บทที่ 133 ให้ภรรยายุ่ง
เธอรีบส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอกมั้ง เพียงแค่กินข้าวกับเพื่อนเอง คุณไปด้วยจะไม่ค่อยสะดวกเท่าไร”
โห้หลีเฉินหรี่ตาลง ถึงแม้เย้นหว่านจะไม่พูดชัดเจน แต่เขาก็พอรู้ นี่คือเธอไม่อยากให้เขาไป
ในใจของเธอนั้น ตั้งแต่ต้นจนจบเขาไม่ได้เป็นอะไรกับเธอเลย
สำหรับผู้ชายคนหนึ่ง พาไปเจอเพื่อนผู้ชายของตนเอง ก็ถือว่าเป็นการยอมรับสถานะของเธอแล้ว เขายอมรับสถานะของเย้นหว่าน มีแค่เย้นหว่านที่ยังไม่ได้ยอมรับเขา
แต่ไม่รีบร้อน ที่เขามีคือเวลา
โห้หลีเฉินเม้มริมฝีปาก พูดเสียงต่ำ “รีบไปรีบกลับ”
เห็นโห้หลีเฉินตอบรับแล้ว เย้นหว่านจึงโล่งอกไปทีหนึ่งโดยจิตใต้สำนึก
เธอพูดว่า “เย้นซินอยู่ที่บ้าน มีเรื่องอะไรคุณสามารถไปหาหล่อนได้”
ถึงแม้เขามีเรื่องอะไรจริง คงไม่หาผู้หญิงคนอื่น
โห้หลีเฉินกลับไม่ได้พูดความคิดในใจออกมา แต่เพียงแค่พยักหน้าเบาๆ
ตอนหกโมงเย็นครึ่ง เป็นช่วงเวลาพระอาทิตย์ตกดินพอดี
เย้นหว่านมาตามที่อยู่ของมู่จื่ออี้ให้ไป มาถึงร้านอาหารมู่เตอที่อยู่ชั้น58
กระจกรอบด้านของร้านอาหารเป็นแบบติดพื้น กว้างใหญ่สว่าง แสงพระอาทิตย์ตกสะท้อนทั่วทั้งร้านอาหาร ราวกับเติมแต่งสีสันสีส้มให้กับร้านอาหาร
สวยงามอย่างมาก
และพอเธอเงยหน้า ก็สามารถมองเห็นพระอาทิตย์ตกที่อยู่ไกลออกไปผ่านกระจกที่ติดพื้นได้ สง่างามจริงๆ
“ชอบมั้ย?”
เย้นหว่านกำลังมองอย่างใจลอย มองเห็นมู่จื่ออี้ถือดอกกุหลาบช่อหนึ่งเดินเข้ามา
เขาสวมชุดสูทเข้ารูปพอดีตัว ทำให้เขายิ่งหล่อเหลาสง่าผ่าเผยยิ่งขึ้น เขาก้าวเท้าเดินไปตรงหน้าของเธออย่างสง่างาม สุภาพบุรุษราวกับเจ้าชายเดินออกมาจากในภาพวาด
เย้นหว่านตกตะลึงไปแวบหนึ่ง มู่จื่ออี้ ที่แท้หล่อมาก
เธอพยักหน้ายิ้ม “อืม สวยมาก”
“มานั่งตรงนี้เถอะ ผมเลือกที่นั่งเป็นพิเศษ เป็นสถานที่ชมพระอาทิตย์ตกที่ดีที่สุด”
มู่จื่ออี้ชี้ไปทางตำแหน่งที่ไม่ไกลมากนัก ตรงนั้นจัดวางอุปกรณ์ทานอาหารสองชุดไว้ บนโต๊ะยังมีแชมเปญ เทียนไข ตรงกลางยังวางดอกกุหลาบสีขาวเอาไว้ด้วย
สภาพแวดล้อมดูขึ้นมาไม่เลวเลยทีเดียว
เย้นหว่านมองไปรอบด้าน ดึงมู่จื่ออี้ด้วยความสงสัยอยู่บ้าง
“ที่นี่แพงมากเลยใช่ไหม?”
เธอรู้ว่ามู่จื่ออี้เป็นเพียงผู้ช่วยเล็กๆ คนหนึ่ง เงินเดือนไม่สูง แต่เธอกับโห้หลีเฉินมักจะเข้ามาในร้านอาหารหรูหราแบบนี้ จึงคาดการณ์ได้ชัดเจน ทานข้าวที่นี่มื้อหนึ่ง ต้องราคาแพงมากแน่
ถึงแม้ว่าจะประหยัดหน่อย อย่างน้อยก็ต้องใช้เงินเดือนของมู่จื่ออี้เดือนหนึ่ง
“พวกเราไปกินข้าวที่ธรรมดาก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องมาเสียเงินที่นี่”
“คุณกำลังเป็นห่วงเงินของผม?”
มู่จื่ออี้มองเย้นหว่านตรงไปตรงมา ในดวงตาที่ดูดีเต็มไปด้วยรัศมีที่สะดุดตา
เย้นหว่านมองค้อนเขาทีหนึ่ง “ไร้สาระ ฉันแค่ไม่อยากเพราะคุณมาเลี้ยงข้าวฉันมื้อหนึ่ง แล้วไม่มีเงินเหลือจนต่อไปต้องแทะมาม่ากินทุกวันเท่านั้น”
เย้นหว่านพร่ำบ่น ในสายตาของมู่จื่ออี้กลับแปลว่าเป็นห่วงใยเขา
เขาชอบความรู้สึกแบบนี้มาก
เขาหัวเราะแล้วบอกว่า “สบายใจได้ ผมยังมีเงินเก็บอยู่บ้าง กินไม่หมดแน่”
ขณะพูดมู่จื่ออี้ก็ยัดดอกไม้ไปในอ้อมอกของเย้นหว่าน ผลักเธอไปนั่งลงตรงที่นั่ง
“วันนี้คุณดื่มด่ำไปอย่างสบายใจเถอะ”
เย้นหว่านมองมู่จื่ออี้ด้วยความกังวล วันนี้เขาเป็นบ้าอะไรแล้ว?
ยังมีดอกกุหลาบช่อหนึ่งในอกอีก……
ในใจเธอซับซ้อนอยู่หน่อยๆ
มู่จื่ออี้นำเมนูอาหารมาไว้ตรงหน้าเธอ ถามอย่างใส่ใจ “คุณอยากกินอะไร?”
เย้นหว่านพลิกเมนูอาหารดูแล้ว เมื่อก่อนเธอไม่คุ้นเคยกับอาหารหรูหราพวกนี้ แต่ว่าตั้งแต่ชิมอาหารกับโห้หลีเฉินมา อาหารบนเมนูพวกนี้ เจ็ดในสิบเธอเคยทานมาอย่างคาดไม่ถึง
เธอรู้ดีมากว่าแบบไหนอร่อย แบบไหนไม่อร่อย
แต่เธอพลิกดูแล้ว กลับสั่งสเต๊กชิ้นหนึ่งที่ราคาถูกที่สุด
มู่จื่ออี้มองรายการอาหารที่เธอสั่ง เม้มมุมปากยิ้ม พูดอย่างหยอกล้อ
“เสี่ยวหว่าน คุณทำแบบนี้เหมือนภรรยาที่ประหยัดเงินให้ผมเป็นพิเศษเลย”
“ถ้าฉันเป็นภรรยาคุณ วันนี้คงไม่ให้คุณเข้ามาที่นี่แล้ว”
เย้นหว่านถลึงตาใส่เขาอย่างอารมณ์เสีย
นี่เธอทำในฐานะเพื่อน แสดงความมีมนุษยธรรมออกมา กลัวจะกินจนเขาจนเกินไป
“อ่า ถ้าคุณเป็นภรรยาผม คุณพูดอะไรผมก็ฟังทั้งหมด ผมยินดีให้คุณยุ่ง”
มู่จื่ออี้จ้องมองเย้นหว่าน สายตาลึกลับซับซ้อน มีความเป็นมิตรที่งดงามยิ่งกว่าพระอาทิตย์ตก
เย้นหว่านมึนงงเล็กน้อย
ทันใดนั้นบรรยากาศก็เปลี่ยนเป็นคลุมเครือแบบพูดไม่กระจ่างสักเท่าไร
ครั้งก่อนมู่จื่ออี้บอกว่าชอบเธอ ตอนนั้นเธออารมณ์ไม่ดีจึงไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก แต่ว่าตอนนี้ความหมายในคำพูดของเขา ยังมีดอกกุหลาบช่อนี้ ทำให้เย้นหว่านสำนึกได้ทีหลังว่า……
นี่เขาไม่ได้เลี้ยงข้าวเธอมื้อหนึ่งธรรมดาๆ แต่กำลังตามจีบเธอ!
นึกถึงจุดนี้ เย้นหว่านไม่สบายใจอย่างมาก
เหมือนเขาจะมองความลำบากใจมากของเย้นหว่านออก มู่จื่ออี้หัวเราะอย่างใส่ใจมาก ก่อนจะเทแชมเปญแก้วหนึ่งยื่นไปตรงหน้าเย้นหว่าน
จากนั้นเรียกพนักงานเข้ามา
“สั่งอาหาร”
หลังจากพนักงานเข้ามา บรรยากาศคลุมเครือในอากาศชั่วขณะหนึ่งก็พุ่งสลายไปมาก
มู่จื่ออี้สั่งอาหารอย่างสุภาพบุรุษ อันดับแรกสั่งสเต๊กของเย้นหว่านก่อน จากนั้นสั่งอาหารชุดใหญ่อย่างคล่องแคล่วอีก แต่ละอย่างล้วนเป็นอาหารรสชาติดีมาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งแพงมากด้วย
แต่เขาสั่งอย่างคล่องแคล่วมาก เหมือนว่าคุ้นเคยมาก
เย้นหว่านกลับมองเขาด้วยความตกอกตกใจ แค่รู้สึกว่าตอนนี้มู่จื่ออี้กำลังรักษาหน้าตา และผลสุดท้ายก็คือเงินเก็บหลายปีสูญหายไปหมด
นี่เขายอมทำเรื่องที่ตนเองรับไม่ไหวเพื่อศักดิ์ศรีเลยเหรอ
“เดี๋ยวก่อน”
เย้นหว่านรีบเรียกให้หยุด “อย่าสั่งเลย พวกเรากินมากขนาดนั้นไม่หมดหรอก”
“รสชาติพวกนี้ไม่เลวเลย ไม่ต้องกินหมดหรอก คุณลองชิมก็พอ”
ของแพงขนาดนั้นสั่งมาลองชิม แล้วก็ทิ้งเหรอ?
เย้นหว่านหดมุมปาก ทันใดนั้นนึกถึงตอนที่โห้หลีเฉินลองอาหารทุกครั้ง อาหารพวกนั้นล้วนถูกชิมคำเดียวก็ทิ้งไป
เป็นการสิ้นเปลืองเงินนับไม่ถ้วนอย่างยิ่ง
แต่เขาคือโห้หลีเฉิน คนที่จ้างมาคือพ่อครัวส่วนตัวระดับสูง ที่ใช้ไม่หมดก็คือเงิน ดังนั้นจึงไม่เป็นไร
มู่จื่ออี้นั้นไม่เหมือนกัน เขาเป็นเพียงพนักงานเงินเดือน
“ไม่ต้องหรอก ฉันไม่ชอบสิ้นเปลือง กินเท่าไหนก็สั่งเท่านั้นเถอะ”
เห็นเย้นหว่านท่าทางทำหน้าเคร่งขรึม ในใจมู่จื่ออี้ยิ่งอบอุ่น ลังเลสักนิด แล้วพูดว่า
“เสี่ยวหว่าน ความจริงผมไม่ได้บอกคุณ สถานะที่แท้จริงของผมคือ……”
“กริ๊งๆๆ”
คำพูดของมู่จื่ออี้ยังไม่ทันจบ เวลานี้โทรศัพท์ของเย้นหว่านดังขึ้นมากะทันหัน
เป็นเย้นซินโทรมา
“ขอโทษนะ ฉันขอรับโทรศัพท์หน่อย”
เย้นหว่านถือโทรศัพท์เตรียมรับสาย ก่อนรับยังไม่ลืมกำชับกับมู่จื่ออี้อีกประโยค “ไม่ต้องสั่งแล้วนะ พอกินก็พอ”
มู่จื่ออี้หัวเราะอย่างจำใจ ลักษณะของเย้นหว่านที่ประหยัดเงินเพื่อเขานั้น จริงๆ เลย น่ารักมาก
ถ้าเธอรู้สถานะที่แท้จริงของเขา จะมีปฏิกิริยาอย่างไร?
ทันใดนั้นเขาก็รอคอยอยู่พอสมควร
เย้นหว่านรับโทรศัพท์ ถามว่า “เย้นซิน มีอะไร?”
เสียงของเย้นซินลอยมาจากในสายนั้น “พี่ พี่ถึงแล้วเหรอ?”
เย้นหว่านสงสัยอยู่บ้าง เย้นซินโทรศัพท์มาโดยเฉพาะ คงไม่ใช่แค่เป็นห่วงเธอหรอกมั้ง
เธอตอบไปทีหนึ่ง จากนั้นถามต่ออีก “เธอโทรศัพท์หาฉัน มีเรื่องอะไรรึเปล่า? โห้หลีเฉินมีธุระอะไรเหรอ?”
“ไม่มีหรอก แค่เป็นห่วงพี่นิดหน่อย พี่กับมู่จื่ออี้ออกเดตกันเป็นยังไงบ้าง”
เสียงของเย้นซินมีเสียงหัวเราะ เหมือนพูดซุบซิบ “เมื่อวานมองเห็นเขากอดพี่แบบนั้น ฉันก็รู้แล้วว่าเขาชอบพี่มาก วันนี้พวกพี่ก็ไปออกเดต……พี่ พี่บอกความจริงฉันมา มู่จื่ออี้เป็นคนที่พี่ชอบใช่ไหม?”
ได้ยินคำนี้ เย้นหว่านก็ขมวดคิ้วแล้ว