เจียงหลีกำลังคาดเดาฐานะของผู้มาเยือนอย่างจริงจัง เพราะคำพูดเดียวของลู่เสวียนทำเอาแทบจะล้มจากหลังม้า
“หุบปาก” นางหันขวับจ้องลู่เสวียนอย่างดุดัน
ลู่เสวียนหดคอลงเหมือนกลัวสายตาดุร้ายของนาง แต่ว่าความสนใจของเขาก็ถูกกองทหารที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ดึงดูดไปอย่างรวดเร็ว
เจียงหลีหันสายตากลับมามองไปยังกองทหารที่ผ่านฝุ่นทรายออกมา
เกราะทองแดงทำให้ความสง่าที่ดุดันของกองทัพรวมเป็นหนึ่ง คนแรกที่เดินนำหน้าสวมชุดเกราะสีทอง ใบหน้าถูกซ่อนอยู่ภายใต้หมวกเหล็ก เหลือเพียงนัยน์ตาแหลมคมราวกับเหยี่ยว แววตาที่นิ่งสงบจ้องไปยังกลุ่มผู้สังเกตการณ์เทียนเจียวนับพันคน
ภายใต้สายตาของเขาคำพูดที่จงใจยั่วยุค่อยๆ เงียบสงบลง
ปกติเหล่าผู้สังเกตการณ์เทียนเจียวทั้งหลายจะรู้สึกว่าตนเหนือกว่าคนอื่น ทว่าเมื่ออยู่ภายใต้สายตาของเขา คนส่วนใหญ่ต่างพากันก้มห้วลงอย่างอัตโนมัติไม่กล้าสบตาแม้แต่น้อย
“ช่างเป็นแววตาที่เฉียบคมนัก” เจียงหลีเพ่งมองเขาพลางชื่นชมในใจ
ผู้นำขบวนผงะแล้วรีบควบม้ามาถึงหน้าชายหนุ่มที่เสมือนเทพบุตรจุติแล้วคารวะอย่างนอบน้อม
“ท่านลู่อ๋อง มิบังอาจให้ท่านออกมาต้องรับขอรับ”
น้ำเสียงประจบประแจงอย่างเห็นได้ชัด
เพียงแต่ว่าเป็นการประจบประแจงที่แสดงออกนอกหน้าเท่านั้น
แววตาภายใต้หมวกเหล็กนั้น กวาดมองผู้นำขบวนอย่างเรียบๆ ทำให้ผู้ถูกมองเหมือนถูกมีดแหลมคมจนขนลุกซู่ไปทั้งตัวถึงกับกลั้นลมหายใจ “ในกองทัพไม่มีท่านอ๋อง เรียกข้าว่าแม่ทัพก็พอ” เสียงลู่ซิ่งเฉาไม่ได้ชัดเจนมาก อาจเป็นเพราะว่าการฝึกฝนในกองทัพ ทำให้เสียงเขามีความแหบแห้งแต่เปี่ยมไปด้วยความหนักแน่น
“ขอรับๆ ท่านแม่ทัพ” ผู้นำขบวนคล้อยตาม เปลี่ยนคำพูดทันที
ราวกับว่าเขาเองก็ไม่อยากล่วงเกินผิดใจกับลู่ซิ่งเฉาที่ชายเป่ยฝางแห่งนี้
“ท่านพ่อ…” เสียงพึมพำสั่นคลอนของลู่เสวียนดังขึ้นข้างหูเจียงหลี
นางรับรู้ความตื้นตันใจที่ซ่อนอยู่ แววตากวาดมองเด็กหนุ่มรูปงามข้างกาย เห็นเขาพยายามระงับอารมณ์ของตน
ราวกับว่าสัมพันธ์ถึงสายตาที่พินิจพิเคราะห์ของนาง มุมปากลู่เสวียนยกขึ้นอย่างขมขื่น อธิบายเสียงเบาว่า “ข้าไม่ได้เจอท่านพ่อมาหลายปีแล้ว”
ในราชวงศ์โฮ่วจิ้นมีกฎอยู่ว่าทหารรักษาการณ์หากไม่ได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้ ไม่สามารถไปจากที่ประจำการได้หรือกลับเข้าวังได้ หากขัดต่อคำสั่งจะถูกลงโทษในฐานะกบฏ
ลู่ซิ่งเฉาประจำการที่ชายเป่ยฝางเป็นเวลายี่สิบปีแล้ว แต่เขากลับบ้านเพียงไม่กี่ครั้ง ไม่แปลกที่ลู่เสวียนจะเกิดปฏิกิริยาแบบนี้
เจียงหลีก้มหน้าลงเข้าใจเป็นอย่างดี
ขณะเดียวกันนางก็นึกถึงลู่เจี้ยที่พักฟื้นที่ซูหนานอย่างโดดเดี่ยว เขาไม่ได้เห็นพ่อตัวเองมานานแล้วเหมือนกันใช่หรือไม่
อาจเป็นเพราะสาเหตุของสองพี่น้องนี้ เจียงหลีเกิดความอยากรู้อยากเห็นใบหน้าภายใต้หมวกเหล็กนั้น
กลุ่มผู้สังเกตการณ์เทียนเจียว เกือบทุกคนต่างพากันหวาดกลัวรัศมีที่แผ่ออกมาของลู่ซิ่งเฉา ผู้นำขบวนเองก็แสดงสีหน้าที่ดูอ่อนน้อมถ่อมตน แนะนำให้รู้จักสภาพของกลุ่มผู้สังเกตการณ์เทียนเจียว
ทว่าพูดไปไม่กี่คำ ลู่ซิ่งเฉายกมือขึ้นมากระทันหันหยุดคำพูดของเขาที่จะพูดออกมา
เขากุมบังเ**ยนในมือขี่ม้าใกล้เข้ามามากกว่าเดิม
ความกดดันรัศมีที่แผ่ออกมา ทำให้ม้าของเหล่าผู้สังเกตการณ์เทียนเจียวทั้งหลายขี่อยู่เกิดความโกลาหล
“ห้ะ!”
ทันใดนั้นกลุ่มคนติดตามลู่ซิ่งเฉามาตะโกนขึ้นพร้อมกัน
ท่ามกลางค่ายม้าที่อยู่ไม่นิ่งก็เงียบสงบลงฉากน่าทึ่งแบบนี้ทำให้เหล่าผู้สังเกตการณ์เทียนเจียวทั้งหลายต่างประหลาดใจและสงสัย
ผู้เป็นหัวหน้าขบวนกลับจับจ้องไปปยังแผ่นหลังลู่ซิ่งเฉาด้วยแววตายากจะเข้าใจ
“ข้าไม่สนว่าพวกเจ้าที่อยู่เมืองหลวงจะมีชื่อเสียงมากน้อยแค่ไหน ยิ่งไม่สนว่าพวกเจ้าจะมีพรสวรรค์ที่น่าทึ่งอย่างไร เมื่อมาถึงสนามรบ พวกเจ้าก็เป็นทหารของราชวงศ์โฮ่วจิ้น แน่นอนว่าพวกเจ้าตอนนี้เป็นแค่กลุ่มสังเกตการณ์ ข้าไม่ให้พวกเจ้าเข้าสนามรบอย่างแท้จริง แต่หากพวกเจ้าฝ่าฝืนวินัยในค่ายทหาร ข้าจะลงโทษตามกฎ ไม่ว่าใครจะมีภูมิหลังอย่างไร ข้าจะปฎิบัติเท่าเทียมกันทุกคน กฎหมายไม่ปราณีใคร”
คำพูดของลู่ซิ่งเฉาทำให้ทุกคนรู้สึกเหมือนมีเครื่องประหารหัวที่มองไม่เห็นแขวนอยู่บนคอของกลุ่มผู้สังเกตการณ์เทียนเจียวทั้งหลาย
บางคนที่มีนิสัยหัวร้อนเตรียมจะตอบโต้ เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นกองทัพที่ยืนสง่าผ่าเผยกลับหมดความมั่นใจ
เจียงหลีที่เงียบมาตลอดในใจกลับมีมหาคลื่นธารากระแทกฝั่ง ลู่ซิ่งเฉานี้ ก็มีฝีมือในการฝึกทหาร แม้ว่าการฝึกแถวทหารจะง่ายดาย แต่จะทำให้จิตเป็นหนึ่งเดียวกันมันยากนัก กองทัพเหล่านี้ หากนับพรสวรรค์แบบคนต่อคน เกรงว่าจะไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้กับเหล่าผู้สังเกตการณ์เทียนเจียวทั้งหลายได้ ทว่ารัศมีบนตัวพวกเขากลับบดขยี้ผู้สังเกตการณ์เทียนเจียวจนสุด
จู่ๆ นางก็หันสายตามองไปยังพี่ชายที่อยู่ท่ามกลางฝูงชน นางรู้ว่าความฝันของพี่ชายนอกจากเข้าไปศึกษาที่สานบันไป๋หยวนแล้วยังอยากจะเข้าเกณฑ์ทหารรับใช้ชาติอีกด้วย
ลูกผู้ชายต้องเข้าสนามรบนองเลือดเพื่อปกป้องบ้านเมือง นี่เป็นคำพูดที่เจียงเฮ่าที่เคยกล่าวไว้ เขาในตอนนั้นช่างมีจิตใจทีกระฉับกระเฉงดูมีชีวิตชีวา ถูกเจียงหลินเฟิงสั่งสอนรักชาติซื่อสัตย์ต่อฮ่องเต้
ปัจจุบัน หลังสกุลเจียงได้ประสบเรื่องร้ายแรง เกรงว่าความคิดที่อยากจะเข้าเกณฑ์ทหารคงจะดับลงแล้วกระมัง
เจียงหลีหาเจียงเฮ่าเจออย่างง่ายดาย ใบหน้าที่เป็นจิ่งเยี่ยยังคงความสงบเย็นชาไว้ ทว่านัยน์ตาลึกนั้นกลับเปี่ยมไปด้วยไฟที่ลุกโชนที่ยังไม่ดับหายไป ปณิธานที่มีต่อสนามรบ ราวกับถูกลู่ซิ่งเฉาปลุกขึ้นมา
“กลับค่าย!” ลู่ซิ่งเฉาออกคำสั่งกลุ่มผู้สังเกตการณ์เทียนเจียวนับพันคนเดินตามหลังมุ่งหน้าสู่ค่ายทหารชายเป่ยฝาง
ระหว่างทางเจียงหลีกระซิบเสียงต่ำถามลู่เสวียนว่า “ทำไมเมื่อครู่เจ้าไม่ก้าวออกไปล่ะ”
ลู่เสวียนส่ายหัวยิ่มอย่างขมขื่น “ข้าไม่อยากให้ท่านพ่อรู้ว่าข้าก็มาด้วย เพียงได้เห็นเขาไกลๆ ข้าก็พอใจแล้ว”
เจียงหลียิ้มอย่างเย็นชาทุบความเพ้อเจ้อของเขาให้แตกสลาย “รายชื่อผู้ติดตามก็จะส่งไปที่เขาด้วย”
ว่าแล้ว ลู่เสวียนกระตุกมุมอย่างแรงยิ้มแห้งๆ ฝืนพูดต่อ “ถึงเวลานั้นค่อยว่ากันอีกที”
…
เดิมทีเจียงหลีนึกว่าพวกเขาจะถูกนำไปที่ทัพหลังพร้อมจัดเตรียมให้พักผ่อนก่อนหนึ่งวัน
แต่ยังไม่ทันได้เห็นว่าแม่ทัพหน้าตาเป็นอย่างไรก็ถูกนำตัวไปที่แถวหน้าบนแนวกำแพงเสียแล้ว
การจะขึ้นกำแพงต้องเดินผ่านค่ายผู้บาดเจ็บ เมื่อเห็นเหล่าทหารที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส มีแขนขาดขาบาดบ้าง มีเนื้อและเลือดโชกบ้าง เสียงร้องโหยหวนทำเหล่าผู้สังเกตการณ์เทียนเจียวหน้าซีดเซียวลง
ควันไฟแห่งสงครามแผ่ทั่วสารทิศดำโขมงโฉงเฉง เสียงเข่นฆ่าโรมรันเหมือนจะทะลุผ่านกำแพง
ความสันติภาพและสงครามห่างกั้นแค่ระหว่างกำแพง
ในที่สุดเหล่าผู้สังเกตการณ์เทียนเจียวนับพันคนมาถึงรั้วกำแพง เห็นสนามรบที่อยู่นอกกำแพง…สิ่งที่เห็นคือการสู้ตายเสียสละเลือดเนื้อของสองกองทัพเมื่อปะทะกัน ทำให้ทะเลทรายนองไปด้วยเลือด
ตู้มมม!
ภาพที่เข่นฆ่ากันตรงหน้าทำให้เจียงหลีรู้สึกตกตะลึงไปทั้งตัว
นางเบิกตากว้างภาพที่เห็นคือทองทัพสองฝ่ายตั้งป้อมคุมเชิงประจันหน้ากัน ในใจเปี่ยมไปด้วยความตกตะลึง กู่อูกั๋วของนางมีฐานะที่พิเศษในเมืองหลินชวน ไม่เคยเกิดศึกสงครามที่ใหญ่โตเฉกเช่นนี้มาก่อน
ณ วินาทีนั้นเหมือนเลือดเดือดพล่านในร่างถูกจุดขึ้นมา