื่นมานอนอยู่ใต้เตียงได้อย่างไร ตระกูลลู่ที่ยึดครองมาหลายร้อยปี สำหรับเขาแล้ว ก็คือคนนอกนี่เอง ตระกูลลู่ไม่กำจัดทิ้ง เขาเกรงว่าตำแหน่งผู้ปกครองเมืองนี้จะไม่มั่นคงเป็นแน่!

“พระชายาลู่มีอะไรจะรับสั่งหรือ” มู่เจิ้งเฟิงน้ำเสียงเย็นเยือก

พระชายาลู่สีหน้าเฉยชา “การเดิมพันครั้งนี้อยู่ภายใต้สายตาของผู้คนมากมาย ในเมื่อองค์หญิงรัฐฉู่สู้คนอื่นไม่ได้ ก็ถือว่าแพ้ไป เวลานี้ฝ่าบาททำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรหรือเพคะ”

มู่เจิ้งเฟิงส่งเสียงโกรธเคือง โอรสสวรรค์โมโห “เดิมพันก็จริง แต่ทุบตีองค์หญิงรัฐเพื่อนบ้านจนมีสภาพเช่นนี้ ยังไม่พอให้ข้าลงโทษนางอีกหรือ พระชายาลู่จะปกป้องเข้าข้างนางหรือ”

“ใช่แล้วจะทำไมหรือเพคะ” พระชายาลู่กล่าวเสียงหนักแน่น น้ำเสียงไม่มีความลังเลใดๆ

เจียงหลีได้ยินเช่นนั้น จึงกลอกตามองไปทางพระชายาลู่

มู่เจิ้งเฟิงสีหน้าขุ่นมัวมากขึ้นเพราะคำพูดนี้ของนาง

“นางเพียงปกป้องบุตรชายของหม่อมฉันมิให้ถูกรัฐเพื่อนบ้านเหยียดหยาม หม่อมฉันตระกูลลู่ก็ต้องปกป้องนางสิเพคะ” พระชายาลู่กล่าวด้วยเสียงหนักแน่น

ในขณะเดียวกัน ลู่จ้านพร้อมองครักษ์ของจวนอ๋องลู่ ก็ออกมาเผชิญหน้ากับเหล่าทหารรักษาพระองค์เหล่านั้น

“พระชายาลู่เจ้าจะทำการกบฏหรือ” เมื่อเห็นดังนั้น มู่เจิ้งเฟิงก็เอ่ยถามเสียงแข็ง

เหมือนว่า ขอเพียงพระชายาลู่พยักหน้า เขาก็จะออกคำสั่งประหารคนตระกูลลู่ทั้งหมด

พระชายาลู่ยิ้มเล็กน้อย “ฝ่าบาท หม่อมฉันเพียงแต่จะพาบ่าวรับใช้ที่ภักดีต่อตระกูลลู่กลับไปเพียงเท่านั้น จะกล่าวว่าทำการกบฏได้อย่างไรเพคะ”

“เจ้าจะขัดแย้งกับข้า เพียงเพราะบ่าวรับใช้คนหนึ่งอย่างนั้นหรือ” มู่เจิ้งเฟิงสายตายากจะคาดเดา

“หลีเอ๋อร์มิใช่เพียงบ่าวรับใช้พ่ะย่ะค่ะ” ทันใดนั้น ลู่เจี้ยเอ่ยปากขึ้นมา

บรรยากาศในพระตำหนักที่ตึงเครียดอยู่นั้น ก็ยิ่งตึงเครียดขึ้นเพราะคำพูดของลู่เจี้ย

มู่เจิ้งเฟิงและพระชายาลู่มองไปทางเขาพร้อมกัน ฉุนกุ้ยเฟยที่กำลังร่ำไห้อยู่นั้นก็เงยหน้าขึ้นมาเช่นกัน มองไปทางใบหน้างดงามดั่งภาพวาดนั้น

ในพระตำหนักนั้น คนอื่นๆ ต่างก็หันมามองลู่เจี้ย ใคร่รู้คำพูดประโยคต่อไปของเขา

ขนาดเจียงหลียังอดไม่ได้ที่จะเหลียวมองชายหนุ่มที่นางไม่เคยมองทะลุมาตลอดผู้นี้!

ตระกูลลู่ปกป้องนางนั้นอยู่ในการคาดเดาของนาง เพราะอย่างไรเสียธรรมเนียมบ้านตระกูลลู่นั้นจะคอยปกป้องผู้อ่อนแอมาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งนางออกหน้าช่วยลู่เจี้ยแล้ว ตระกูลลู่ไม่ยอมให้ฮ่องเต้ออกคำสั่งลงโทษตามพระทัยเป็นแน่

อีกอย่าง หากตระกูลลู่ทอดทิ้งนาง ลู่เจี้ยทอดทิ้งนาง เช่นนั้นความสัมพันธ์ระหว่างนางกับตระกูลลู่ก็จบสิ้นกันเท่านี้

นางคาดเดาจุดนี้ไว้อยู่แล้ว จึงได้กล้าสั่งสอนองค์หญิงรัฐฉู่ที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงนั่นอย่างไม่ยั้งมือ

เพียงแต่ นางคาดไม่ถึงว่าลู่เจี้ยจะพูดเช่นนี้

ในระหว่างที่ทุกคนกำลังรอคอยอยู่นั้น ลู่เจี้ยก็ขยับตัว เขาก้าวเท้าออกไป เดินเข้าไปสองสามก้าว จับมือเจียงหลี กำไว้ในฝ่ามือใหญ่ๆ ของเขาอย่างไม่เคอะเขินต่อหน้าผู้คนทั้งหลาย

ฝ่ามือของลู่เจี้ยนั้นอบอุ่นยิ่งนัก

หากเป็นคนทั่วไป อุณหภูมิของฝ่ามือนั้นจะร้อนลวกเล็กน้อย แต่ลู่เจี้ยร่างกายอ่อนแอ อุณหภูมิในฝ่ามือเขากลับกำลังพอดี

อบอุ่นเสียจน ทำให้ไม่อยากดึงออก ไม่อยากปล่อยมือ

เจียงหลีพลิกมือจับมือลู่เจี้ยเอาไว้ ทำให้สายตาของคนด้านหลังมองไปที่นาง “ฝ่าบาท ข้าน้อยลู่เจี้ยเป็นเพียงคนร่างกายอ่อนแอ ฝ่าบาทจะรีบร้อนไปใย หลีเอ๋อร์ปกป้องข้าน้อยในวันนี้ ในช่วงเวลาที่ข้ายังมีชีวิตอยู่นั้น ข้าน้อยจะปกป้องนางอย่างไม่คิดชีวิตพะยะค่ะ”

แกร๊ก!

ในใจเจียงหลีนั้น เหมือนว่ามีอะไรถูกเปิดออก

นางมองดูลู่เจี้ยอย่างเหม่อลอย ชายหนุ่มที่ยิ้มให้นางอย่างอบอุ่นนี้ ในชั่วขณะนั้น ไอหมอกในดวงตาอันแวววาวดั่งเครื่องแก้วของเขานั้นก็สลายหายไป เหลือไว้แต่เพียงความจริงใจ

“หากฝ่าบาทจะลงโทษหลีเอ๋อร์จริงๆ เช่นนั้นก็ลงโทษเจี้ยด้วยเถิด” ในดวงตาของลู่เจี้ยนั้น เต็มไปด้วยรอยยิ้มและการปลอบโยน เสมือนกำลังบอกกับเจียงหลีว่า เขาจะไม่ให้นางเป็นอะไรไป และจะไม่ให้ใครมาทำร้ายนางเด็ดขาด

มู่เจิ้งเฟิงหรี่ตา ในดวงตานั้นการวางแผนให้ร้ายส่องประกายไม่หยุด

กำจัดตระกูลลู่ เป็นเรื่องที่เขาอยากทำมากที่สุด แต่ทว่า ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา! เขาใช้กำลังทหารโดยไร้ซึ่งเหตุผลที่เหมาะสม จะถูกตอบโต้โดยผู้คนใต้หล้า

“เจี้ยรู้สึกไม่ค่อยสบาย หากฝ่าบาทไม่มีอะไรรับสั่ง เจี้ยขอตัวพาคนของจวนอ๋องลู่ทูลลากลับก่อนพ่ะย่ะค่ะ” ลู่เจี้ยกล่าวเสียงเฉยชา

คิดไม่ถึงว่าเขาจะกล้าพาเจียงหลีออกจากพระตำหนักบุปผาต่อหน้าฮ่องเต้และผู้คน

“ฝ่าบาทเพคะ ชิงชิงบาดเจ็บถึงเพียงนี้ เรื่องนี้จะจบง่ายๆ เช่นนี้หรือเพคะ” ฉุนกุ้ยเฟยกล่าวอย่างร้อนรน

มู่เจิ้งเฟิงเอ่ยปากเสียงเข้ม “ใช่แล้ว ชิงชิงเป็นองค์หญิงรัฐเพื่อนบ้าน ถูกสาวใช้ตระกูลลู่ทุบตีจนได้รับบาดเจ็บเช่นนี้ ตระกูลลู่จะต้องชดเชย”

ลู่เจี้ยจูงมือเจียงหลี หันหลังเดินไปทางนอกตำหนัก เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เจิ้งเฟิงแล้ว เขาก็หยุดฝีเท้าลง มองด้วยหางตาแล้วหัวเราะเล็กน้อย “องค์หญิงรัฐฉู่เห็นข้านายน้อยตระกูลลู่เป็นของเล่น ไม่สังหารนาง ก็ถือว่าเป็นการชดเชยให้แล้ว”

!

ซี้ดดด…!

ทุกคนในพระตำหนักต่างก็สูดลมหายใจเข้าด้วยความหวาดกลัว คำพูดนี้ของนายน้อยตระกูลลู่จะเหิมเกริมเกินไปเสียแล้ว ไม่รักษาหน้าของฮ่องเต้เอาเสียเลย

มู่เจิ้งเฟิงสีหน้าคร่ำเครียด สายตามองไปทางลู่เจี้ยอย่างดุร้าย

ลู่เจี้ยกลับกล่าวอีก “หากองค์ชายของฝ่าบาทประสบเรื่องดั่งวันนี้เหมือนเจี้ย ฝ่าบาทจะทำเช่นไรหรือพ่ะย่ะค่ะ สิ่งที่ตนไม่ชอบก็ไม่ควรทำกับผู้อื่น ฝ่าบาท เจี้ยขอทูลลา”

ทิ้งคำพูดนี้ไว้ ลู่เจี้ยพาเจียงหลีออกไปอย่างฉวัดเฉวียน

พระชายาลู่มุมปากโค้งขึ้นเล็กน้อย แล้วนำคนอื่นๆ ในจวนอ๋องลู่คารวะต่อมู่เจิ้งเฟิง “ฝ่าบาท หม่อมฉันขอทูลลาเพคะ”

เมื่อคนตระกูลลู่ต่างออกไปกันหมด มู่เจิ้งเฟิงก็สะบัดแขนเสื้อด้วยความโมโห กวาดเอาแก้วจานบนโต๊ะตกหล่นกระจาย “ตระกูลลู่! สารเลว!”

ทุกคนในพระตำหนักนั้นต่างก็ตกใจหดหัวดั่งนกกระทา ไม่กล้าหายใจดัง

พวกเขาต่างรู้ดีว่า การเดิมพันในครั้งนี้ ฮ่องเต้แพ้แล้ว แต่ทว่า กลับทวีความโกรธแค้นที่มีต่อตระกูลลู่ให้เพิ่มมากขึ้นอีก

เมื่อเดินออกจากตำหนักบุปผาแล้ว เจียงหลียังคงมองลู่เจี้ยด้วยสีหน้าที่เลื่อมใส นางไม่คิดว่า ก่อนออกมาเขาจะพูดคำพูดเหล่านั้นกับฮ่องเต้ได้

ไม่สังหาร ก็ถือเป็นการชดเชยให้แล้ว!

จนกระทั่งลู่เจี้ยกลอกตามาสบตานาง นางถึงได้เก็บความรู้สึกในสายตาของนางอย่างลุกลี้ลุกลน “เอ่อ! ท่านช่างกล้าหาญนัก กล้าท้าทายฮ่องเต้ต่อหน้า”

“หลีเอ๋อร์ก็กล้าหาญไม่น้อยไปกว่าข้าหรอก” ลู่เจี้ยอมยิ้ม ใบหน้าที่งดงามส่องแสงเปล่งประกาย ส่องสว่างในค่ำคืนที่มืดมิด

เจียงหลีอึ้งเงียบไป

นางกล้าหาญ ก็เพราะรู้ว่าตระกูลลู่ไม่มีทางไม่สนใจนางแน่ แต่ลู่เจี้ยเล่า ที่พึ่งของเขาคืออะไรกัน ยังมีอีก คำพูดที่เขาพูดกับฮ่องเต้นั้น เห็นได้ชัดว่าได้แถลงไขบางเรื่องออกมา ไม่กลัวว่าจะบีบคั้นจนฮ่องเต้ร้อนรนหรือ

“หลีเอ๋อร์” ทันใดนั้น ลู่เจี้ยก็เรียกนางด้วยเสียงแผ่วเบา

“หืม” เจียงหลีที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ขานรับโดยไม่ได้ตั้งใจ

กลับได้ยินเขากล่าวด้วยน้ำเสียงเพ้อฝันออกมาอย่างช้าๆ “ขอเพียงหลีเอ๋อร์ยอมปกป้องข้าก็เพียงพอแล้ว”

ราชินีพลิกสวรรค์

ราชินีพลิกสวรรค์

Status: Ongoing

หลังศึกใหญ่กับมู่เทียนอินร่างของ เจียงหลี ก็ถูกดูดเข้าไปในมิติอื่นจนเหลือเพียงวิญญาณที่ล่องลอยอยู่ในมิติเคว้งคว้างไร้ขอบเขต แม้จะมีเพียงวิญญาณอ่อนแอ แต่จิตใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังของนางนั้นกลับไม่อนุญาตให้ตัวเองยอมพ่ายแพ้ นางจะต้องกลับไปให้ได้ เพื่อไปหาสหายสนิทของนางผู้นั้น…

ในสนามประลองยิ่งใหญ่แห่งแคว้นซูหนาน สถานที่ที่ชีวิตของทาสทั้งหลายมีค่าเท่าเศษธุลี สถานที่ที่มีไว้เพื่อให้ความบันเทิงกับบรรดาผู้สูงศักดิ์ และนาง เจียงหลี ก็ดันฟื้นขึ้นมาในร่างของนางทาสแห่งสถานที่นี้เสียได้!

โลกแปลกหน้าที่ยึดถือผู้แข็งแกร่งเป็นใหญ่ หลิงซือ เนี่ยนซือ วิญญาณยุทธ์ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับเจียงหลี แต่นางคือผู้ใด นางคือราชินีผู้เก่งกล้าแห่งแคว้นกู่วูเชียวนะ ก็แค่ต้องฝึกฝนเบิกเนตรญาณด้วยร่างเด็กน้อยอ่อนแอ สถานะกลับตาลปัตรจากผู้สูงศักดิ์กลายเป็นทาสในเรือนของ ลู่เจี้ย ผู้ที่ได้รับฉายาหนุ่มรูปงามขี้โรค ไหนจะยังต้องฝ่าฟันกับอุปสรรคนานัปการเพื่อหาหนทางกลับไปยังโลกเดิมของตนเองอีก เพียงเท่านี้เอง นางทำได้สบายอยู่แล้ว!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท