ลู่เจี้ยจากไปในยามที่ฟ้ายังมืดอยู่ นอกจากลู่ซิ่งเฉาแล้วก็ไม่มีใครรับรู้ถึงการมาของเขา
แม้กระทั่งลู่ซิ่งเฉายังไม่รู้ว่าบุตรชายคนโตที่เขาภาคภูมิใจนี้ระหว่างที่เดินจากไปแอบย่องเข้าค่ายที่พักของกลุ่มเทียนเจียวสังเกตการณ์ หยุดอยู่ตรงค่ายหลังหนึ่ง
ความมืดซ่อนเงาร่างเขาไว้อย่างดีจนคนที่นั่งสมาธิฝึกฝนอยู่ก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขามา
“เด็กโง่ ไม่ให้เจ้ามา เจ้ายังดื้อด้านที่จะมา ครั้งนี้คงจะเหนื่อยเพราะเสี่ยวเสวียนล่ะสิ” ในเงามืดมีเสียงพึมพำเบาๆ
เขาจ้องมองเงาร่างที่อยู่ในห้องความรู้สึกที่ไร้หนทางไม่เคยปรากฏกับตัวเขามาก่อน เปิดเผยออกมาในที่ที่ไม่มีใครพบเห็น “หลีเอ๋อร์ ครั้งนี้ข้าสามารถปกป้องทุกคนที่ข้าห่วงใย แต่ท่านพ่อตัดสินใจเสียสละชีวิต ข้าควรทำอย่างไรดี ข้ารู้สิ่งที่ท่านพูดนั้นเป็นเรื่องจริง ชีวิตของเขาสามารถช่วยให้ตระกูลลู่สยบความวุ่นวายในแผ่นดินได้ แต่ข้าจะแข็งใจได้อย่างไรกันและยังมีท่านแม่อีก…หากท่านพ่อเสียไป ท่านแม่จะมีชีวิตอยู่ต่อไม่ได้แน่ ท่านพ่อรู้ ข้าก็รู้ หรือเพื่อแผ่นดินของตระกูลลู่ ข้าต้องสูญเสียพ่อแม่อย่างงั้นหรือ เจ้าเคยพูดว่าเจ้าเคยเป็นจักรพรรดินีมาก่อน หากเจ้าเผชิญหน้ากับเรื่องเหล่านี้ เจ้าจะทำอย่างไร”
คำพูดนี้แน่นอนว่าไม่มีใครตอบ
ในที่สุดลู่เจี้ยก็จากไปอย่างเงียบๆ อันที่จริง หลังจากลู่ซิ่งเฉาตัดใจแน่วแน่ ในใจเขาก็มีคำตอบแล้ว
ลู่เจี้ย คนไร้หัวจิตหัวใจ แต่ภายใต้ความเย็นชานี้กลับซ่อนความอ่อนโยนไว้ มีเพียงคนที่สนิทใกล้ชิดเท่านั้นถึงจะเห็น
บนโลกนี้ไม่มีผู้ใดไร้จิตใจ
เพื่อตระกูลลู่ข้าต้องเสียสละอายุขัย เพื่อตระกูลลู่ท่านพ่อเสียสละชีวิต แค่เป็นเส้นทางแตกต่างกันแต่มีเป้าหมายอันเดียวกัน ลู่เจี้ยที่เดินออกมาจากค่ายทหาร…
หากตัดความตายออกไปในโลกนี้ยังมีอะไรน่ากลัวอีกหรือ …
สงครามภายใต้แผนการชั่วร้ายยังคงดำเนินต่อ
เหล่าเทียนเจียวทั้งหลายยังคงไปเฝ้าสังเกตที่สนามรบทุกวัน คงคิดไม่ถึงว่าตนเป็นเพียงหมากเล็กๆ ที่ราชวงศ์ไว้สู้กับตระกูลลู่
หลายวันมานี้ลู่ซิ่งเฉายินยอมให้เหล่าเทียนเจียวชมการต่อสู้ได้ แต่ยังไม่อนุญาตให้ใครลงสนาม สถานการณ์แบบนี้ทำให้ผู้นำนั้นร้อนใจ
ขณะเดียวกันกองทัพขนาดเล็กได้เดินทางมาถึงเป่ยฝาง
“เร็วสิ! เร็วอีก!” หน้าต่างบนรถม้าถูกเปิดออก ใบหน้างดงามมีเสน่ห์ของโจวยวนโผล่ออกมา
นางเร่งกองทัพให้เดินเร็วขึ้นอีก แววตามีความเร่งรีบ
ทันใดนั้นได้มีมือยื่นออกมาจากหน้าต่างดึงหัวนางเข้ามา “ยวนเอ๋อร์ พวกเขาเดินทางติดต่อมาหลายวันแล้ว”
โจวยวนหันสายตามองนาง “พี่ชิงเหยียน ข้ารีบร้อนน่ะสิ! อาเสวียนก็มาเป็นเวลาสิบกว่าวันแล้ว ดาบสนามรบหามีตาไม่ เขายิ่งบ้าบิ่นอยู่ ข้ากลัวเขาจะได้รับบาดเจ็บ”
“มีท่านลู่อ๋องคอยดูแลอยู่ ลู่เสวียนไม่เกิดเรื่องหรอก” มู่ชิงเหยียนที่ใส่เสื้อสีเรียบพูดปลอบ
โจวยวนพยายามระงับความกังวลในแววตาพลันพยักหน้า “ครั้งนี้ขอบคุณเจ้ามากที่ยอมแอบมากับข้า”
“ไม่ต้องเกรงใจข้าหรอก” มู่ชิงเหยียนตอบด้วยความรู้สึกผิด อันที่จริงแล้วที่นางตกลง ‘พฤติกรรมเอาแต่ใจ’ ของโจวยวนก็มีเรื่องส่วนตัวด้วย เพราะนางก็เป็นห่วงจิ่งเยี่ยที่อยู่ในกลุ่มสังเกตการณ์เหมือนกัน
เป้าหมายของกลุ่มเทียนเจียวสังเกตการณ์ครั้งนี้ ช่างน่าประหลาดใจยิ่งนัก นางรู้สึกไม่ไว้ใจเลยอดตามมาไม่ได้ พอดีกับที่โจวยวนก็จะมาด้วย
เพียงแต่ว่าบางเรื่องนางไม่สะดวกพูดให้โจวยวนฟัง ไม่ใช่ว่าไม่ไว้วางใจเป็นเพราะนิสัยของโจวยวน
“พี่ชิงเหยียนเมื่อเราถึงเป่ยฝางควรทำอย่างไรดี พวกเราเข้าค่ายทหารพลการโดยไม่มีสาสน์ ต้องโดนไล่ออกมาแน่เลยเจ้าค่ะ” โจวยวนกล่าวอย่างกังวลใจ
แม้นางจะเป็นคนที่เอาแต่ใจแต่ก็รู้กฎของค่ายทหารดี
มู่ชิงเหยียนขมวดคิ้วเล็กน้อยครุ่นคิดอยู่ครู่เดียวกล่าวว่า “เรื่องมันมาถึงขั้นนี้แล้วเราไม่ทีทางเลือกที่ดีกว่านี้นี่” ถึงเป่ยฝางพวกนางคงต้องซ่อนตัวอยู่เบื้องหลัง ให้คนคอยเฝ้าสังเกตการต่อสู้แล้วมารายงาน
ถ้าสถานการณ์อันตรายผ่านไปได้นั้นยิ่งดี แต่หากมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นก็หวังว่าพวกนางจะสามารถช่วยอะไรได้บ้าง
“ได้ ข้าเชื่อฟังเจ้า” โจวยวนพยักหน้า
…
ไฟสงครามของเป่ยฝางได้แพร่ไปถึงทั่วทั้งเขตชายทางตอนเหนือ
สงครามที่เกิดจากแผนชั่วร้ายประหนึ่งสู้รบกันอย่างจริงจัง
ตลอดสามวันที่ผ่านมาทหารม้าต้าฉินพยายามยั่วยุโฮ่วจิ้นเพื่อให้พวกเขาออกทัพ
แต่ลู่ซิ่งเฉากลับผิดจากปกติ ปิดประตูไม่ออกไปไหน ไม่ได้รับผลกระทบจากคำยั่วยุ
วันนี้ผู้นำของกลุ่มสังเกตการณ์เทียนเจียวรีบร้อนจนอดใจรอไม่ไหวเข้าไปพบลู่ซิ่งเฉา “หลายวันมานี้ ต้าฉินตะโกนนอกเมืองมาทั้งวันทั้งคืน คำสกปรกนั้นไม่น่าเข้าหูเลย ท่านแม่ทัพจะทนเช่นนี้ต่อไปอย่างนั้นหรือ”
ลู่ซิ่งเฉาที่นั่งบนเก้าอี้ตำแหน่งแม่ทัพ ไม่เงยหน้ามองเลยแม้แต่น้อย “การเดินทัพต่อสู้ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าควรมากังวลใจ เจ้าดูแลกลุ่มเทียนเจียวให้ดีก็พอ”
“…” ผู้นำกลุ่มสะอึกกับคำพูดนี้ อยากจะพูดต่อแต่ดูท่าทางลู่ซิ่งเฉาไม่อยากจะพูดถึงเรื่องนี้สักเท่าไหร่
เขาทำอะไรไม่ได้จึงสะบัดแขนเสื้อ เดินจากไปอย่างโมโห
ระหว่างหันหลังจากไป ในใจยังไม่ลืมเยาะเย้ยท่าทางหยิ่งผยองของลู่ซิ่งเฉา หึ ก็แค่คนใกล้ตายคนนึงเท่านั้น!
หลังเขาเดินจากไป ลู่ซิ่งเฉาเงยหน้า แววตาที่ยากจะอธิบายกวาดมองแผ่นหลังเขาแล้วก้มหน้าไม่พูดอะไร
ผู้นำกลุ่มที่เดินออกจากค่ายแม่ทัพยังไม่ตายใจ จึงแอบนัดพบกับพรรคพวก
“เป็นอย่างไรบ้าง”
หนึ่งในนั้นถามขึ้นมา
ผู้นำกลุ่มส่ายหัว “ลู่ซิ่งเฉายากจะรับมือนัก”
“แล้วพวกเราจะทำอย่างไรต่อดี จะเสียเวลาอยู่อย่างนี้หรือ นายท่านส่งจดหมายลับมาหลายรอบแล้ว เร่งถามแต่เรื่องดำเนินไปถึงไหนแล้ว”
ผู้นำทีมขมวดคิ้วเงียบไปสักพัก กัดฟันพูดต่อว่า “ส่งข่าวให้ต้าฉินเลย ให้พวกเขาเตรียมพร้อมไว้ หลังจากนี้สามวัน พวกข้าจะยั่วยุให้เทียนเจียวออกรบ ช่วงนี้พวกเจ้าก็คอยยุยงพวกเขาอย่างลับๆ ให้พวกเขาทำตามแผนการของพวกเรา” พูดเสร็จเขากำหมัดแน่น
จากนั้น เขาหยิบผ้าไหมออกมาผืนหนึ่ง คลี่ออกมาบนนั้นมีชื่อที่เขียนด้วยสีชาด “จำไว้ คนพวกนี้คือคนที่นายท่านชี้สั่งไว้เป็นพยาน บาดเจ็บได้แต่ห้ามตาย”
พวกเขามองหน้ากันพยักหน้าอย่างเงียบๆ
…
สามวันที่ผ่านมาในกลุ่มผู้สังเกตการณ์เทียนเจียวที่ไม่มีอะไรทำเริ่มแสดงความคิดเห็น
คำพูดเหล่านั้นลอยเข้าหูเจียงหลีและลู่เสวียน
“มันมากเกินไปแล้ว ท่านพ่อข้าไม่ใช่คนขี้ขลาดกลัวตายเสียหน่อย” ลู่เสวียนกำหมัดทุบใส่โต๊ะในห้องเจียงหลี สะเทือนจนแก้วชายังสั่นมีน้ำกระเด้นออกมาหลายหยด
เจียงหลีกรอกตาไปมาพูดเสียงเบาว่า “ข้าว่าต้องมีคนอยู่เบื้องหลังแน่”
“ดูก็รู้ว่ามีคนจงใจสร้างเรื่องเพื่อทำให้พ่อข้าเสื่อมเสียชื่อเสียงชัดๆ!” ลู่เสียวกล่าวอย่างโมโห
เจียงหลียักคิ้ว “แค่พูดใส่ร้ายมันง่ายขนาดนี้เชียวหรือ”
ลู่เสวียนฟังออกว่าคำพูดนี้ยังมีความหมายอื่นแฝงอยู่จึงรีบขยับเข้ามาถาม “ยังมีเรื่องซับซ้อนอยู่อีกหรือ”
เจียงหลีมองเด็กหนุ่มอย่างเอือมระอา แม้แต่นางเองยังได้กลิ่นตุๆ จากสงครามครั้งนี้ ทำไมเขาถึงรู้สึกตัวช้าขนาดนี้