“สังหารกองทัพต้าฉินนับหมื่นด้วยตัวคนเดียวทั้งหมดนี้ก็เพื่อนางเจ้าไม่ซ่อนมันต่อแล้วหรือ เนี่ยนซือ… เนี่ยงจง ลู่เจี้ยเอ๋ยลู่เจี้ย เจ้าเก็บซ่อนได้ดีมาก”
ภูเขาในระยะไกลข้างๆ รถม้านั้นมีร่างที่ชัดเจนยืนอยู่มองไปที่แอ่งทรายสีเหลืองเหมือนทะเลเพลิง
สายตาของเขาไม่ได้รู้สึกอะไรต่อการตายที่น่าเศร้า แต่ที่เขามองไปยังคนคู่หนึ่งที่ยืนกอดกันท่ามกลางทะเลทรายเพลิง
“ในโลกที่สับสนวุ่นวาย ความจริงใจนั้นเป็นสิ่งที่มีค่ามาก เจ้าว่าไหมอาเฉวียน” หรงจิ่งพูดด้วยเสียงที่ว่างเปล่า เอื้อนเอ่ยถามออกไป
บ่าวที่ถูกเขาถามแอบกลัวในใจไม่รู้ว่าจะตอบเช่นไร
เขาเดาใจคุณชายไม่ออก
“นางทำเพื่อเขา ยินดีที่จะเป็นศัตรูของโลกที่หลอกลวงเขา และเขาก็ทำเพื่อนางโดยการเลิกซ่อนงำในสิ่งที่ทำมาหลายปีเพื่อกำจัดทหารนับพัน”
อาเฉวียนเงยหน้าด้วยความสงสัยมองเจ้านายด้วยความไม่เข้าใจ ทำไมน้ำเสียงที่เขาได้ยินจากเจ้านาย ฟังดูแล้วเหมือนมีทั้งความชื่นชมและอิจฉา
เขารู้ว่าเจ้านายมาที่นี่เพราะลู่เจี้ย แต่ตอนนี้ล่ะ เขาได้รู้สิ่งที่ซ่อนงำของนายน้อยตระกูลลู่แล้ว แต่จากนี้เจ้านายเขาคิดจะทำอะไรต่อ
“อาเฉวียน” ทันใดนั้นหรงจิ่งก็เรียกเขา
อาเฉวียนรีบเก็บความคิดลง กล่าวด้วยท่าทีที่ต้อยต่ำ “ขอรับ”
ดวงตาที่โปร่งใสคู่นั้นของหรงจิ่งยังคงจ้องมองไปที่คนคู่นั้นที่อยู่ไกลๆ “เรื่องที่เกิดในวันนี้ อย่าให้มันรั่วไหลออกไปล่ะ”
อาเฉวียนเงยหน้าไปมองเจ้านายตนเองด้วยความแปลกใจ
“พวกเรากลับซั่งตูกันเถอะ” หรงจิ่งเก็บสายตาหันหลังกลับด้วยท่าทางสง่างามเป็นธรรมชาติ
รถม้าที่เงียบเหงาจากไปอย่างเงียบๆ ไม่รบกวนการฆ่าฟันและโอบกอดในระยะไกล
“หลีเอ๋อร์ เจ้าพารีบเจ้าเสวียนกลับไปที่สถาบันไป๋หยวนเพื่อไปหาหนานอู๋เฮิ่น เขาจะมอบสิ่งหนึ่งให้กับเจ้า หลังจากที่ได้รับแล้วให้รีบกลับไปที่จวนลู่ในซูหนาน” ลู่เจี้ยกอดเจียงหลีแน่นกลืนเลือดในปากไม่ยอมให้นางเห็นภาพนี้
เจียงหลีที่ถูกสวมกอดรู้สึกประหลาดใจ ต้องเริ่มแล้วหรือ พระราชวงศ์ตระกูลลู่ในที่สุดก็จะเผยใบหน้าที่แท้จริงแล้วหรือ ศึกครั้งนี้ลู่เจี้ยจะตัดสินใจไปต่อสู้อย่างไร
“ได้” เจียงหลีไม่ได้ไปถามอย่างละเอียดเพราะนางรู้ว่าลู่เจี้ยมีแผนอยู่แล้ว “ยังมีจิ่งเยี่ย…”
เมื่อนึกถึงพี่ชายที่ไม่รู้เป็นตายร้ายดีแววตาเจียงหลีก็เริ่มแสดงความกังวลออกมา
มือของลู่เจี้ยลูบไล้ผมของนางเบาๆ แววตาที่ส่องสว่างของเขาและนางจ้องมองกัน เขาให้สัญญากับนาง “ข้าจะพาเขากลับมาหาเจ้าอย่างปลอดภัย”
เจียงหลีรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
ปฏิกิริยาของลู่เจี้ยน่าแปลกเกินไปดูเหมือนเขาไม่แปลกใจกับความห่วงใยที่นางมีต่อจิ่งเยี่ย
แต่ว่าเวลามีจำกัดนางก็ไม่อยากถามต่อ
การรับประกันของลู่เจี้ยเป็นสิ่งที่นางเชื่อ ดังนั้นนางจึงพยักหน้า
…
อีกด้านหนึ่ง จิ่งเยี่ยที่เจียงหลีเป็นกังวลขณะนี้บาดเจ็บสาหัสไปแล้ว
ด้วยพลังของเขาการปะทะกับทหารนับหมื่นทำได้เพียงแค่หนีหัวซุกหัวซุน เขารับรู้ได้อีกครั้งว่าพออยู่ในสนามจริงๆ พลังของเขามันน้อยแค่ไหน นอกเสียว่าวันหนึ่งเขาจะถูกแต่งตั้งให้เป็นหลิงหวง
จิ่งเยี่ยกัดฟันเช็ดเลือดบนใบหน้า หันไปมองกองทัพฉินที่ตามมาอย่างไม่หยุดหย่อน ก็ไม่รู้ว่าอาหลีหนีไปได้หรือยัง คนพวกนั้นตกลงเป็นสายลับราชวงศ์ฉินหรือเป็นคนทรยศกันแน่
“ฮ่าๆๆ ดูซิว่าเจ้าจะหนีไปไหนได้อีก”
เสียงเย้ยหยันมาพร้อมกันกับเสียงเกือกม้า
ขณะนี้เขาหมดแรงแล้ว ในเส้นเลือดหลักพลังวิญญาณว่างเปล่า
“ฆ่ามัน!” คนที่ไล่ตาม ออกคำสั่งกับทหาร ด้วยสายตาที่เฉียบคม
ทันใดนั้น มีดดาบมากมายนับไม่ถ้วนก็มาเพื่อจะฆ่าจิ่งเยี่ย
ฉึกๆๆ!
ทันใดนั้นมีเสียงที่ทะลุจากฟ้าลูกธนูที่แหลมคมตัดผ่านค่ำคืน แทงไปลำคอของทหารต้าฉินที่อยู่ใกล้จิ่งเยี่ย
การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันทำให้จิ่งเยี่ยไม่คาดคิดและทำให้ทหารต้าฉินที่ตามไล่สายตาเปลี่ยนไป
ขณะนี้มีร่างคนหลายคนปรากฏขึ้น เขาสู้จากข้างนอกเพื่อที่จะทำลายวงที่ล้อมจิ่งเยี่ยไว้
“รีบไป!” ในขณะที่ตกใจ มีร่างของคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นข้างจิ่งเยี่ยเสียงที่เบาและไพเราะถูกส่งมาจากปากเขา
ใบหน้าของนางสวมผ้าคลุมในค่ำคืนจึงมองใบหน้านางได้อย่างไม่ชัดเจน
แต่ว่าจิ่งเยี่ยยังจำเสียงของนางได้ “เจ้านี่เอง!” เขาตกใจมาก องค์หญิงผู้สูงศักดิ์เหตุใดจึงมาปรากฏตัวที่นี่ได้และยังช่วยเขาไว้อีก
“หนีไปก่อนค่อยว่ากัน” มู่ชิงเหยียนกล่าวด้วยความรวดเร็ว
มีเพียงสวรรค์ที่รู้ว่าขณะที่นางเห็นตัวจิ่งเยี่ยอาบด้วยเลือด นางรู้สึกเป็นห่วงเขามากขนาดไหน
ยอดฝีมือที่มู่ชิงเหยียนพามาด้วยล้อมรอบข้างทั้งสองด้วยความรวดเร็วทั้งออกสู้ ทั้งถอยร่น แต่ว่ากองทัพต้าฉินไม่อยากจะปล่อยพวกเขาไปยังคงไล่ตามเรื่อยๆ
ในขณะที่พวกเขากำลังจะหมดหวังก็มีฝูงคนลึกลับปรากฏตัวสกัดกั้นกองทัพต้าฉินเพื่อให้พวกจิ่งเยี่ยได้มีโอกาสหนี
ในที่สุดหลังจากที่พ้นอันตราย จิ่งเยี่ยปล่อยมือจากการถูกมู่ชิงเหยียนจับไว้และถอยหลังไปหลายก้าว
เขารักษาระยะห่างเสมอทำให้มู่ชิงเหยียนใจหายแต่ก็ไม่ได้บังคับ
“ต้องขอบพระทัยองค์หญิงอย่างมากที่ช่วยชีวิตข้า บุญคุณในวันนี้ วันหน้าต้องทดแทน แต่วันนี้ข้าขอต้องลาก่อน” จิ่งเยี่ยกล่าวจบก็หันหลังจากไป
เขาตกใจกับการกระทำของมู่ชิงเหยียน แต่ว่าเขาก็เป็นห่วงความปลอดภัยของน้องสาวมากกว่า
จ้องมองไปยังเงาที่จากไปไกลของจิ่งเยี่ย มู่ชิงเหยียนไม่ได้ตามไป
“องค์หญิง เขาเพิกเฉยต่อความดีของท่านมากเกินไปแล้ว” ยอดฝีมือที่อยู่ข้างนางกล่าวด้วยความทนดูไม่ไหว
มู่ชิงเยียนกลับส่ายหน้าช้าๆ “ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ข้ายินยอมเอง จะทำอะไรกับเขาได้ล่ะ”
“องค์หญิง ตอนนี้พวกเราจะทำอย่างไรดี” ยอดฝีมืออีกคนกล่าวถาม
มู่ชิงเหยียนเงยหน้าขึ้นมองไปยังท้องฟ้าที่ค่อยๆ สว่างขึ้น “พวกเรากลับซั่งตู พายุใกล้เข้ามาแล้ว”
“ขอรับ!”
…
ทะเลทราย ภูเขาหิมะของเป่ยฝาง เป็นแดนที่จัดว่างดงามยิ่งในโลกมนุษย์
ลู่ซิ่งเฉามองดูทิวทัศน์ของเป่ยฝางจากที่ไกล มุมปากของเขายังคงยิ้มจางๆ ที่นี่เป็นที่ที่เขาประจำการมายี่สิบปี ความพยายามอันนับไม่ถ้วนในที่สุดก็ถึงเวลาที่ต้องลาจากแล้ว
“ท่านแม่ทัพ”
รองแม่ทัพที่อยู่กับเขาทั้งคืนเห็นท่าทางของเขาแบบนี้ก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ
“ผู้คนต่างว่ากันว่า วิวทิวทัศน์ที่งดงามที่สุดในโฮ่วจิ้น คือภูเขาฝูถู แต่ถ้าให้ข้ากล่าว วิวที่งดงามที่สุด คือชายแดนเป่ยฝางของเรานี่แหล่ะ” ในคำพูดของลู่ซิ่งเฉาแฝงไปด้วยความภาคภูมิใจที่ไม่อาจบรรยายได้
เหล่ารองแม่ทัพต่างมองกันและกันทำไมพวกเขาถึงรู้สึกว่าคำพูดการกระทำของท่านแม่ทัพ เหมือนว่ากำลังจะบอกลาเป่ยฝาง
แต่ว่า ยังไม่ถึงเวลาเปลี่ยนแปลงแนวรบของการป้องกันนี่!
“มีพระราชโองการ”
เสียงตะโกนดังขึ้นมาจากที่ไกล
ทำให้สีหน้าของเหล่ารองแม่ทัพเปลี่ยนไปและรอยยิ้มของลู่ซิ่งเฉาก็ยิ่งเห็นได้ชัดเจนมากขั้น
“ทำไมถึงมีรับสั่งของฮ่องเต้มาถึงเป่ยฝางอย่างกะทันหันล่ะ”
เหล่ารองแม่ทัพค่อยๆ ปรึกษากัน
ขณะนี้ผู้นำของขบวนเทียนเจียวกลับเชิดคางขึ้นและเดินขึ้นบันไดตามผู้บัญชาการที่เป็นผู้ส่งมอบราชโองการ
“ลู่อ๋อง ลู่ซิ่งเฉารับราชโองการ” ผู้บัญชาการยกคำสั่งสีเหลืองขึ้นมองมือตัวเองด้วยความเย็นชาและหันหลังให้กับลู่ซิ่งเฉา
“มีสิ่งใดก็กล่าวเถอะ” ลู่ซิ่งเฉาไม่ได้หันกลับไป เขายังคงมองไปที่วิวของเป่ยฝางและน้ำเสียงค่อนข้างสงบ
ผู้ส่งมองราชโองการขมวดคิ้วดูเหมือนไม่พอใจกับท่าทีของเขา
แต่ว่าภายใต้เหล่าทหารชายแดนที่ดุร้ายก็ทำได้เพียงปฏิบัติตามสิ่งที่ลู่ซิ่งเฉากล่าว จึงกางพระราชโองการและอ่านรายละเอียดออกมา…