บทที่ 151 เป็นเธอ
เธอไม่สามารถโดนพาไปอย่างเงียบๆ แบบนี้ได้เด็ดขาด
ในใจเย้นหว่านร้อนรน ภายใต้ความลนลาน จับของข้างกายขึ้นแล้วโยนไปใส่หัวทอง
หัวทองไม่ได้ระวังสักนิด ถูกลูกแก้วกลมขว้างใส่หน้า
เขาเจ็บ ชั่วขณะนั้นโมโหยกใหญ่ ด่าทอไปหลายประโยค จากนั้นกระโจนเข้ามาด้วยใบหน้าโหดเหี้ยม บีบแขนของเย้นหว่านไว้
เรี่ยวแรงเขาเยอะมาก เดิมทีเย้นหว่านไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา ไปถูกจับไว้ก่อนจะบังคับให้ลุกขึ้นมา
“นังผู้หญิงคนนี้ อย่ามาอวดดีกับฉัน ไม่งั้นจะเอาแกให้ตายไปตอนนี้!”
หัวทองข่มขู่อย่างชั่วร้าย บนหน้าที่อัปลักษณ์มีแรงอาฆาตที่ไม่หลอกลวงสักนิด
เย้นหว่านรู้ พวกเขาคนเหล่านี้ทำออกมาได้จริงๆ
เธอหวาดกลัวทั้งหัวใจ ไม่กล้าก่อความวุ่นวายอย่างฮึกเหิมอีก พึ่งหยุดไปนิดหน่อย หัวทองรีบนำเธอแบกไว้บนไหล่ทันที
เขาผอมมาก กระดูกที่ไหล่ทิ่มหน้าท้องของเธออย่างรุนแรง
เย้นหว่านกัดฟันข่มกลั้นความเจ็บ ศีรษะมึนเวียนจนซีดขาว แต่ในมือของเธอกลับจับกระดาษไม่กี่ใบที่ฉีกติดมือไว้แน่นตอนที่โยนของไปเมื่อสักครู่ บีบจนเป็นก้อนในมือ
สามสี่คนรีบออกไป ไม่ได้สังเกตการณ์กระทำเล็กๆ นี้ บวกกับคนหวาดกลัวล้วนจะจับของไว้ พวกเขาจึงไม่ได้สนใจ
ปล่อยให้หัวทองแบกเย้นหว่านไว้ สองสามคนหลังจากเก็บของที่เกี่ยวข้องกับสถานะพวกเขาอย่างรวดเร็ว รีบออกไปกัน
ที่นี่เป็นสถานที่เปลี่ยว คนผ่านมาสองคนยังไม่มี คนพวกนี้วิ่งไปทางด้านหลัง
เย้นหว่านถูกแบกอยู่บนไหล่ มองทางด้วยความยากลำบาก ตอนที่พวกเขาเลี้ยวโค้ง ค่อยๆ โยนกระดาษแผ่นหนึ่งลงบนพื้น
ด้านบนยังเปื้อนรอยเลือดที่มุมปากเธอ
คนพวกนี้เลี้ยวไปเลี้ยวมาในซอย ไม่นานก็ออกไปจากเขตถนนนี้ จากนั้นขึ้นรถตู้เก่าๆ คันหนึ่ง
“ปัง”
เสียงดังทีหนึ่ง เย้นหว่านถูกคนโยนไปในรถตู้อย่างหยาบคาย
พอได้รับอิสระ เย้นหว่านรีบยันตัวลุกขึ้นนั่ง ขดตัวอยู่ในมุมหนึ่งของรถตู้อย่างลุกลี้ลุกลน มองคนพวกนี้อย่างหวาดระแวง
หัวทองหัวเราะอย่างชั่วร้าย ทำตัวตามสบายอยู่บนรถตู้พูดจามา
“แม่หนู อย่ารีบร้อน ฉันรอถึงพื้นก่อนถึงจะทำอะไรเธอ ตอนนี้เธออยู่นิ่งๆ ไม่งั้น……”
“ฉัน ฉันไม่ทำอะไรทั้งนั้น”
เย้นหว่านรีบเอ่ยปาก สามารถยืดเวลาสักนิดก็คือความหวังเพิ่มมาอีกระดับ
“อย่าคิดเล่นตุกติกอะไร ไม่อย่างนั้นจะให้เธอตายแบบดูแย่มาก”
หัวทองข่มขู่มาอีกประโยคอย่างโหดร้าย เห็นเย้นหว่านตกใจจนรู้จักแต่พูดอะไร จึงไม่ทำอะไรออกไป แล้วหันหน้าไปพูดกับคนขับรถ
“ไปซอยทางด้านซ้าย พวกเราไปบนเขา”
บนเขา กลัวจะเป็นรังอีกที่ของพวกเขา
เย้นหว่านนึกถึงก็รู้สึกหนาวเย็นไปทั้งตัว เธอขดตัวอยู่ที่มุมรถ จิตใจสับสนมองไปทางสิ่งก่อสร้างข้างนอกด้านหลังไม่ขาด นับวันยิ่งห่างไกลผู้คน
เย้นซินจะสามารถหาคนมาช่วยเธอทันเวลามั้ย?
สามารถหาร่องรอยที่เธอทิ้งไว้ รีบมา……ก่อนเธอจะเจอเหตุร้ายไหม?
เย้นหว่านกำกระดาษที่เหลือในมือไว้แน่น ใจก็เหมือนคนที่จมน้ำในมหาสมุทร ดิ้นรนในความยากลำบาก อ้อนวอนให้สามารถมีคนมาช่วยเธอได้
อยู่สถานที่แบบนี้ เย้นหว่านรู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วเป็นพิเศษ และรู้สึกว่าทุกนาทีทุกวินาทีช้าจนทำให้คนทุกข์ทน เธอไม่รู้ว่านั่งรถมานานเท่าไร ทันใดนั้นรถก็จอดลงมา
ผู้ชายคนที่ขับรถหันหน้ามา พูดอย่างประหม่า “ลูกพี่ ถนนออกนอกเมืองมีตำรวจเต็มเลย เหมือนกำลังตรวจแอลกอฮอล์ พวกเราจะเข้าไปไหม?”
“แกก็ไม่ได้กินเหล้า จะกลัวอะไร”
หัวทองด่าด้วยความรังเกียจ มองไปด้านหน้าทีหนึ่ง พอมองไปทางนี้ ไฟโกรธเขายิ่งมากขึ้น
“แกนี่มันโง่รึไง ตำรวจมากขนาดนี้ ขบวนมากขนาดนั้น จะมาตรวจแอลกอฮอล์ได้ยังไง? นี่มันปิดถนนแล้ว ต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่ หรือว่าพวกเขากำลังจับใคร”
ได้ยินคำพูดนี้ เย้นหว่านดวงตาเป็นประกายแล้ว
เหมือนเป็นจิตใต้สำนึก เธอรู้สึกว่าปิดถนนด้านหน้า การกระทำมากขนาดนั้น ต้องเป็นฝีมือโห้หลีเฉินแน่
เขารู้ว่าเธอถูกลักพาตัวแล้ว?
เขามาช่วยเธอแล้ว?
ในใจเย้นหว่านตื่นเต้นจนพูดไม่ออก ยกศีรษะขึ้นไปมองด้านนอก อยากหาโอกาสขอความช่วยเหลือ แต่เธอยังมาได้ลุกขึ้นยืน ถูกผลักไปทีหนึ่งอย่างแรง
“อย่าคิดมาเล่นลูกไม้กับฉัน ถึงแม้จะมีตำรวจมากขนาดนั้น ก็ช่วยเธอไม่ได้”
หัวทองสายตาที่มองเธอเหี้ยมโหดที่สุด พูดกับคนอื่นๆ ไป “เลี้ยวรถ ไปโรงงานเก่าที่เขตตะวันตก จัดการหล่อนที่นั่น แล้วพวกเราค่อยไป”
พาเย้นหว่านไปด้วย ต้องออกเมืองไปไม่ง่ายแน่
ชั่วขณะนั้นในใจเย้นหว่านหนาวสั่น โรงงานเก่าทางเขตตะวันตก ที่นั่นคือสถานที่รกร้างว่างเปล่า
โดยเฉพาะอย่างยิ่งอยู่ห่างจากที่นี่นิดเดียว ขับรถถึงสิบนาทีก็ถึงแล้ว
ระยะเวลาสั้นขนาดนี้ เดิมทีโห้หลีเฉินคงมาหาเธอไม่ทัน
“ช่วยด้วย! ช่วยด้วย……ช่วยด้วยค่ะ……”
เย้นหว่านที่สงบนิ่งทันใดนั้นดึงน้ำเสียงตะโกนขึ้นมา ยิ่งกดกระจกรถลงมาอย่างกะทันหัน โยนก้อนกระดาษในมือออกไป โบกมือพุ่งไปด้านนอกบ้าคลั่ง
เธอพยายามกระทำสิ่งที่ดึงดูดสักหน่อย เพื่อให้ได้รับการสังเกตจากข้างนอกสักนิดก็ดี
“หุบปาก นังนี่”
หัวทองหน้ามืดในชั่วพริบตาเดียว ดึงเย้นหว่านกลับมา ตบลงบนหน้าเย้นหว่านทีหนึ่งอย่างแรง
จากนั้นเขาก็ดึงศีรษะของเย้นหว่านทุบไปบนประตูรถ
“อ่า……”
ปลายศีรษะของเย้นหว่านเจ็บจี๊ด ชั่วพริบตาเดียวด้านหน้ามืดสนิท ไม่รู้สึกตัวแล้ว
หัวทองเห็นเย้นหว่านไม่มีการตอบสนอง ถึงโยนเธอไปด้านข้าง ยังด่าอย่างกระหืดกระหอบ
“ยังไม่รีบออกรถอีก? อยากให้ตำรวจเห็นพวกเราเข้าจริงๆ หรือไง?”
“ครับ ครับ ลูกพี่”
ผู้ชายที่นั่งตรงคนขับรีบออกรถ หมุนรถกลับ
ล้อรถเหยียบบนก้อนกระดาษที่เปื้อนเลือด ก้อนกระดาษทับแบน กดกระจาย และถูกลมพักลอยขึ้นมา
ในขณะเดียวกันรถแลมโบกินี่รุ่นลิมิเต็ดก็ขับมา
ความเร็วไวมาก เหมือนธนูลอยฉิวผ่านไปอย่างรวดเร็ว
กระดาษที่ลอยขึ้นมาลอยไปด้านข้างตัวรถ โดนกระแสอากาศของรถทำให้ลอยสูงขึ้น ปลิวว่อนไปด้านหลัง
“เอี๊ยด……”
รถแลมโบกินี่ที่ขับมาด้วยความเร็วสูงทันใดนั้นเหยียบเบรกหยุดลง
ประตูรถด้านหลังเปิดออกจากด้านใน ชายหนุ่มขาตรงดิ่งและยาวก้าวลงมาสักหน่อย
เขาไม่ได้ชักช้าแม้สักนิด ก้าวใหญ่ๆ เดินไปยังกระดาษที่ลอยว่อนด้านหลัง
“เจ้านายครับ คุณจะไปไหน? ระวังด้วยครับ”
เว่ยชีรีบลงมาจากที่นั่งคนขับ มองโห้หลีเฉินที่เดินลงจากในรถแบบนี้ด้วยความอกสั่นขวัญแขวน
เขารีบใช้ไมค์หูฟังกำชับขบวนรถด้านหลัง “รีบหยุดรถ! ดักทางเอาไว้”
ถ้าคนไหนขับรถมาไม่ดูให้ดีแล้วชนเจ้านายเข้า ไม่อยากจะคิดอย่างยิ่ง
ไม่นานที่นั่งข้างคนขับก็ถูกเปิดออก เย้นซินวิ่งลงมา ตามไปทางโห้หลีเฉินด้วยความรีบร้อน
เต็มไปด้วยความกังวล “พี่เขย พี่จะไปไหนกัน?”
โห้หลีเฉินไม่สนใจคำพูดของทั้งสองคนเลย ฝีเท้าก้าวเดินทั้งเร็วทั้งใหญ่ ไม่นานก็จับกระดาษที่พึ่งลอยร่วงมาไว้ได้
จากนั้นเขารีบคลี่กระดาษออก พอมองเห็นรอยเลือดที่เปื้อนอยู่ด้านบน
นิ้วมือที่จับกระดาษนั้นสั่นอย่างรุนแรง
เป็นเธอ!
“เว่ยชี เย้นหว่านเคยมาที่นี่ รีบตรวจกล้องวงจรปิดเดี๋ยวนี้”