บทที่ 119 เธอคิดจะไม่รับผิดชอบ
สังเกตเห็นเย้นหว่านนั่งยิ่งไม่ขยับ โห้หลีเฉินถึงเงยหน้ามอง “ไม่ถูกปากเหรอ?”
“ไม่ใช่”
เย้นหว่านรีบส่ายหน้า พยายามยื่นกล่องอาหารไปให้โห้หลีเฉินอีก “รสชาติดีมากเลย ไม่สู้คุณกินอันนี้ดีกว่ามั้ง” ความจริงบะหมี่ไม่อร่อยเลย
“ฉันไม่ชอบกินของคนอื่น”
โห้หลีเฉินตอบเหมือนเรื่องราวควรจะเป็นเช่นนั้น จากนั้นคีบบะหมี่ขึ้นอีกคำ ไม่นานบะหมี่ชามหนึ่งก็เห็นแค่ก้นถ้วยแล้ว
เย้นหว่านมองโห้หลีเฉินอย่างคาดไม่ถึง ไม่อยากเชื่อหูของตนเอง
โห้หลีเฉินพูด ของที่มู่หรุงชิ่นนำมาเป็นของคนอื่น?
มู่หรุงชิ่นไม่ใช่แฟนสาวของเขาเหรอ?
ความสงสัยในใจผุดมาหนักหน่วงเรื่อยๆ ทำให้เย้นหว่านมึนงงที่สุด แม้กระทั่งมีความคิดที่ไม่เคยมีมาก่อนอย่างหนึ่งด้วย
หรือว่าระหว่างโห้หลีเฉินกับมู่หรุงชิ่น……
หลังจากทานข้าวไปด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อน เย้นหว่านเห็นโห้หลีเฉินก็ไม่มีอะไรที่ต้องการให้เธอดูแลอีก จึงเอ่ยปากอยากกลับไปแล้ว
โห้หลีเฉินจ้องเธอแบบตรงไปตรงมา น้ำเสียงแบบสั่งการ
“คืนนี้เธอต้องอยู่ต่อ”
เย้นหว่านแก้มแดงขึ้น รีบส่ายหน้า “ไม่ ฉันต้องกลับไป”
อยู่ค้างคืนในบ้านผู้ชายแบบลึกลับ ถือว่าเป็นเรื่องอะไรกัน โห้หลีเฉินใช้ท่าทีอะไรพูดออกมากันแน่?
เย้นหว่านหมุนตัวอยากเดินไปข้างนอก ที่ข้อมือกลับโดนฝ่ามือใหญ่ของโห้หลีเฉินจับไว้
เขาพูดเหมือนเรื่องราวควรจะเป็นเช่นนั้น “ถ้าเธอไปแล้ว ตอนกลางคืนฉันอยากดื่มน้ำจะเรียกใคร?”
นิ่งครู่หนึ่ง เขาเสริมอีกประโยค “บะหมี่เมื่อกี้ เค็มมาก”
เย้นหว่าน “……” เห็นเขาทานบะหมี่ชามหนึ่งหมดเกลี้ยงเลย เธอคิดว่าการรับรู้รสเขาพังแล้ว ไม่มีความรู้สึกแล้วเสียอีก
“คุณโห้ คุณเจ็บแค่มือซ้าย มือขวาเทน้ำยังสะดวกมาก”
สีหน้าโห้หลีเฉินอึมครึม จองเย้นหว่านตรงๆ อยู่อย่างนั้น ท่าทีเคร่งขรึมอย่างเทียบไม่ได้
“เธอคิดจะไม่รับผิดชอบแล้ว?”
นี่เป็นปัญหารับผิดชอบไม่รับผิดชอบเหรอ?
เย้นหว่านทุกข์ใจจนอยากจะหาเต้าหู้สักก้อนมากระแทกให้ตาย เธอกำลังคิดหาเหตุผลมาคุยกับเขา กลับเห็นโห้หลีเฉินปิดมือที่พันแผลของเขาไว้กะทันหัน ระหว่างคิ้วเผยท่าทางเจ็บปวดอยู่บ้างออกมา
“คุณโห้ คุณเป็นอะไรไปแล้ว?”
ชั่วขณะนั้นใจของเย้นหว่านยกขึ้นมา อยากไปจับมือเขาไว้ด้วยความเป็นห่วง
โห้หลีเฉินหลบเธอออก มีลักษณะท่าทางเย็นชาห่างเหิน
“เธอไม่ต้องสนใจฉัน กลับบ้านเธอไปซะ”
เวลานี้เย้นหว่านวางใจกลับบ้านไปได้ที่ไหนกัน พูดขึ้นมาเหมือนไม่ต้องคิดอะไร “คืนนี้ฉันไม่กลับแล้ว คุณให้ฉันดูหน่อยว่าเป็นอะไรแล้ว? ติดเชื้อร้ายแรงแล้วรึเปล่า?”
สำหรับบาดแผลที่พันผ้าไว้ของเขา เมื่อไม่ได้ไปโรงพยาบาล เธอก็ไม่สบายใจมาโดยตลอด
แววตาโห้หลีเฉินแฉลบผ่านรอยยิ้มที่แผนร้ายบรรลุผลขึ้น นี่ถึงปล่อยให้เย้นหว่านจับมือของตนเอง
เขาพูดเสียงเบาๆ “ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว แค่เมื่อกี้ที่เจ็บมากะทันหันเอง”
เจ็บขึ้นมากะทันหัน?
เย้นหว่านมองโห้หลีเฉินอย่างหวาดระแวง เห็นเพียงหน้าหล่อเหลาใบนั้นของเขา เวลานี้เป็นลักษณะสูงส่ง ความเจ็บปวดขมวดย่นไม่มีสักนิด
ราวกับความเจ็บเมื่อสักครู่นั้น หากไม่ใช่ฝันฉากหนึ่ง ก็คือการเสแสร้ง
ระหว่างคิ้วของเย้นหว่านดูเจ็บอย่างไม่แน่ชัด โห้หลีเฉิน คุณโห้ผู้สูงศักดิ์ ไม่น่าจะทำเรื่องที่ไร้สาระขนาดนั้นมั้ง? น่าจะไม่ใช่มั้ง……
สบสายตาที่ลังเลของเย้นหว่านเข้า โห้หลีเฉินดูไม่สบายใจเล็กน้อย ก้าวขายาวเดินไปทางห้องนอน
“ควรนอนได้แล้ว”
ได้ยินคำพูดนี้ ชั่วขณะนั้นความสงสัยในใจของเย้นหว่านกลับกลายเป็นความอับอายว้าวุ่นอยู่เต็มอก
ในคฤหาสน์ของโห้หลีเฉิน มีเพียงห้องนอนเดียว เตียงเดียว
หรือว่าคืนนี้เธอต้องนอนด้วยกันกับเขาอีก?
เย้นหว่านเดินช้าๆ ไม่อยากไปสักนิด
โห้หลีเฉินยืนอยู่บนบันได หันหน้ามองเธอจากบนลงมา “มือของฉันเหมือนจะเจ็บขึ้นมาอีกหน่อยแล้ว……”
เย้นหว่านหดๆ มุมปาก โห้หลีเฉินไม่ใช่กำลังแกล้งทำจริงเหรอ?
สุดท้ายเย้นหว่านได้แต่ไปที่ห้องของโห้หลีเฉิน เธอมองโซฟาในห้องแล้ว ท่าทีครั้งนี้แน่วแน่มาก
“คืนนี้ฉันจะนอนโซฟา คุณมีอะไรเรียกฉันก็พอ”
โห้หลีเฉินไม่พอใจเท่าไร เขาให้เธออยู่ต่อ แน่นอนว่าไม่ใช่ให้เธอนอนโซฟา
แต่เขากลับไม่พูดอะไร เย้นหว่านอารมณ์ผ่อนคลายลงเล็กน้อย ที่มาแบบนี้ เธอเพียงแค่จะรับผิดชอบดูแลโห้หลีเฉินเท่านั้น ไม่ใช่เกิดเรื่องเหลวไหลอะไรขึ้นสักหน่อย
ดังนั้นเธอจึงหยิบชุดนอนออกมาจากในห้องเสื้อผ้า ไปอาบน้ำอย่างสบายใจ
เย้นหว่านไปที่ห้องน้ำแล้ว โห้หลีเฉินมองประตูห้องน้ำปิดลงด้วยสายตาหรี่หรี่ จากนั้นถึงนั่งลงหน้าโต๊ะทำงาน เริ่มพลิกเอกสาร ตรวจความถูกต้องแล้วเซ็นชื่อ
มือซ้ายของเขาเผยเพียงส่วนปลายนิ้วออกมา สามารถทำเรื่องพลิกหน้ากระดาษง่ายๆ ได้ ทำงานขึ้นมายังราบรื่นอยู่
ครึ่งชั่วโมงต่อมา มีเสียง “ก๊อกแก๊ก”ทีหนึ่ง ประตูห้องน้ำก็เปิดออกจากด้านใน
โห้หลีเฉินรีบวางปากกาที่เซ็นชื่อลงมาทันที
ชุดนอนที่เย้นหว่านใส่เป็นแบบที่มิดชิดที่สุด พอๆ กันกับเสื้อผ้าทั่วไปที่ใส่ออกไปข้างนอก เพียงแต่เวลานี้เธอที่พึ่งออกมาจากห้องน้ำ แก้มที่อบร้อนมาแดงระเรื่อ ดูขึ้นมาคล้ายกับแอปเปิลที่สุกงอม
พึ่งอาบน้ำเสร็จก็เผชิญหน้ากับชายหนุ่มคนหนึ่ง เย้นหว่านรู้สึกไม่สบายเอามาก
“อะแฮ่ม คือว่าฉันอาบเสร็จแล้ว นอนก่อนนะ”
พูดๆ อยู่เธอก็อยากเดินไปที่โซฟา
โห้หลีเฉินมองเธอไปตรงๆ เอ่ยปากเสียงต่ำ “เข้ามา”
“ทำไม?”
เย้นหว่านมองเขาอย่างระวัง ไม่กล้าขยับ
โห้หลีเฉินใช้สายตามองเอกสารตรงหน้าตนเองแล้ว ส่ายมือซ้ายที่พันแผลของเขาไป “ไม่สะดวก”
ผ้าพันแผลใหญ่สีขาวนั้นสะดุดตามาก ทำให้เย้นหว่านรู้สึกผิดในใจและเริ่มทำตามแล้ว
เธอเดินช้าๆ ไปที่ข้างโต๊ะ “ฉันช่วยคุณทำอะไรได้บ้าง?”
โห้หลีเฉินยื่นมือ ดึงเย้นหว่านมานั่งลงบนตักของตนเอง ระยะห่างของทั้งสองคนชั่วขณะนั้นใกล้กันจนได้กลิ่นลมหายใจ
เย้นหว่านแข็งทื่อฉับพลัน เร่งรีบอยากดิ้นรนขึ้นมา
“คุณโห้ คุณปล่อยฉันออกนะ”
แขนของโห้หลีเฉินพันรอบเอวของเธอ ให้เธออยู่ในอ้อมอกของตนเองอย่างปลอดภัยแน่นอน
น้ำเสียงของเขาดูจริงจัง “พลิกหน้าให้ฉันหน่อย”
“คุณ คุณปล่อยฉันก่อน……”
“แม่คุณ เธอรู้ไหมว่าบิดไปมาในอกผู้ชายคนหนึ่ง เป็นการชักนำแบบหนึ่งนะ?”
น้ำเสียงของโห้หลีเฉินลับล่อขึ้น ริมฝีปากบางขยับเข้ามาใกล้ข้างหูของเธอ อันตรายสุดๆ “สำหรับเธอ ฉันไม่ได้มีแรงควบคุมตัวมากเท่าไร”
เย้นหว่านตะลึงทันใด ทั่วตัวบนล่างราวกับสัมผัสไฟฟ้า ทั้งอ่อนเปลี้ยทั้งชา
เธอหน้าแดงฉาด กังวลอย่างยิ่ง
พอรู้สึกได้ว่าเธอสงบลงแล้ว มุมปากโห้หลีเฉินเม้มรัศมีครึ่งวงกลมขึ้น กดคางลง
“พลิกเถอะ”
เย้นหว่าน “……” ไม่สามารถเปลี่ยนท่วงท่าได้เลยหรือ?
รู้สึกถึงกลิ่นอายของชายหนุ่มที่ใกล้เข้ามามาก เธอยื่นมืออย่างจิตใจสับสน พลิกเอกสารเปิดไปหน้าหนึ่ง
สายตาของโห้หลีเฉินตกอยู่บนหน้าของเธอตั้งแต่แรกจนจบ ไม่ได้มองเอกสารเลย ริมฝีปากบางขยับไปมาข้างหูของเธอ พ่นลมเบาๆ
“พลิกอีก”
ใบหูเหมือนถูกไฟลวก ใกล้จะไม่ใช่ของเธอแล้ว
ตึงแน่นไปทั้งตัว เย้นหว่านเหมือนมดที่โดนต้มในหม้อเดือด จิตใจว้าวุ่น
เธอรีบพลิกไปอีกหน้า ไม่รอให้โห้หลีเฉินเอ่ยปากอีก ระยะเวลาห่างเพียงนิดเดียว ก็พลิกอีกหน้า
เวลานี้ โห้หลีเฉินกลับพูดอีก “เร็วไป พลิกกลับไป”
ลมหายใจอบอุ่น จากส่วนหูตอนในที่รับสัมผัสของเธอ ราวกับเป่าเข้าไปในหัวใจของเธอแล้ว