บทที่ 109 เป็นพ่อสื่อ
เขาเป็นผู้ชายที่ดีเลิศมากและอ่อนโยนมากคนหนึ่ง อยู่ด้วยกันกับเขา จะต้องโดนเอาอกเอาใจ ถูกความอ่อนโยนของเขาทำให้ละลายแน่
เป็นแฟนของเขา จะต้องมีความสุขมากแน่
แต่พอเผชิญหน้ากับมู่จื่ออี้ ในสมองของเย้นหว่านกลับประกายใบหน้าของโห้หลีเฉินเข้ามาโดยอัตโนมัติ
หล่อเหลาบาดใจ สูงศักดิ์ไม่อาจเอื้อม เดิมทีทำให้คนไม่กล้าคิดอะไรกับเขา และทำให้รู้สึกเกลียดจนคันเขี้ยว
ที่หน้าอกผุดความโกรธที่อธิบายไม่ได้อีกแล้ว ชั่วขณะหนึ่งเย้นหว่านไม่มีความคิดคดเคี้ยวสักนิดเลย
เธอมองมู่จื่ออี้ ตอบอย่างจริงจัง “จื่ออี้ ฉันเห็นคุณเป็นแค่เพื่อนจริงๆ ต่อไปก็……”
“เสี่ยวหว่าน ตอนนี้ผมไม่ต้องการคำตอบของคุณ”
มู่จื่ออี้ขัดจังหวะเย้นหว่านด้วยท่าทีแน่วแน่ จ้องมองเธอไปตรงๆ ท่าทางยืนหยัดแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
มีเพียงหลังจากที่ลังเลเคยสูญเสียเธอไปครั้งหนึ่ง เขาถึงสัมผัสได้กับตัวเอง ตอนนี้แค่ได้โอกาสรักเธออย่างเปิดเผย ก็ล่ำค่ามากแค่ไหนแล้ว
ในเมื่อเธอยังเป็นโสด เขาไม่มีเหตุผลที่จะยอมแพ้
เย้นหว่านเม้มปากอย่างจำใจ ถึงแม้เขาจะไม่อยากให้เธอพูด แต่มู่จื่ออี้ก็รู้ท่าทีของเธอแล้ว
เขาจะค่อยๆ ยอมรับเองมั้ง
……
เขตคฤหาสน์วิลล่าส้ายน่า
แสงไฟสาดส่องมาที่ดอกไม้เต็มสวน สีสันพร่ามัว ดูเหมือนงดงามที่สุด ยิ่งดูโรแมนติก
แต่บรรยากาศในเวลานี้กลับไม่เข้าขั้นโรแมนติกสักครึ่ง ยิ่งเป็นเสมือนพื้นน้ำแข็งหนาวเย็นสามนิ้ว
โห้หลีเฉินยืนอยู่ที่เดิม ใบหน้าหล่อเหลานั้นดูแย่ที่สุดเลย
ทั้งตัวผุดไอเย็น ยิ่งทำให้รู้สึกสยองขวัญ
แต่ยังมีคนที่ไม่กลัวตายค่อยๆ ก้าวเข้าไปใกล้เขา
ฉินฉู่หยุดที่ระยะห่างจากโห้หลีเฉินสามเมตร พูดอย่างระมัดระวัง
“หลีเฉิน นายอย่าเศร้าใจเลย ผู้หญิงน่ะ ล้วนต้องตามจีบทั้งนั้น นี่นายพึ่งล้มเหลวไปครั้งเดียว ยังสามารถพยายามต่อไปได้อีก ไม่ใช่ใครเคยพูดไว้เหรอ ความล้มเหลวเป็นแม่ของความสำเร็จ เมียสวยขนาดนั้น อยากแต่งกลับบ้าน แน่นอนว่าต้องผ่านความยอกย้อนสักรอบ”
กลิ่นอายบนตัวโห้หลีเฉินยิ่งหนาวเย็น
เขาไม่สนใจฉินฉู่เลย ก้าวขายาวเดินไปในบ้าน
เห็นภาพด้านหลังที่ทำให้คนไม่กล้าเข้าใกล้ของโห้หลีเฉิน ภายในฉินฉู่ถอนหายใจทีหนึ่ง เขาก็คาดไม่ถึงว่าโห้หลีเฉินจะโดนเน้นหว่านปฏิเสธ
ต้องรู้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่โห้หลีเฉินชอบผู้หญิงคนหนึ่งในชีวิตนี้ ครั้งแรกที่พยายามตั้งใจตามจีบมานานขนาดนี้ ครั้งแรกที่ขอคนอื่นแต่งงาน
คิดไม่ถึงกลับโดนปฏิเสธเสียแล้ว
แต่เขากลับรู้สึกว่าไม่ควรเป็นอย่างมาก ว่าตามประสบการณ์ความรักของเขา ความจริงเย้นหว่านมีความพิเศษมากกับโห้หลีเฉิน
ไม่แน่ การที่เย้นหว่านไม่รับปาก ความจริงอาจมีความลำบากใจอะไร?
คิดแบบนี้ ฉินฉู่ก็รีบตามโห้หลีเฉินไป พูดอย่างปลุกปั่น
“ว่ากันว่าถนนซินทางนั้นมีกุ้งมังกรที่ร้านอาหารโต้รุ่งแห่งหนึ่งอร่อยมากเป็นพิเศษ ฉันพึ่งรวมกลุ่มได้ พวกเราไปดื่มด้วยกันสักหน่อยเถอะ?”
เมื่อสักครู่เขาพึ่งหามา ตอนนี้เย้นหว่านอยู่ในร้านอาหารกุ้งแห่งนั้น
โห้หลีเฉินน้ำเสียงเย็นยะเยือก “ไม่ไป”
“มากลัดกลุ้มอยู่คนเดียวยิ่งไม่ดี ดื่มสักแก้วถึงคลายเครียดได้”
“ใครบอกฉันอารมณ์ไม่ดี?”
โห้หลีเฉินหยุดเดินลงทันใด จ้องฉินฉู่ด้วยสายตาที่อันตรายเป็นพิเศษ สั่งให้แขกไปโดยตรง
“ประตูอยู่ตรงนั้น ไสหัวไปเอง”
เห็นลักษณะดุร้ายของโห้หลีเฉิน ฉินฉู่หัวใจหดลง กลัวนิดหน่อยโดยสัญชาตญาณ อยากหนีไปแล้ว
แต่เขาไม่สามารถให้โห้หลีเฉินหดหู่ใจคนเดียวต่อไปได้ ยิ่งเศร้าใจ เขามีแต่จะยิ่งมืดมน ยิ่งดุร้าย
ดังนั้นเขาจึงแกล้งส่ายหน้าอย่างน่าเสียดาย
“นายไม่ไปจริงเหรอ? น่าเสียดายคืนนี้ฉันยังนัดเมืองลั่วเอาไว้ นายยังจำเขาได้มั้ย? เขากับกู้ย๋าวเป็นคนรักกันจริงๆ สารภาพรักหนึ่งพันครั้ง โดนหล่อนปฏิเสธทุกครั้ง แต่เมื่อหลายวันก่อน เขาตามจีบกู้ย๋าวมาได้แล้ว เขายังบอกว่าคืนนี้จะมาคุยให้เพื่อนๆ อย่างพวกเราฟัง ให้พวกเราได้เปิดหูเปิดตา ว่าตามจีบกู้ย๋าวมาได้อย่างไร”
เมืองลั่วเป็นหนึ่งในเพื่อนไม่กี่คนของพวกเขา แต่ประวัติความรักของเขาเป็นเรื่องที่โห้หลีเฉินดูถูกมาโดยตลอด
ในสายตาโห้หลีเฉิน อีกฝ่ายปฏิเสธแล้ว นั่นคือไม่ชอบ คือความรักที่ไม่มีหวัง ควรจะวางมืออย่างว่องไว ยืนหยัดต่อไปก็ไม่มีความหมายใด
แต่ไหนแต่ไรเขาไม่สนใจทำเรื่องที่ไม่มีความหวังแบบนี้
“ฉันก็มีผู้หญิงคนหนึ่งที่ตามจีบมาตั้งนานไม่สำเร็จสักที คืนนี้ไปเรียนรู้กับเมืองลั่วทางนั้นพอดี อีกไม่กี่วันต้องเจอกัน เอาเธอมาครองได้แน่”
ฉินฉู่พูดอย่างหน้าบาน ยังค่อยๆ มองโห้หลีเฉินอยู่เรื่อยๆ
ใบหน้าหล่อเหลาของโห้หลีเฉินนั้นยังคงไร้อารมณ์ สายตาที่เย็นยะเยือกกลับมองมาทางฉินฉู่ทันใด
เปิดโปงเขาไปอย่างคมกริบ “อยากหลอกฉันออกไป?”
ฉินฉู่สำลักแล้ว สายตาลนลานด้วยความหวาดผวา คิดไม่ถึงโห้หลีเฉินที่อกหักยังหลักแหลมขนาดนี้อยู่อีก ล่อลวงไม่ได้เลย
เขาหัวเราะอย่างกระอักกระอ่วน “ฉันก็แค่หวังดี”
“ในเมื่อตอนนี้นายไม่อยากไป งั้นฉันไปก่อนนะ”
ฉินฉู่ไม่กล้าอยู่ที่นี่นาน กลัวถูกโห้หลีเฉินเล่นงานเข้าให้ ตอนที่อยากเดินไปที่โรงรถ
เวลานี้ขาอีกคู่หนึ่งกลับก้าวไปไวกว่าเขา เดินไปทางโรงจอดรถอย่างเป็นธรรมชาติ
ฉินฉู่มึนงง มองภาพด้านหลังของโห้หลีเฉินด้วยความแปลกใจ
“หลีเฉิน นายจะไปไหน?”
“หิวแล้ว”
โห้หลีเฉินพูดออกมาสองคำด้วยน้ำเสียงแข็งเย็น เดินไปที่โรงรถหน้าก็ไม่หันกลับมา
ฉินฉู่นิ่งไปหลายวินาที ถึงได้สติมีการตอบสนองเข้ามา
หิวแล้ว? กินอาหารมื้อดึก?
ฮ่า โห้หลีเฉินนี่อยากไปฟังเมืองลั่วเล่าเรื่องสินะ
เขาหัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์ ที่แท้ผู้ชายที่เฉลียวฉลาดอย่างไร เจอเรื่องความสัมพันธ์เข้า จะไม่มีปัญญาขนาดนั้นเลย
หลังจากขึ้นรถ ทั้งสองคนไม่ได้พูดถึงเป้าหมาย ขับรถไปที่ร้านอาหารโต้รุ่งที่ถนนซินอย่างเงียบสงบ
ตลอดทาง ฉินฉู่วางแผนหลายวิธีให้หลีเฉินกับเย้นหว่านหลงรักกัน ถึงแม้ไม่สำเร็จ ก็อาจจะทำให้เย้นหว่านเปลี่ยนการตัดสินใจ
ร้านอาหารโต้รุ่งแห่งนี้เห็นบ่อยที่สุดตามริมถนน การบริโภคระดับปานกลางของผู้คนทั่วไป สภาพแวดล้อมมองผ่านตา คนก็มากด้วย
ก่อนหน้านี้โห้หลีเฉินจะไม่มาสถานที่แบบนี้เลย
เขามองหน้าร้านรู้สึกไม่สบายอยู่บ้าง “อยากกินกุ้งมังกร ซื้อกลับไปไม่ได้เหรอ?”
นิ่งครู่หนึ่ง เขาก็พูดมาอีกประโยค น้ำเสียงแบบสั่งการ
“บอกพวกเขา เปลี่ยนที่”
ฉินฉู่ที่กำลังจะเดินเข้าด้านในมีพิรุธก่อนแล้ว ไม่ง่ายที่เขาจะพาโห้หลีเฉินมาถึงที่นี่ จะไปตอนนี้ได้อย่างไรกัน?
ที่สำคัญไม่ใช่กุ้งมังกรและเพื่อนพวกนั้น แต่เป็นเย้นหว่านด้านใน
“กุ้งมังกรเอากลับไปก็ไม่มีรสชาติแบบนั้นแล้ว ยิ่งเมืองลั่วก็มาถึงแล้ว ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจเริ่มเล่ากันแล้ว”
โห้หลีเฉินจิตใจหวั่นไหว หน้าตาอึมครึม ก้าวขายาวเดินไปด้านใน
ในที่สุดฉินฉู่ก็โล่งอกไปทีหนึ่ง
เขารีบตามเข้าไป เดินเข้ามาที่โถงใหญ่ มองไปยังคนทานข้าวอยู่ด้านในโถงใหญ่แบบสแกน ไม่นานเขามองเห็นคนที่คุ้นเคยอย่างที่คาดไว้
กู้จื่อเฟย
คืนนี้กู้จื่อเฟยกับเย้นหว่านมาด้วยกัน กู้จื่อเฟยนั่งอยู่ที่นั่น เย้นหว่านต้องอยู่ที่นั่นแน่
ฉินฉู่รีบเดินไปทางที่กู้จื่อเฟยอยู่ทันที “ที่นั่งพวกเราอยู่ทางนั้น”
โห้หลีเฉินไม่ได้สงสัย หน้าตานิ่งเฉยเย็นชา เดินไปด้านหน้าโดยไม่มองด้านข้าง