บทที่100: ในที่สุดก็วางใจแล้ว
“โฮ่ง———”
รู้สึกสัมผัสได้ถึงริมฝีปากที่บางนุ่มของผู้ชาย ทันใดนั้นสมองของเย้นหว่านเหมือนถูกระเบิด
เขา ทำไมเขาถึงจูบเธอ? แถมยังจูบตำแหน่งที่เซนซิทีฟขนาดนี้ด้วย
ที่นี่คือข้างถนนของนอกเมือง มืดมนไม่มีแสงไฟเลย แม้แต่คนที่ผ่านมาก็ยังไม่มีด้วยซ้ำ แต่พวกเขาสองคนอยู่ในรถ ชายโสดหญิงโสดอยู่ด้วยกันพอดี……….
เย้นหว่านไม่กล้าคิดต่อไปเลยด้วยซ้ำ หัวใจเต้นแรงอย่างไม่หยุด ทั้งวุ่นวายและสับสน
“คุณโห้คะ อย่าทำแบบนี้ค่ะ!”
โห้หลี่เฉินควบคุมมือที่อยากขัดขืนของเย้นหว่านไว้ เอามือทั้งสองของเธอไขว้ไว้เหนือศีรษะ
ริมฝีปากบางของเขาไหลไปตามไหปลาร้าของเธอ และจูบลงไปที่ด้านล่างทีนึง
เบามาก อ่อนโยนเฉกเช่นน้ำ แต่กลับเหมือนมีไฟเผาอยู่แทบจะเผาจนผิวของเธอไหม้
ความรู้สึกแปลกๆอย่างนึงโผล่ขึ้นมาจากร่างกาย เสมือนว่าไม่เพียงแต่ที่ๆถูกจูบมีไฟลุกอยู่ ร่างกายภายในของเย้นหว่านก็มีเปลวไฟลุกขึ้นมาเป็นจุดๆเหมือนดวงดาวอย่างควบคุมไม่ได้
ความรู้สึกที่แปลกมาก ด้วยสัญชาตญาณทำให้เธออยากเข้าใกล้เขา พยายามที่อยากจะได้มากกว่านี้
ความรู้สึกแบบนี้ทำให้เย้นหว่านอายสุดขีด
เธอกัดริมฝีปากไว้ด้วยความทรมาน พูดออกมาทีละถ้อยคำด้วยความยากลำบาก
“คุณโห้ กรุณารักนวลสงวนตัวด้วย ฉันไม่ใช่ผู้หญิงอย่างที่คุณคิดค่ะ”
เสียงของผู้หญิงอ่อนนุ่มมาก แม้กระทั่งยังแฝงด้วยเสียงสั่นเล็กน้อย รู้สึกเหมือนเสียงครางที่อ่อยคนเลย
ไฟที่ควบคุมไว้ในร่างกายของโห้หลี่เฉิน พริบตาเดียวก็ถูกอ่อยจนถึงจุดสูงสุด สัญชาตญาณเหมือนสัตว์ป่าที่กำลังคำรามว่าจะเอาเธอ เอาเธอ เอาเธอมาเป็นของเขา
สายตาของเขามืดมนสุดขีด เส้นประสาทของสติแทบจะตึงจนขาด
น้ำเสียงเย็นชาจริงๆ “ที่ผมจูบคุณ ก็เพื่ออยากให้คุณลืมความทรงจำที่ไม่ดีนั่นทิ้งซะ”
เย้นหว่านอึ้งค้างไว้ มองผู้ชายด้วยความตะลึงงัน
เสียงของเขาเยือกเย็นเกินไป ฟังแล้วไม่มีความต้องการทางเพศแม้แต่นิดเลย สูงส่งจนไม่อาจเอื้อม
เธอเข้าใจเขาผิดไปหรอ?
แก้มของเย้นหว่านยิ่งร้อนผ่าวเข้าไปอีก อึดอัดจนไม่กล้ามองตาของโห้หลีเฉินอีก
โห้หลีเฉินมองเย้นหว่านด้วยสายตาลุ่มลึก หายใจหนักหน่วงเหมือนกำลังควบคุมอะไรอยู่ ผ่านไปสักพักเขาถึงปล่อยเย้นหว่าน
จากนั้นถึงได้นั่งกลับมาที่ฝั่งคนขับด้วยสีหน้าเรียบเฉย และขับรถต่อ
ในรถกลับคืนสู่ความสงบ แต่กลิ่นไอที่กุ๊กกิ๊กเหมือนกับว่ายังอบอวลอยู่ในช่องว่างที่คับแคบนี้ ทำให้คนอดไม่ได้ที่จะแก้มร้อนผ่าวและคิดฟุ้งซ่าน
เย้นหว่านตบที่แก้มของตัวเอง เลื่อนกระจกรถลงมาและหันหน้าไปตากลม ไม่มองโห้หลีเฉินอีก
ระหว่างทางต่างก็เงียบกริบไม่พูดจา
กลับมาถึงใจกลางเมืองของเมืองหนาน ระหว่างทางที่ส่งเย้นหว่านกลับบ้าน ได้ขับผ่านไนท์บาร์แห่งนึง กำลังติดไฟแดงพอดี
เย้นหว่านมองนอกหน้าต่างด้วยความเบื่อหน่าย เห็นมู่จื่ออี้ที่ติดต่อไม่ได้ตั้งนานอย่างเหนือความคาดหมาย
แตกต่างกับภาพลักษณ์ที่ร่าเริงแจ่มใสก่อนหน้านั้นของเขา ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาเต็มไปด้วยหนวดเครา ใต้ตามีสีเขียวช้ำอ่อนๆ ดูแล้วอิดโรยมาก
ในมือของเขายังถือขวดเหล้าไว้ขวดนึง เดินโซเซไปมา แต่ก็ไม่ลืมที่จะซดเหล้ากรึ๊บนึง
ดูแล้วเหมือนไอ้ขี้เมามาก
เย้นหว่านขมวดคิ้ว ทั้งสงสัยและเป็นห่วง เวลาไม่นานทำไมมู่จื่ออี้ถึงได้กลายเป็นแบบนี้? เจอเรื่องที่กระทบกระเทือนอย่างหนักมากหรอ?
เขาหันหน้ามาคุยกับโห้หลีเฉิน:
“คุณโห้คะ คุณส่งฉันที่นี่ก็พอค่ะ ฉันเห็นมู่จื่ออี้ ฉันจะลงไปหาเขาแป๊บนึงค่ะ”
โห้หลีเฉินมีสีหน้าไม่พอใจ มองมู่จื่ออี้ที่เดินโซเซอยู่ข้างถนนด้วยสายตาเย็นชา
ขวางหูขวางตาจริงๆ
“เขาไม่ต้องให้คุณไปสนใจหรอก”
“แต่เขาเมาแล้ว ตัวคนเดียวอันตรายมากเลยนะคะ”
เย้นหว่านพูดด้วยความเป็นห่วง มองมู่จื่ออี้ด้วยสีหน้ากังวล คอยมองดูเขาอย่าเดินไปไกลและมองโห้หลีเฉินด้วยจริงใจ “คุณให้ฉันลงไปเถอะค่ะ ดึกดื่นป่านนี้ฉันไม่ไว้วางใจให้เขาอยู่คนเดียวค่ะ”
โห้หลีเฉินยิ่งอารมณ์ไม่ดีเข้าไปใหญ่
เขาเม้มปากไว้ไม่พูดอะไร และไม่ได้ปลดล็อกประตูด้วย
ไฟแดงบนถนนใกล้จะเปลี่ยนเป็นไฟเขียวแล้ว
เย้นหว่านร้อนรนใจ และรีบเร่งรัด “คุณโห้ คุณให้ฉันลงจากรถเถอะนะคะ?”
เธอได้พูดขึ้นมาอีกสองคำ แต่โห้หลีเฉินก็ไม่สนใจเธออยู่ดี แม้กระทั่งยังเตรียมจะขับเคลื่อนไปอีก
เย้นหว่านใจร้อนมาก ไม่ว่ายังไงมู่จื่ออี้ก็เป็นเพื่อนของเธอ เธอไม่สนใจเขาไม่ได้
เธอลังเลไปครู่นึง จู่ๆก็ได้ปลดเข็มขัดนิรภัยออกและกระโจนไปที่อ้อมอกของโห้หลีเฉิน
กลิ่นหอมหวานและสดชื่นของผู้หญิงลอยมาเตะจมูก ทำให้โห้หลีเฉินอึ้งไปในทันที
ส่วนเย้นหว่านยื่นมือไป “แกร๊ก” ดังขึ้นเสียงนึงก็ได้ปลดล็อกประตูรถแล้ว
“คุณโห้ ฉันลงไปก่อนนะคะ”
เธอรีบนั่งกลับมาตัวตรงและยื่นมือจะเปิดประตูรถ
ในขณะนี้นี่เอง วางหนิงเวยที่แต่งตัวทันสมัยวิ่งออกมาจากไนท์คลับด้วยความรีบร้อน
เธอวิ่งมาที่ข้างกายของมู่จื่ออี้ ประคองเขาที่เดินโซเซไว้
เธอตำหนิด้วยความเป็นห่วง “คุณนี่ทำฉันตกใจแทบแย่เลย ฉันแค่ไปเข้าห้องน้ำพอกลับมาก็ไม่เจอคุณแล้ว หาจนทั่วบาร์ถึงได้ยินคนบอกว่าคุณออกมาแล้ว”
“คุณไม่ต้องมายุ่งกับผม”
มู่จื่ออี้สะบัดวางหนิงเวยออกด้วยความรำคาญ
ดูเหมือนว่าวางหนิงเวยจะชินไปแล้ว จึงรีบไปประคองมู่จื่ออี้ไว้อีกครั้ง
“ฉันไม่สนใจคุณแล้วใครจะสนใจคุณ? คุณพอได้แล้ว ฉันส่งคุณกลับบ้านโอเคมั้ยคะ?”
ดูเหมือนว่าได้ยินคำพูดที่แหลมคม มู่จื่ออี้หันหน้ามามองวางหนิงเวยด้วยแววตาพร่ามัว สีหน้าแววตาที่ร่าเริงมีอารมณ์ที่ประทับใจแฝงอยู่
จู่ๆเขาเข้าไปกอดวางหนิงเวยไว้ น้ำเสียงที่หนักหน่วงเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและหมดหนทาง
“อย่าทำเป็นเฉยเมยผมนะ คุณรักผมได้มั้ย ถึงแม้จะรักผมแค่นิดเดียวก็ยังดี………”
ฝั่งนี้ เย้นหว่านที่เตรียมจะลงจากรถก็ไม่ได้มีความเคลื่อนไหวอีกต่อไปแล้ว
ที่แท้มู่จื่ออี้อยู่กับวางหนิงเวยนี่เอง มองท่าทางที่พวกเขาโอบกอดกันคงน่าจะคืนดีกันแล้วมั้ง
แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน มู่จื่ออี้ก็มีคนดูแลแล้ว
โห้หลีเฉินมองท่าทางที่แข็งทื่อของเธอ แววตามีความไม่พอใจแว๊บผ่านไป จากนั้นได้เหยียบคันเร่งโดยตรง รถหรูรุ่นลิมิเต็ดได้พุ่งไปข้างหน้าทันที
นอกกระจกรถ มู่จื่ออี้กับวางหนิงเวยยิ่งอยู่ยิ่งไกล
เย้นหว่านดึงสายตากลับ มองโห้หลีเฉินทีนึง คิดถึงท่าทางที่เมื่อกี๊ตัวเองดึงดันจะลงจากรถแล้วอึดอัดเล็กน้อย
เธอเม้มปากไว้ไม่ได้พูดอะไรต่อ และหันหน้าไปตากลมที่นอกกระจกรถต่อ
แต่เธอไม่เห็น เธอเพิ่งไปไม่ไกล มู่จื่ออี้ก็ผลักวางหนิงเวยออกด้วยความรุนแรง
“คุณไม่ใช่เย้นหว่าน คุณไม่ใช่เธอ คุณไม่ใช่…….”
ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยความโศกเศร้า ถือขวดเหล้าไว้แล้วซดไปอีกกรึ๊บ จากนั้นก็เดินโซเซไปข้างหน้า
วางหนิงเวยยืนแข็งทื่ออยู่ที่เดิม สีหน้าซีดเซียว
ไม่นึกเลยว่าในใจของเขาจะมีแค่เย้นหว่านคนเดียวแล้ว
ดื่มเหล้าเมามายเพราะเธอ เพื่อเธอแล้วไม่เหลือสภาพความเป็นคนอยู่เลย
“มู่จื่ออี้ ความสัมพันธ์ของฉันกับคุณในหลายปีนี้ ยังสู้เย้นหว่านที่รู้จักกับคุณแค่เดือนเดียวไม่ได้หรอ?”
เธอริษยา เกลียดชัง และยิ่งเจ็บใจที่ทำไมถึงแพ้ให้กับเย้นหว่าน
ทั้งๆที่มู่จื่ออี้เคยรักเธอมากขนาดนั้น ถึงขั้นจะขอเธอแต่งงานแล้ว ให้คำมั่นสัญญากับเธอว่าจะจัดงานแต่งที่อลังการที่สุดในโลกให้เธอ
มู่จื่ออี้ไม่หยุดฝีเท้า เสียงมีความบ้าคลั่งที่ลุ่มหลงอยู่ในความมึนเมา
“เพราะว่าเธอไม่เฟคเหมือนคุณ”