บทที่ 29 เธอยังเป็นห่วงฉัน?
“รักกันงั้นเหรอ? หล่อนไม่เคยรักผมจริง”
มู่จื่ออี้ยิ้มเย้ย แสดงท่าทางโดดเดี่ยวและเยาะเย้ยขึ้น
“ตอนแรกที่ผมเจอกับหล่อนที่นี่ เป็นแผนที่หล่อนวางไวแล้ว ตั้งแต่ต้นจนจบ หล่อนจงใจเข้าใกล้ผม จนก่อนหน้านั้นสามเดือน ตอนที่พวกเราหมั้นกัน ผมเพิ่งรู้ว่า หล่อนคบกับผมเพื่อเงิน”
เย้นหว่านตกใจมาก “นี่เป็นเรื่องเข้าใจผิดกันรึเปล่า? หล่อนดูไม่เหมือนคนแบบนั้นเลย”
“ตอนนั้นผมก็ถูกหล่อนหลอก หลอกลวงทุกเรื่อง เหมือนผมเป็นคนโง่”
มู่จื่ออี้พูดอย่างเศร้าโศก “วันนี้ผมขอโทษจริงๆ ทำให้เธอต้องมาเจอเรื่องแย่แบบนี้ ผมขอไม่ไปส่งนะ ขอโทษด้วยครับ”
“นายอย่าคิดมากนะ กลับไปพักผ่อนเถอะ”
เย้นหว่านมองมู่จื่ออี้ด้วยความเป็นห่วง ไม่รู้ว่าจะพูดปลอบเขายังไงดี
เรื่องแบบนี้ คนนอกไม่ควรพูดอะไรมาก
วันต่อมา
หลังจากที่เย้นหว่านถึงบริษัท หล่อนเดินไปที่แผนกออกแบบก่อน จัดเอกสารงานที่ทำมาในหนึ่งปี และผลงานตอนเรียนให้เป็นระเบียบ
ตอนนี้หล่อนยังขาดประสบการณ์ แต่ความสามารถนั้นมีเปี่ยมล้น
โควต้าเข้าร่วมแข่งขันประกวดออกแบบชุดOvi สามสิทธิ์นั้น หล่อนต้องหาวิธีให้โห้หลีเฉินยอมรับให้หล่อนเข้าร่วมให้ได้
เย้นหว่านเดินถือเอกสาร พลางคิดวิธีจะเริ่มพูดยังไงกับโห้หลีเฉินถึงจะได้ผล
แต่เมื่อเดินถึงห้องทำงาน หล่อนกลับเห็นคนมากมายอยู่ในห้องทำงานของประธานแล้ว แต่ละคนยืนตัวตรงเรียงหน้ากระดาน ท่าทางกระวนกระวาย ราวกับจะโดนยิงเป้า
แต่ผู้ชายที่นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน กลับไม่แสดงสีหน้าอะไร ทั้งๆที่กำลังพูดตำหนิด่าว่าพวกเขา
เขาขว้างแฟ้มเอกสารลงที่พื้น น้ำเสียงเย็นชานิ่งขรึม
“ไปรับเงินเดือนที่แผนกการเงิน”
ผู้ชายวัยกลางคนสีหน้าซีดเจื่อนทันที เสียงสั่นพูดขึ้น
“ท่านประธาน ได้โปรดให้โอกาสผมอีกสักครั้งนะครับ ผมจะทำแผนงานออกมาให้ดีที่สุด”
“ออกไป”
โห้หลีเฉินไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น พูดด้วยน้ำเสียงหมดความอดทน ทำให้ทุกคนต่างกลัวจนตัวสั่น
ผู้ชายวัยกลางคนอยากจะร้องขอความเห็นใจ แต่กลับกลัวจนพูดไม่ออก เขากอดแฟ้มเอกสารไว้ด้วยความเสียใจ เดินออกไปข้างนอกด้วยท่าทีสิ้นหวัง
ไล่คนออกแต่เช้า?
เย้นหว่านรู้สึกประหลาดใจ และรู้สึกถึงบรรยากาศที่อึดอัดและน่ากลัวภายในห้องทำงาน
หล่อนกอดเอกสารไว้แน่น ไม่กล้าพูดอะไร ค่อยๆเดินไปนั่งที่ทำงานของตนด้วยความระมัดระวัง
สายตาของโห้หลีเฉินกวาดมองตรงไปที่เย้นหว่าน เมื่อเห็นหล่อนนั่งทำงานที่โต๊ะเรียบร้อย อารมณ์ก็ดีขึ้นมาทันที
กับผู้ชายคนอื่นพูดจาหยอกล้อกันสนุกสนาน แต่กับเขากลับมีท่าทีเกรงขามตลอด
“ทำใหม่”
เอกสารมากมายที่โยนลงบนพื้น
ผู้คนมากมายรีบออกมาเก็บเอกสารอย่างรวดเร็ว ต่างพากันก้มหน้า ไม่กล้าพูดอะไร
ทั้งเช้าวันนี้ บรรยากาศภายในห้องทำงานเต็มไปด้วยความอึดอัดและความหวาดกลัว
ทุกคนที่มาที่นี่ไม่มีใครได้รับคำชื่นชมสักคน งานทั้งหมดถูกตีกลับให้ทำใหม่ และมีบางคนที่ถูกไล่ออกทันที
แต่ละคนหวาดกลัวจนหัวใจแทบวาย เสมือนยืนอยู่ริมหน้าผาที่สามารถตกลงไปได้ทุกเวลา
ภายใต้บรรยากาศเช่นนี้ เย้นหว่านรู้สึกกลัวจนซึมไปด้วยเช่นกัน เมื่อถึงตอนกลางวัน ยังมีพนักงานอีกหลายคนที่ยังโดนสั่งสอน หล่อนจึงค่อยๆย่องเดินออกไปเหมือนตอนที่เข้ามา
เมื่อเห็นร่างเล็กๆกำลังย่องเดินออกไป สีหน้าของโห้หลีเฉินแย่ลงทันที
บรรยากาศภายในห้องทำงานตกอยู่ในความกดดันขึ้นอีกครั้ง คนที่ยังยืนอยู่ในห้อง ต่างพากันเข่าอ่อนกันหมด
เย้นหว่านไปกินข้าวที่โรงอาหารของบริษัท
หลังจากที่หล่อนตักอาหารเสร็จ จึงเดินไปหาที่นั่ง หล่อนต้องนั่งเบียดกับอีกคนตรงหน้า
เมื่อมู่จื่ออี้เห็นหล่อน หน้าตาอันหล่อเลาของเขาปรากฏรอยยิ้มขึ้น
“ถ้าไม่รังเกียจ กินข้าวด้วยกันไหมครับ”
“แน่นอนสิ”
เมื่อเห็นเขากลับมาร่าเริงเป็นปกติ เย้นหว่านจึงรู้สึกสบายใจขึ้นมา
แม้ว่าจะนั่งกินข้าวอยู่ภายในโรงอาหาร มู่จื่ออี้กลับดูเหมือนคุณชาย กินอาหารด้วยความประณีต กริยางดงาม ชวนหลงใหล
เขาพูดพลาง กินพลาง “เป็นยังไงบ้าง ได้โควตาเข้าแข่งขันประกวดออกแบบของOviแล้วยังครับ?”
ตอนเช้าขณะที่มู่จื่ออี้ช่วยหล่อนจัดเอกสาร จึงรู้เรื่องพวกนี้
เย้นหว่านยิ้มเจื่อนด้วยความโศกเศร้า “ยังเลย วันนี้ท่านประธานอารมณ์ไม่ดี พนักงานแต่ละคนถูกเขาเหวี่ยงใส่จนกลัวกันหมดแล้ว”
หล่อนพูดออกไปเช่นนี้ เกรงว่าจะถูกโห้หลีเฉินตีตาย
“ผมได้ข่าวมาบ้างแล้ว บรรยากาศในห้องทำงานเศร้าซึมกันมา แต่ทว่า ผมได้ยินมาอีกว่า จะมีการประกาศโควตารายชื่อเข้าร่วมเข้าแข่งขันประกวดออกแบบของOviตอนบ่ายวันนี้”
“วันนี้ตอนบ่าย? นั้นฉันคงหมดหวังแล้วสินะ”
เย้นหว่านกินข้าวไม่ลงทันที
ความฝันอันยิ่งใหญ่ที่สุดของหล่อนคือการได้เข้าร่วมประกวดออกแบบชุดOvi ได้แสดงผลงานตัวเองบนเวทีแห่งนี้ และจะได้เป็นดีไซน์เนอร์ผู้มีชื่อเสียงอันโด่งดัง ทำความฝันวัยเด็กให้สำเร็จ
แต่การแข่งขันที่ว่านี้จัดขึ้นเพียงสามปีครั้ง ถ้าพลาดครั้งนี้ หล่อนจะต้องรออีกสามปี รออย่างลมๆแล้งๆ
“หรือว่า เธอลองหาวิธีทำให้ท่านประธานอารมณ์ดีดูสิ?” มู่จื่ออี้แนะนำ
นั่นก็คือการเอาใจโห้หลีเฉิน?
เย้นหว่านตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นสายตาเป็นประกายขึ้นมาทันที
โห้หลีเฉินรู้สึกดีกับหล่อน หรือว่าต้องเอาใจเขาสักหน่อย จึงจะมีหวังขึ้นมา
“จื่ออี้ขอบใจนายมากนะ ค่อยๆกินนะ ฉันไปก่อนล่ะ”
เย้นหว่านพูดพลางลุกขึ้นยืน เดินไปซื้ออาหารที่แพงที่สุดในโรงอาหาร จากนั้นตรงไปที่ห้องทำงานท่านประธาน
เมื่อหล่อนเดินไปถึงยังคงเห็นผู้มากมายอยู่ในห้อง ตอนนี้โห้หลีเฉินคงยังไม่กินข้าวแน่นอน ถ้าหล่อนเอาข้าวไปหาด้วยความใส่ใจเช่นนี้ อาจจะทำให้เขารู้สึกดีกับหล่อนมากขึ้น
ภายในห้องทำงานท่านประธาน
เว่ยชีเข็นรถอาหารเข้ามา มีอาหารน่าทานมากมายวางอยู่บนนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นอาหารจะฝีมือเชฟชั้นเยี่ยม
เขาเข็นรถไปที่ด้านข้างโต๊ะทำงาน จากนั้นเดินไปกระซิบข้างโห้หลีเฉิน
“ท่านประธาน ทานอาหารกลางวันก่อนดีไหมครับ”
เมื่อบรรดาพนักงานที่ยืนอยู่ได้ยินเช่นนั้น ต่างพากันรู้สึกเหมือนมีความหวังขึ้นมา ตั้งหน้าตั้งตารอให้โห้หลีเฉินรีบไปทานข้าว
พวกเขาจะได้หายใจหายคอกันบ้าง
“ไม่ต้อง”
โห้หลีเฉินนั่งไม่ขยับ ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น
เขาเปิดเอกสารดูต่อ ตอนแรกเขาแค่ต้องการตรวจดูความคืบหน้าของงาน แต่เมื่อดูไปมากลับพบว่าพนักงานพวกนี้ทำงานชุ่ยกันเหลือเกิน
ไม่สั่งสอนไม่ได้
พนักงานพวกนั้นจิตตกทันที ยืนขมวดคิ้วด้วยสีหน้าเคร่งเครียดต่อ
เว่ยชีมองพวกเขาด้วยความเห็นใจ อันที่จริงอาจจะไม่ได้เป็นเพราะพวกเขาทำงานชุ่ย แต่คงเป็นเพราะท่านประธานอารมณ์ไม่ดีมากกว่า เห็นอะไรก็ไม่ถูกใจไปหมด
เขาแอบให้กำลังใจคนพวกนั้นอยู่ในใจ กำลังจะเข็นรถอาหารออกไป
ทันใดนั้น ประตูที่ปิดอยู่ก็ถูกใครบางคนแง้มออก
เย้นหว่านถือกล่องอาหารเดินเข้ามา เห็นกลุ่มคนจำนวนมากยังคงอยู่ภายในห้องและโห้หลีเฉินที่ยังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานในท่าเดิม
เขาคงยังไม่กินข้าวแน่นอน
เย้นหว่านรู้สึกดีใจ เดินอ้อมกลุ่มคนไปทางด้านหลังโต๊ะทำงานของโห้หลีเฉิน หล่อนยืนออกไปไม่ห่างจากตัวเขา
มือของโห้หลีเฉินที่กำลังเปิดเอกสารหยุดชะงักลง
ต่อหน้าคนจำนวนมากเช่นนี้ เย้นหว่านรู้สึกเขินอาย แต่เพื่อโควตาของหล่อน หล่อนจึงรวบรวมความกล้างทั้งหมด ยิ้มและพูดขึ้น
“ท่านประธาน ฉันสั่งข้าวกลางวันมาให้ค่ะ คุณทานข้าวก่อนดีไหมคะ? เดี๋ยวค่อยทำงานต่อก็ได้ อย่าปล่อยให้หิวเลยนะคะ”
โห้หลีเฉินรู้สึกแปลกใจกลับการกระทำของเย้นหว่าน
เขาเงยหน้าขึ้น มองไปที่หล่อน “เธอเป็นห่วงฉัน?”
ถามตรงมาแบบนี้ ทำให้เย้นหว่านรู้สึกเขินจนทำอะไรไม่ถูก
คนทั้งห้องจ้องมองมาที่หล่อน หล่อนต้องตอบยังไงดีล่ะ?