“นี่คือของแทนใจรึ” เจียงหลีมองลู่เจี้ยอย่างยียวน ไม่ปล่อยให้ตัวเองพลาดเห็นสีหน้าใดๆ ของเขา
น่าเสียดายที่ลู่เจี้ยกลับยังคงสงบนิ่ง ไม่ได้มีท่าทีอะไรเลย
“เก็บให้ดี” ลู่เจี้ยเอาถุงทั้งสามใบใส่มือเจียงหลี แล้วหันตัวเดินจากไป
เจียงหลีจ้องมองด้านหลังของเขา นางที่อมยิ้มอยู่ค่อยๆ หุบยิ้มลง ในดวงตาที่แวววาว ปรากฏความมืดมน
ร่างนั้นที่ค่อยๆ ไกลออกไปเรื่อยๆ ทำให้เจียงหลีรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ
ทันใดนั้น นางก็เคลื่อนไหวภายใต้ความประหลาดใจของผู้คนมากมาย
ร่างของนางแวบไปอยู่ตรงหน้าลู่เจี้ยอย่างรวดเร็ว จับคอเสื้อของเขา ผลักเขาเข้ากับกำแพงอย่างแรง
ผู้คนมากมายที่อยู่ตรงนั้น มองดูเหตุการณ์นี้ด้วยความงุนงัน
มุมปากของเจียงเฮ่ากระตุกอย่างแรง อยากลากน้องสาวของตัวเองที่โน้มตัวเข้าไปใกล้ลู่เจี้ยให้ออกมา
“ช่าง……ช่างรุนแรงอะไรเช่นนี้” ลู่เสวียนตกใจตาโต
แต่ทว่า ลู่เจี้ยกลับยังคงอมยิ้ม มองสาวน้อยที่เข้ามาใกล้ แววตาที่แวววาวซ่อนความรักใคร่เอ็นดูไว้
มองใบหน้าที่สง่างามในระยะที่ใกล้มาก เจียงหลีหายใจเข้าลึกๆ ท่ามกลางสายตาของผู้คนมากมาย เขย่งเท้า ประกบปากของตัวเองบนริมฝีปากที่เย็นเล็กน้อยของเขา
จุ๊บ!
ผู้คนล้วนตาเบิกโพลง หยุดใจหาย
องค์หญิงเสวียนเทียน นาง……นาง……
เจียงเฮ่าสีหน้าเคร่งขรึม กัดฟันจนเกิดเสียงดังกรอด
“ดุ ดุเดือดขนาดนี้เลย?!” ลู่เสวียนสีหน้าไร้ความรู้สึก
บริเวณโดยรอบอยู่ในความเงียบอย่างแปลกประหลาด ลู่จ้านที่ต้องคุ้มกันส่งพวกเขาไปยังซีเฉียน เมื่อเห็นภาพเหตุการณ์นี้ กล้ามเนื้อที่แก้มก็กระตุกอย่างแรง
“จำไว้ว่าท่านเป็นของข้า ถ้าข้ารู้ว่าท่านแอบไปมองหญิงอื่นตอนที่ข้าไม่อยู่ ข้าจะลงโทษท่านด้วยมือของข้าเอง” เจียงหลีละห่างออกจากริมฝีปากของลู่เจี้ย ทิ้งคำพูดที่โหดเหี้ยมเอาไว้
ภายใต้การข่มขู่ของนาง ลู่เจี้ยกลั้นยิ้มไว้ไม่อยู่
เจียงหลีจ้องเขา รอฟังคำรับปาก ในที่สุดลู่เจี้ยก็เปิดปากพูดอย่างประนีประนอมว่า “ตกลง”
เมื่อได้รับการยืนยันแล้ว ความกลัดกลุ้มใจของเจียงหลีก็เบาลงไปมาก
นางปล่อยคอเสื้อของลู่เจี้ย ปรบมือราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่ได้สนใจผู้คนที่ยังคงตกใจ พูดเสียงดังว่า “ออกเดินทาง!”
ผู้คนต้องดึงวิญญาณของตัวเองที่หลุดออกจากร่างเพราะความตกใจให้กลับมา ต่างมองไปยังลู่เจี้ยด้วยความเห็นใจ
นายน้อยของพวกเขา ทำไมถึงได้ถูกเด็กผู้หญิงคนหนึ่งข่มขู่ได้ล่ะ
ตอบโต้สิ! นายน้อย! ตอบโต้!
น่าเสียดายที่ไม่ว่าพวกเขาจะคาดหวังให้ลู่เจี้ยตอบโต้กลับอย่างไร ลู่เจี้ยยังคงไม่เคลื่อนไหว เพียงแต่มองดูนางขึ้นรถม้า แล้วออกจากเมืองไปอย่างช้าๆ
หลังจากรอให้คนจากไป เงาก็ออกมาจากที่มืด พูดกับลู่เจี้ยว่า “นายน้อย กลับไปพักเถอะขอรับ” เขาเป็นห่วงสุขภาพของลู่เจี้ยจริงๆ
ลู่เจี้ยกลับส่ายหัวช้าๆ “ยังมีนัดที่ต้องไป”
“นายน้อย!” เงาอยากจะขัดขวาง
แต่ลู่เจี้ยกลับหันตัว เดินไปอีกทางหนึ่งอย่างช้าๆ “เงา เวลาของข้ามีไม่มากแล้ว มีบางเรื่องที่ต้องการให้อีกคนมาจัดการ”
เงาแสดงสีหน้าตกใจ พูดเสียงต่ำว่า “คือคุณชายจิ่งรึ”
ลู่เจี้ยพยักหน้า
“เขาจะทำตามคำสั่งของนายน้อยรึ” เงามีความสงสัย
ลู่เจี้ยตอบกลับอย่างมั่นใจ “ตั้งแต่ตอนที่เขาเริ่มสนใจหลีเอ๋อร์ ก็ถูกกำหนดให้ทำตามแผนที่ข้าวางไว้ เขาต้องทำให้เจียงหลีประสบความสำเร็จในก้าวสุดท้ายแทนข้า”
เงานิ่งเงียบไป
เขามองนายน้อยของตัวเอง ในใจถอนหายใจไม่หยุด เพื่อเจียงหลี นายน้อยของเขาทุ่มเทเป็นอย่างมาก
……
เจียงหลีที่นั่งอยู่บนรถม้าคนเดียว ได้ยินแต่เสียงล้อรถหมุนอยู่บนถนน
นางหยิบถุงทั้งสามใบและหยกที่ลู่เจี้ยยัดใส่มือนาง บนหยกขาวอู๋สยาก้อนนั้นแกะสลักได้อย่างวิจิตรงดงาม ราวกับไม่ได้ใช้มีดแกะสลักทั่วไปมาแกะสลัก
เจียงหลีหยิบขึ้นมาดูอยู่ครู่หนึ่ง ความรู้สึกที่อบอุ่นนั้น นางชอบใจมาก จึงเอาจี้หยกมาแขวนไว้กับสร้อยที่คอ
หลังจากนั้น นางถึงได้มองที่ถุงทั้งสามใบนั้น ลู่เจี้ยบอกนางว่าเมื่อเจอกับเรื่องที่ยากจะรับมือ ให้เปิดออก แต่ว่า……
“ทำไมข้าต้องเชื่อฟังเขาด้วย” เจียงหลีบ่นพึมพำ แล้วเปิดถุงทั้งสามใบนั้นทันที หยิบกระดาษเอามาจากในถุง
‘หากอำนาจต่ำกว่า ต้องทน!
หากทนจนทนไม่ไหว ให้ฆ่า!
เผาทำลายศพลบร่องรอย แล้วหนี!’
เนื้อหาบนกระดาษทำให้ดวงตาที่ใสแจ๋วเกิดความสั่นไหว ความอ่อนโยนค่อยๆ เอ่อล้นออกมา บนกระดาษนั้นมีลายมือที่มีความหมายและมั่นคง
นี่เขากลัวว่าข้าจะก่อเรื่อง ทำเรื่องที่คาดไม่ถึงงั้นหรือ เจียงหลียิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว นางเก็บคำเตือนของลู่เจี้ยใส่ไว้ในถุงเป็นอย่างดี
สามข้อนี้ ที่จริงไม่ต้องให้ลู่เจี้ยเตือนก็ได้ แต่นี่เป็นสิ่งที่ลู่เจี้ยเขียนเองกับมือ นางจึงอยากเก็บเอาไว้
เจียงหลีหายใจเข้าลึกๆ กดทับความทุกข์ที่เกิดจากการจาลาเอาไว้
นางนั่งสมาธิบนรถม้า หลับตาลง แล้วเริ่มฝึกจิต
เมื่อลืมตาขึ้น ร่างจิตสำนึกของนางก็เข้าสู่เสี่ยวหมีเจี้ยจื่อแล้ว
[ผ่านด่าน จะได้รับรางวัลเป็นอัตราการไหลของเวลาที่เร็วขึ้น!] ในเสี่ยวหมีเจี้ยจื่อ ปรากฏตัวอักษรสีทองตัวใหญ่
เจียงหลีดีใจ ‘อัตราการไหลของเวลาที่เร็วขึ้น หมายความว่าหากฝึกฝนอยู่ในเสี่ยวหมีเจี้ยจื่อหนึ่งเดือน หรือหนึ่งปี แต่แท้จริงแล้วเป็นเวลาเพียงหนึ่งวันในโลกภายนอกหรือ’
นี่นับเป็นเรื่องที่ดีมากๆ!
“ข้าขอรับคำท้า!” เจียงหลีดวงตาเปล่งประกาย นางวางแผนเรียบร้อยแล้วว่า ระหว่างทางไปซีเฉียน จะต้องตั้งใจฝึกฝน
……
นอกเมืองซั่งตู ในสวนที่ๆ ดอกไม้บานสะพรั่งผืนนั้น
หรงจิ่งที่มาถึงนานแล้ว เมื่อได้ยินเสียงของการเคลื่อนไหวด้านหลัง จึงหันตัวไปมองชายผู้นั้นที่เป็นเหมือนดั่งราชาแห่งดอกไม้ มีเสน่ห์ ทำให้ฟ้าดินไร้สีสัน “ท่านมาแล้วหรือ”
“ท่านรักษาเวลามาก” ลู่เจี้ยพูดอย่างเย็นชา
หรงจิ่งยิ้ม “ท่านเชิญด้วยตัวเอง ข้าจะสายได้อย่างไร” เขาสงสัยมากว่าจุดประสงค์ที่ลู่เจี้ยนัดหมายเขาคืออะไร
“องค์ชายจิ่งรักและเมตตาเช่นนี้ เป็นโชคดีของข้าจริงๆ” ลู่เจี้ยไม่ได้เข้าใกล้หรงจิ่ง หยุดลงในช่วงระยะหนึ่ง
ระยะห่างที่เขาตั้งใจเว้นไว้ ทำให้หรงจิ่งแววตาแวววาว ดีใจเล็กน้อย “ในที่สุดนายน้อยลู่ก็คิดลงมือแล้วรึ”
“เป็นเรื่องยากที่จะได้รับความเป็นห่วงจากองค์ชายจิ่งเช่นนี้ วันนี้ข้าก็ทำตามที่ท่านหวังไว้แล้วละ” คำพูดของลู่เจี้ย พิสูจน์การคาดเดาของเขา
หรงจิ่งเป็นหลิงไซว่ ลู่เจี้ยเป็นเนี่ยนซือ
เนี่ยนซือไม่สามารถต่อสู้ระยะประชิดได้ เขาไม่ได้เข้าใกล้ ก็แสดงให้เห็นถึงจุดประสงค์ของเขาแล้ว
“ได้! ฮาๆๆๆ! การพบเจอในวันนี้ไม่เสียเปล่าแล้ว!” หรงจิ่งยิ้มออกมาอย่างเบิกบาน
ลมพัด ดอกไม้ร่วง
ชายผู้ยอดเยี่ยมทั้งสองคนยืนประจันหน้ากัน ถูกโอบล้อมด้วยหมู่มวลดอกไม้ นับว่าเป็นการชมความงดงามของทิวทัศน์อย่างหนึ่ง
ทันใดนั้น พลังจิตที่ออกมาจากตัวลู่เจี้ยก็แผ่ไปทั่วบริเวณโดยรอบ ดอกไม้ที่พลิ้วไหวไปตามลมก็นิ่งลงทันที กลีบดอกไม้เหล่านั้นหลุดออกจากเกสรดอกไม้ ลอยล่องอยู่กลางอากาศ วนอยู่รอบๆ ระหว่างทั้งสอง
หรงจิ่งไม่ขยับ ยังคงอมยิ้มแล้วมองลู่เจี้ย
ลู่เจี้ยก็ไม่ได้ขยับ แต่ในความเป็นจริงแล้ว พลังจิตของเขาปกคลุมไปทั่ว การรับรู้ทั้งหมดอยู่ในการควบคุมของเขา
ตูมมม!
กลีบดอกไม้ที่นิ่งไม่กระดิก ทันใดนั้นก็เคลื่อนไหวแล้ว
พวกมันกลายเป็นคมมีดที่มีสีสัน ลมหมุนไปรอบๆ กลายเป็นปีศาจขนาดใหญ่มุ่งไปหาหรงจิ่ง
ทันใดนั้น แสงสีทองแผ่ออกปกคลุมด้านหลังของหรงจิ่ง ร่างของวิญญาณยุทธ์เงยหัวขึ้นจากด้านหลังของเขา คำรามด้วยความโกรธ การปะทะกันของคลื่นเสียงที่สั่นสะเทือนและปีศาจกลีบดอกไม้ขนาดใหญ่ ทันใดนั้นก็ระเบิดจนแตกกระจาย กลายเป็นสายฝนกลีบดอกไม้ห่าใหญ่