ข้าเจียงหลีฆ่าคนต้องหลบๆ ซ่อนๆ ด้วยหรือ
นางพูดเพียงเท่านี้ ทุกอย่างล้วนสงบนิ่ง
หลังจากได้ยินคำพูดของหญิงสาว ใบหน้าของผู้คนที่มารวมตัวกันอยู่บริเวณรอบๆ ก็ต่างตกตะลึง
ช่าง…หยิ่งผยองยิ่งนัก!
ต่อหน้าฝ่ายยุติธรรมยังบังอาจฆ่าคนได้เช่นนั้น ยิ่งไปกว่านั้น ยังพูดประโยคที่โอหังเช่นนั้นออกมา ยิ่งเป็นการตอกย้ำกับฝ่ายยุติธรรมด้วยข้อเท็จจริงที่ว่าคนอย่างเจียงหลีหากจะฆ่าคนก็ฆ่าอย่างโจ่งแจ้ง จะหลบๆ ซ่อนๆ ได้อย่างไร จะแอบเข้าไปในห้องของผู้อื่นแล้วลอบสังหารในตอนกลางคืนอย่างนั้นหรือ
หรือถ้าหากนางฆ่าคนจริง นางจะไม่มีทางปฏิเสธ และหากนางมิได้ฆ่าคนตามที่ถูกกล่าวหา ใครก็จะมาใส่ร้ายนางไม่ได้เด็ดขาดเช่นกัน
ช่างเป็นวิธีที่พิสูจน์ความบริสุทธิ์ได้อย่างแปลกประหลาดนัก แต่…จะเท่เกินไปเสียแล้ว!
หลังจากตกตะลึงกันไปชั่วครู่ นัยน์ตาของลูกศิษย์หลายคนต่างผุดดาวดวงเล็กๆ อออกมาให้เห็นและมองไปที่เจียงหลีผู้ที่มีอายุเพียงสิบกว่าปีด้วยความเลื่อมใสศรัทธา
อายุน้อยแล้วอย่างไรเล่า
พรสวรรค์สูงและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เท่ระเบิดไปเลย!
ท่ามกลางฝูงชน ใบหน้าของเฉียนจวิ้นหม่นหมองลง และแววตาที่มองไปหาเจียงหลี โดยมิสามารถคาดเดาได้ โจวยวนที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็มีแววตาของความขมขื่นเช่นกัน แต่นางไม่รู้ว่าความขมขื่นนี้จะพุ่งเป้าไปที่เจียงหลีหรือลู่เสวียนดี
“เจียงหลี! เจ้ากล้าฆ่าคนตอหน้าธารกำนัลเช่นนี้เลยหรือ” ใบหน้าของเจียงซย่าก็ดูแย่ไม่แพ้กัน หญิงสาวคนนี้กล้าหาญและบ้าบิ่นมากเกินไปแล้ว และไม่ไว้หน้าเขาเลย
“ท่านหัวหน้าเจียงซย่า แม้ว่าจะมีพยาน ก็ควรให้โอกาสน้องสาวข้าได้โต้แย้งด้วย” เจียงเฮ่าพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา การที่เขาไม่ถ่อมตัวหรือเอาแต่ใจเป็นที่ชื่นชมของเจียงซย่านัก และเขาก็ตั้งใจคัดเลือกเจียงเฮ่าให้เข้ามาอยู่ในฝ่ายยุติธรรมด้วย
แต่ตอนนี้ เขากลับเข้าข้างน้องสาวเสียเหลือเกิน …
“เจียงเฮ่า มีใครเขาใช้วิธีโต้แย้งเยี่ยงนางกันหรือ” น้ำเสียงของเจียงซย่าหนักแน่น
“ทุกคนมีวิธีไต่สวนคดีที่แตกต่างกัน ใต้เท่าเจียงซย่าได้โปรดฟังคำให้การเสียหน่อย เพราะพวกข้าทุกคนล้วนอยู่ในสถาบันไป๋หยวนกันอยู่แล้ว หนีไปไหนไม่ได้หรอก” ลู่เสวียนกล่าว
เวลานี้ เจียงหลีไม่สนใจความคิดของทุกคน แต่มุ่งความสนใจไปที่พยานที่เหลือและเดินเข้าไปอย่างช้าๆ
นางก้าวเท้าช้าๆ มิได้ปลดปล่อยพลังอำนาจใดๆ แต่กลับทำให้คนผู้นั้นสั่นสะท้านไปทั้งตัว และสายตาก็ยังจ้องมองไปมาระหว่างเจียงหลีกับศพที่อยู่บนพื้น
“เจ้าเห็นข้าฆ่าคนหรือไม่” เจียงหลีกล่าว
“ข้า…”
ชายคนนี้อดไม่ได้ที่จะถอยหลังหนึ่งก้าว ความรู้สึกผิดก็เขียนไว้บนใบหน้าหมดแล้ว
เจียงหลีมองเขาด้วยความรังเกียจ ทันใดนั้นก็ก้าวยาวไปข้างหน้าเช่นเดียวกับตอนที่ฆ่าคนก่อนหน้านี้
“อ้าก! อย่าฆ่าข้าเลย ข้าพูดๆ…ข้าไม่เห็นเจ้าฆ่าคน…ข้าพูดมั่วซั่วโดยไม่มีหลักฐาน…” ชายผู้นั้นตกใจกับความน่าเกรงขามของเจียงหลีอย่างมากจนทรุดลงไปคุกเข่ากับพื้นและปิดตาตะโกนร้องเสียงดังลั่น นางกล้าลงมือฆ่าคนจริงๆ!
เหอะ!
ขี้ขลาดตาขาวเช่นนี้เลยหรือ
สายตาที่เหยียดหยามทุกคู่จับจ้องมาที่เขา
มุมปากเจียงหลีโค้งขึ้นเล็กน้อย ชำเลืองมองเจียงซย่าที่สีหน้าเศร้าหมองเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม
เจียงซย่ากวาดสายตาไปที่คนบนพื้นอย่างเคร่งเครียด “พูดมา! ตกลงเจ้าเห็นอะไรบ้าง เหตุใดถึงต้องมาใส่ร้ายศิษย์ร่วมสำนักด้วย หรือจริงๆ แล้วพวกเจ้าทั้งสองเป็นคนลงมือสังหารทังจงเฉา”
“ใต้เท้าขอรับ ไม่ใช่ ไม่ใช่ข้า…” ชายผู้นั้นโต้กลับด้วยความหวาดกลัว แต่หางตาของเขากลับกวาดไปยังตำแหน่งของเฉียนจวิ้นและโจวยวนโดยไม่รู้ตัว
แน่นอนว่าเมื่อเขาได้รับคำเตือนจากดวงตาอันดุดัน เขาก็กลัวมากจนต้องหลบสายตาและหมอบลงบนพื้นด้วยเนื้อตัวสั่นเทา และเมื่อเขาต้องการอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก็กลับกลายเป็นเสียงครวญคราง
การเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ ของเขา ไม่อาจหลบหลีกสายตาของเจียงหลีไปได้
เพียงแต่ แม้นางจะเห็นแล้วก็ตาม แต่กลับไม่เอ่ยปากพูด เพียงแค่แววตาของนางเต็มไปด้วยรอยยิ้มอย่างเย็นชาเท่านั้น
“พี่ใหญ่ มีกฎข้อบังคับหรือไม่ว่าหากใส่ร้ายศิษย์ร่วมสำนัก จะต้องได้รับโทษเช่นไร” เจียงหลีถามอย่างกะทันหัน
เจียงเฮ่าตอบทันทีด้วยน้ำเสียงที่ดังและทรงพลัง “มีระเบียบข้อบังคับนี้แน่นอน ใครก็ตามที่ใส่ร้ายศิษย์ร่วมสำนัก ต้องโทษประหาร! ”
เจียงหลีโค้งริมฝีปากด้วยความพึงพอใจ และมองไปที่เจียงซย่าด้วยรอยยิ้ม ราวกับจะบอกว่า คนที่ข้าฆ่าไปนั้น สมควรถูกประหารแล้ว
“ฮึ่ม” เจียงซย่าเข้าใจความหมายภายในดวงตาของนาง และพูดอย่างเย็นชา สั่งฝ่ายยุติธรรมว่า “พาคนผู้นี้กลับไปสอบสวนอย่างเข้มงวด”
“ขอรับ! ”
พอฝ่ายยุติธรรมได้รับคำสั่ง จึงลากชายผู้นั้นศพบนพื้นออกไป
หลังจากการแสดงละครสดจบลง คนอื่นๆ ต่างเดินจากไปหลังจากชื่นชมเจียงหลีอย่างพร้อมเพรียง
เจียงหลีจ้องมองไปตรงเงาด้านหลังที่เดินจากไปของเฉียนจวิ้นพร้อมโจวยวน และรอยยิ้มที่มุมปากค่อยๆ จางลง
“มีผู้บงการอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้อย่างแน่นอน” เจียงเฮ่าขมวดคิ้ว แววตาแฝงไปด้วยความกังวล
เจียงหลียิ้มอย่างเมินเฉย “ช่างมันเถอะ”
…
เฉียนจวิ้นพาโจวยวนไปยังดินแดนที่ไร้ผู้คนแล้วตบไปที่แก้มของนาง “นังคนโง่ ต้องให้ข้ามาจัดการกับปัญหาที่ตามมาภายหลังอีก”
โจวยวนยกมือปิดแก้มที่เจ็บปวด และกลั้นความเกลียดชังในดวงตาเอาไว้ แล้วกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ทังจงเฉารู้ทั้งรู้ว่าข้าเป็นคนของท่าน กลับยังมาประจบเอาใจข้าอย่างลับๆ และนินทาท่านลับหลังอย่างหยาบคาย ข้าแค่โมโหเกินไป…”
เหมือนกับว่าเฉียนจวิ้นจะไม่ฟังคำอธิบายของนางเลย และพูดอย่างผิดหวังว่า “น่าเสียดาย โอกาสอยู่แค่เอื้อม กลับคว้าเอาไว้ไม่ได้ ข้าอยากเห็นใบหน้าอันหยิ่งผยองของนางเผยความตกใจจนทำอะไรไม่ถูกออกมาให้เห็นเสียจริง คงจะน่าสนใจและน่าหลงใหลยิ่งนัก”
เสียงคำอธิบายของโจวยวนค่อยๆ จางหายไป นางเงยหน้าขึ้นมองดวงตาของเฉียนจวิ้นด้วยความขยะแขยงที่พุ่งขึ้นทะยานสู่หางตา
“ช่วงนี้ เสด็จพี่ของข้าเคลื่อนไหวมากแล้ว ข้าต้องจับตาทางนั้นก่อน เจ้าอยู่ที่สถาบันไป๋หยวนอย่าได้สร้างปัญหาให้ข้าอีก ได้ยินหรือไม่” เฉียนจวิ้นหันหน้ามาสบตานางและกล่าวเตือนอย่างเย็นชา
โจวยวนก้มศีรษะ ลดสายตาลง และกล่าวด้วยความเคารพ “เจ้าค่ะ”
รูปลักษณ์ภายนอกที่ดูเรียบร้อยของนางนั้นตรงกันข้ามกับความเย่อหยิ่งและเย็นชาที่คนนอกมองเห็น เฉียนจวิ้นโค้งริมฝีปากขึ้นด้วยความพอใจ แล้วเดินเข้าไปยืนตรงหน้านางอย่างช้าๆ ยกคางนางขึ้น เผยให้เห็นถึงลำคอเรียวยาว
“อย่างนี้สิถึงจะน่ารัก” เขาโน้มตัวเข้าไปใกล้และสูดดมคอของนางซ้ำๆ
โจวยวนอดกลั้นฝืนทนต่อความสะท้านใจที่น่าขยะแขยงนี้ ปล่อยให้เขาทำตามอำเภอใจ ขณะที่เฉียนจวิ้นไม่ทันสังเกตเห็น ความเกลียดชังของนางที่มีต่อลู่เสวียนและเจียงหลีก็เพิ่มขึ้นไม่น้อย
…
สถาบันไป๋หยวนซีเฉียนเงียบสงบลงอีกครั้ง
เหตุการณ์ใส่ร้ายเจียงหลีและการตายของทังจงเฉา เป็นเพียงก้อนกรวดเล็กๆ เท่านั้น หลังจากถูกโยนลงไปในทะเลสาบแล้ว ได้กระเพื่อมเป็นวงกว้างและจางหายไปในที่สุด
คนที่ถูกเจียงซย่านำตัวกลับไป ไม่เคยปรากฏตัวขึ้นอีกเลย เป็นตายร้ายดีเช่นไร ก็มิอาจทราบได้
ขณะที่ทางฝั่งเจียงหลีดูเหมือนจะลืมเหตุการณ์นี้ไปแล้วและอุทิศตนให้กับการฝึกฝน ไม่ค่อยปรากฎต่อหน้าผู้คนนัก เจียงเฮ่าและลู่เสวียนต่างเพียรฝึกฝนอย่างหนัก โดยเฉพาะลู่เสวียน หลังจากมาถึงซีเฉียนได้เพียงสามเดือน การฝึกฝนอยู่ที่หลิงซื่อระดับขั้นที่เก้าแล้ว ขอเพียงแค่ประสานกับวิญญาณยุทธ์เท่านั้น ก็จะได้เลื่อนขั้นเป็นหลิงเจี้ยง
เมื่อเรื่องราวของพวกเจียงหลีทั้งสามสงบนิ่งลงชั่วคราว ทางด้านหนานฮวงกลับปรากฎเหตุการณ์ที่น่าอัศจรรย์ขึ้น
ราชวงศ์ขยาเซียนซึ่งเข้ามาแทนที่ราชวงศ์โฮ่วจิ้นกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดดในการปรับเปลี่ยนสถานะของหนานฮวงด้วยความเร็วที่น่าตกใจนัก และทำให้นานาประเทศตระหนักถึงความทะเยอทะยานของราชวงศ์จยาเซียนได้เป็นครั้งแรกอีกด้วย…