ไม่มีคำว่าแต่ครับ ไม่มีอะไรยากเกินไปสำหรับถังหนิงที่ผมรู้จัก แม้ว่าจะไม่เคยเรียนการแสดงมาก่อน คำคำเดียวจากผมก็มากพอที่จะให้เธอเริ่มตั้งแต่ต้น ตอนนี้เองก็ไม่ต่างกัน คุณแค่กำลังสับสน… โม่ถิงปลอบ ผมลองอ่านบทของผู้อาวุโสอู๋แล้ว สไตล์การเขียนของเขามีความสอดคล้องกัน ดังนั้นความหวังเดียวของเราก็อยู่ในห้าแสนสี่หมื่นคำนี้แหละครับ
ได้ยินคำพูดของโม่ถิง ถังหนิงก็สงบลงแล้วพยักหน้าในที่สุด ค่ะ ฉันจะฟังคุณ คุณไม่เคยคิดผิด
คุณต้องเหนื่อยแล้วแน่ๆ ไปพักผ่อนนะครับ…
ถังหนิงมองหน้าโม่ถิงเพื่อดูว่ามีโอกาสที่เธอจะเลี่ยงคำสั่งของเขาได้หรือไม่ ทว่าสีหน้าโม่ถิงนั้นหนักแน่น ดังนั้นเธอจึงไม่มาทางเลือกอื่นนอกจากพยักหน้า ค่ะ ฉันจะไปพักผ่อน แต่ฉันจำเป็นต้องอยู่ข้างๆ คุณเพื่อให้ใจสงบนะคะ
หญิงสาวไม่อาจใจร้อนกับเรื่องการหาคำตอบ สิ่งที่เธอต้องทำในตอนนี้ก็คือฟื้นความสงบของเธอ
หลังจากนั้น ถังหนิงก็เอนกายลงในอ้อมแขนของโม่ถิงแล้วค่อยๆ ผล็อยหลับไป
ดูเหมือนเธอจะเหนื่อยจริงๆ …
เมื่อเห็นเช่นนี้ โม่ถิงจึงเปิดแลปท็อปของเขาแล้วเลือกนิยายเรื่อง ‘นักแกะรอย’ โม่ถิงลงเอยด้วยการใช้เวลาทั้งคืนกวาดสายตาอ่านนิยายทั้งเรื่องทีละคำ แน่นอนว่าเขาได้อะไรมามากมายจากการทำเช่นนี้…
เช้าวันถัดมา ถังหนิงตื่นขึ้นมาในอ้อมแขนของโม่ถิง เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มกำลังจดจ่ออยู่กับนิยายเรื่องนั้น ถังหนิงก็รู้สึกปวดใจ นี่คุณนั่งอ่านมาทั้งคืนเลยเหรอคะ
อย่าเพิ่งไปใส่ใจเรื่องนั้นเลยครับ มาดูนี่ก่อนสิ
โม่ถิงเปิดภาพจากหน้าจอให้ถังหนิงดู ดูสิครับว่าคุณจะเจออะไร
ถังหนิงนั่งอยู่ระหว่างแขนของโม่ถิง หญิงสาวโน้มตัวไล่ดูภาพนั้นบนจอแล็ปท็อป ไม่ช้าเธอก็สังเกตเห็นปัญหา สไตล์การเขียนไม่เหมือนกัน คำศัพท์ก็ไม่เหมือนกัน มันให้ความรู้สึกเหมือนไม่ได้มาจากคนคนเดียวกันเลยค่ะ
ความต่างพวกนั้นอยู่ที่ช่วงคำที่สองแสน ช่วงคำที่สองแสนห้าหมื่น ช่วงคำที่สี่แสน และช่วงคำที่สี่แสนห้าหมื่นครับ
คุณจะบอกว่านิยายเรื่องนี้ถูกเขียนขึ้นโดยคนจำนวนหนึ่งเหรอคะ ถังหนิงเอ่ยถามด้วยท่าทางไม่แน่ใจ
ครับ และมันก็เขียนขึ้นในช่วงเวลาอันสั้นด้วย โม่ถิงตอบ ผมขอให้ลู่เช่อไปค้นคว้าเรื่องคนในวงการนิยายออนไลน์และพบว่าสถิติในการแต่งนิยายของนักเขียนดังๆ นั้นอยู่ที่ประมาณห้าหมื่นถึงแปดหมื่นคำภายในเวลาสามถึงสี่วัน หากคนจำนวนหนึ่งแบ่งกันไปคนละหนึ่งหมื่นคำ หนังสือเรื่องหนึ่งก็สามารถเขียนให้จบได้ภายในสิบวัน
แต่สัญญาฉบับนั้นมันมีมานานแล้วนะคะ… ถังหนิงนึกถึงสัญญาแผ่นนั้นขึ้นมา
สัญญานั้นเป็นของจริงครับ แต่ใครจะการันตีได้ล่ะว่านี่คือเนื้อหาดั้งเดิมของมัน
ถังหนิงตื่นตัวขึ้นด้วยคำถามอันเรียบง่ายนี้ พูดอีกอย่างก็คือ อีกฝ่ายจงใจโกหกเรา ไปดูสัญญานั่นแล้วตั้งคำถามพวกเขาเรื่องเนื้อหากันดีกว่าค่ะ
ผมบอกให้ลู่เช่อไปดูมาแล้วครับ นิยายออนไลน์นั้นต่างจากหนังสือที่จับต้องได้ มันเป็นไปได้ที่ผู้เขียนจะแก้ไขนิยายเรื่องนั้นหลังจากที่ถูกเผยแพร่ออกมาแล้ว การที่เรายังหาข้อมูลอะไรที่เกี่ยวกับหนังสือออนไลน์เล่มนี้ไม่ได้นั้นพิสูจน์ได้อย่างหนึ่งครับ ถ้าไม่ได้ถูกดัดแปลง…ก็คงไม่มีคำเยอะมากขนาดนี้มาตั้งแต่แรกและมีใครบางคนแต่งเติมมันเข้าไปครับ
หลังจากฟังการวิเคราะห์ของโม่ถิง ถังหนิงก็ต้องยอมรับว่าเธอประทับใจในตัวชายคนนี้จริงๆ
แน่นอนว่าเธอประทับใจในความชั่วร้ายของซ่งซินเช่นกัน
งั้นถ้าเราหาตัวนักเขียนพวกนี้และบันทึกการแก้ไขนิยายได้ เราจะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของผู้อาวุโสอู๋ได้ไหมคะ
ผมไม่จำเป็นต้องเคลื่อนไหวด้วยตัวเองเลย สิ่งเดียวที่เราต้องทำก็คือเปิดเผยการค้นพบของเราให้สาธารณชนได้รับรู้ ผมเข้าใจว่านักเขียนที่ดีที่สุดในกลุ่มนั้นเริ่มเข้าไปทำให้นิยายสมบูรณ์ขึ้นและแก้ตัวบท นี่แปลว่าพวกเขากลัวว่าจะถูกจับได้แน่ๆ
ในเมื่อใครบางคนกำลังแก้ไขมันอยู่ งั้นเรามาเข้าหามันจากอีกมุมหนึ่งแล้วกล่าวหาเจ้าของแพลตฟอร์มนิยายออนไลน์ว่ามีส่วนรู้เห็นกับเรื่องนี้ดีกว่า
อันที่จริง ฉันเชื่อในการตัดสินของชาวเน็ตมากกว่าค่ะ ถังหนิงกล่าวหลังจากสงบลง เหตุผลเดียวที่พวกเขาโกรธขนาดนั้นก็เพราะพวกเขาสนับสนุนนักเขียนต้นฉบับและเกลียดการคัดลอกผลงาน แต่ผู้อาวุโสอู๋…
ทุกอย่างจะผ่านไปครับ
หลังจากได้ยินคำปลอบโยนของโม่ถิง ถังหนิงก็พยักหน้า
ฉันรู้สึกเหมือนสมองของฉันไม่ทำงานอีกแล้วเลยค่ะ
เด็กในท้องส่งผลต่อสมองของคนเป็นแม่นานถึงสามปีครับ ผมไม่โทษคุณหรอก โม่ถิงจูบหน้าผากของหญิงสาวอย่างอ่อนโยน
แน่นอนว่า เสียงของชาวเน็ตที่เรียกร้องให้ไห่รุ่ยออกมาขอโทษและระงับการฉายภาพยนตร์นั้นยังคงดังเหมือนเช่นเคย และในขณะเดียวกัน การด่าทอผู้อาวุโสอู๋ของพวกเขาก็ยังไม่สิ้นสุดลง เมื่อครอบครัวของเขาไม่สามารถรับมือกับเรื่องนี้ได้อีกต่อไป ภรรยาของผู้อาวโสอู๋จึงตัดสินใจให้สัมภาษณ์กับสื่อเพื่อแสดงต้นฉบับ บันทึกการสร้างตัวละคร ข้อมูลสถานที่ที่สามีของเธอไปเยี่ยมเยียนและผู้คนที่เขาได้สัมภาษณ์ให้พวกเขาดู
สามีของฉันทุ่มเทชีวิตของเขาให้กับงานศิลปะของตัวเอง เพื่อภาพยนตร์เรื่องนี้ เขาทำทุกอย่างที่เป็นไปได้ ฉันไม่เคยคาดคิดเลยว่าสุดท้ายแล้วเขาจะถูกด่าทอ
ฉันไม่รู้ว่าเจตนาของคนร้ายคืออะไร แต่พวกเขาไม่ควรคิดฝันจะได้อะไรไปจากเรา
กรรมจะตามสนองเสมอ คนชั่วคนนี้จะได้รับการลงโทษอย่างแน่นอน
เพราะความสมัครใจที่จะออกมาพูดของคุณนายอู๋ เหล่าคนที่ผู้อาวุโสอู๋เคยสัมภาษณ์จึงเริ่มออกมายืนยันให้เขา
ผู้อาวุโสอู๋มักจะออกไปทำการวิจัยผู้คนในชีวิตจริงเวลาที่เขาออกแบบตัวละครเพื่อที่เขาจะได้เข้าใจอารมณ์ของตัวละครนั้นๆ นี่ไม่ใช่สิ่งที่นักลอกเลียนแบบทำเลย
ทว่า…ยังมีคนอีกมากมายที่ต่อต้านผู้อาวุโสอู๋
ลอกก็คือลอก จบนะ
ถ้าผู้อาวุโสอู๋ไม่ได้ลอกงานใคร แล้วไหนล่ะหลักฐาน
ไม่มีหลักฐานใด!
ถ้าเขามีหลักฐาน เขาจะฆ่าตัวตายไหม
ตอนนั้นเองที่ผู้เขียน ‘นักแกะรอย’ ทนการถูกใส่ร้ายไม่ได้ ดังนั้นทัศนคติของเขาจึงเริ่มจองหองยิ่งกว่าเดิม ถ้าเขาไม่ได้ลอกงานผม ผมจะหักมือตัวเอง!
ทั้งสองฝ่ายดูเหมือนเหยื่อ แต่หลักฐานนั้นเอื้อให้ทางผู้เขียนเรื่อง ‘นักแกะรอย’ เพียงอย่างเดียว…
อย่างไรก็ตาม ระหว่างช่วงเวลาที่น่าท้อแท้นี้ ในที่สุดไห่รุ่ยก็ออกมาพูดและปล่อยคำแถลงการณ์ที่มีหัวเรื่องว่า ‘จำที่พูดเอาไว้ด้วย’
จุดประสงค์หลักของคำแถลงการณ์นี้ก็เพื่อบอกทุกคนว่าไห่รุ่ยจะเริ่มปล่อยหลักฐานที่พิสูจน์ความบริสุทธิ์ของผู้อาวุโสอู๋ตอนหนึ่งทุ่มตรง หากไห่รุ่ยพิสูจน์ได้ว่าผู้อาวุโสอู๋บริสุทธิ์ ผู้เขียนนวนิยายเรื่อง ‘นักแกะรอย’ ควรจะจำสัญญาของเขาเอาไว้ให้ดี
เขาพูดว่าเขาจะหักมือตัวเอง!
ผู้เขียนรายนั้นไม่คิดว่ามันเป็นไปได้ที่ไห่รุ่ยจะค้นอะไรเจอ ดังนั้นเขาจึงตอบไปอย่างมั่นใจว่า ถ้าผมสัญญาอะไรไว้ ผมก็จะทำ!
ผลก็คือเหตุการณ์ยิ่งบานปลายกันไปใหญ่ ครั้งนี้มีมือคู่หนึ่งเขามาเกี่ยวข้องด้วย!
[ไห่รุ่ยมีหลักฐานอะไรจะแสดงให้พวกเราได้เห็นกันนะ ฉันสงสัยจังว่าพวกเขาวางแผนจะพลิกสถานการณ์ยังไง]
[พวกเขาจะไม่ใช้ข้ออ้างเห่ยๆ กับตรรกะป่วยๆ มาบงการสาธารณชนใช่ไหม]
[ไห่รุ่ยไม่เคยทำอะไรอย่างนั้นมาก่อน พวกเขาซื่อสัตย์และตรงไปตรงมาเสมอ ดังนั้นฉันจึงคาดหวังกับคืนนี้มากๆ เลยล่ะ]
[พวกเขายังพลิกสถานการณ์ได้อยู่เหรอ หลักฐานมันไม่ได้ชัดเจนอยู่แล้วหรือยังไง ฉันไม่อยากได้ยินข้ออ้างอะไรทั้งนั้น!]
[ถ้าไห่รุ่ยวางแผนที่จะแก้ตัวให้ไอ้หมาขี้ลอกนั่น ฉันจะเกลียดพวกเขาไปทั้งชีวิตเลย! ถึงฉันจะชอบเซเลบจากไห่รุ่ย ฉันก็จะไม่ยอมรับพวกเขาอยู่ดี]