บทที่ 142 คนสองคนอยู่กันไปชั่วชีวิต
คำถามที่ถาโถมมาอย่างนับไม่ถ้วน โห้หลีเฉินกลับไม่สนใจนักข่าวทั้งหมดอย่างตรงไปตรงมา สายตาล้ำลึกของเขาตกอยู่บนตัวของเย้นหว่าน ประกายความโปรดปรานอย่างไม่ปกปิดสักนิด
เขาถามเธอด้วยเสียงทุ้มละมุน “เธอว่าไงล่ะ?”
หมายความว่าสิทธิ์ที่ยอมรับนี้ มอบให้เย้นหว่านอย่างคาดไม่ถึง
ส่วนเขาคำพูดของโห้หลีเฉิน ท่าทีของเขา ความจริงเป็นเพียงการยอมรับฝ่ายเดียว……
แต่ว่าท้ายที่สุดการตัดสินใจเปิดเผยหรือไม่เปิด กลับมอบให้เย้นหว่านแล้ว
เรื่องเปิดเผยต่อสาธารณชนแบบนี้ให้เย้นหว่านตัดสินใจ ขอเพียงไม่ใช่คนเขลา ล้วนมองออกกันหมด โห้หลีเฉินรักใคร่ต่อเย้นหว่านมากแค่ไหน
ผู้คนมากมายตกตะลึงกัน สายตามากมายตกบนตัวของเย้นหว่านอีกครั้ง ในงานเงียบสงบมาก ต่างกำลังรอเย้นหว่านกล่าวคำยอมรับความสัมพันธ์นั้นออกมาแทบหยุดหายใจ
โดยเฉพาะโห้หลีเฉินเป็นเทพบุตรที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองหนาน มีเพียงผู้หญิงนับไม่ถ้วนอยากผูกความสัมพันธ์สักนิดกับเขาอย่างทนไม่ไหว กลัวว่าตอนนี้เย้นหว่านคงกำลังดีใจเป็นบ้าเป็นหลัง
ต้องอยากยอมรับแน่
เย้นหวานมองดวงตาของโห้หลีเฉิน กลับจิตใจกระวนกระวาย เหมือนมดในหม้อเดือด ร้อนจนลวกไปทั้งตัว
เธอไม่เข้าใจ ทำไมโห้หลีเฉินต้องดีต่อเธออย่างไม่สงวนท่าทีไว้สักนิด
ถ้าบอกว่าเธอไม่ประทับใจก็คงโกหก แม้กระทั่งหัวใจยังเต้นแรงไม่หยุดมาตลอด แต่ว่าสติปัญญาก็เตือนเธออยู่ไม่ขาด ความสัมพันธ์แท้จริงระหว่างพวกเขา
นั่นคือเส้นแบ่งเขตที่ข้ามไม่ผ่านเส้นหนึ่ง เธอยังไม่มีแม้แต่สิทธิ์จะข้าม
หลบเลี่ยงสายตาของโห้หลีเฉิน เย้นหว่านไม่กล้ามองนักข่าว หันหน้าวิ่งไปหลังเวที
ตอนนี้เธอไม่สามารถเอ่ยปากยอมรับความสัมพันธ์ระหว่างโห้หลีเฉินได้ และไม่สามารถปฏิเสธได้
ดังนั้นรู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหาง
มองเห็นตัวละครหลักหนีไปแล้ว ชั่วขณะหนึ่งเหล่าสื่อมวลชนต่างมึนงง
“คุณเย้นหว่าน คุณอย่าพึ่งไปสิ สรุปคุณกับโห้หลีเฉินเป็นคู่รักรึเปล่า?”
“คุณเย้นหว่าน……”
นักข่าวตามถามอย่างไม่ยอมแพ้ แม้กระทั่งยังอยากตามเข้าไป แต่กลับถูกบอดี้การ์ดกั้นเอาไว้
โห้หลีเฉินมองภาพด้านหลังของหญิงสาวที่วิ่งหนี เม้มมุมปาก แววตาประกายความจำใจ
เขาเดินไปทางเธอเก้าสิบเก้าก้าวแล้ว แต่เธอนั้นแม้แต่ก้าวเดียวก็ไม่ยอมเดินออกมา
ในเมื่อเป็นเช่นนี้……
นั้นเขาก็เข้าไปอีกสักก้าวเถอะ
สายตาโห้หลีเฉินประกายความมันวาวที่มุ่งมั่นเอาชนะ ก้าวขายาวเดินไปทางหลังเวที
เหลือสื่อกลุ่มหนึ่งไว้ เกือบจะบ้าคลั่งอยู่ที่เดิม
พวกเขากำลังวิพากษ์วิจารณ์ คาดเดา ความสัมพันธ์ระหว่างของโห้หลีเฉินกับเย้นหว่าน
แต่คาดเดาอย่างไม่มีด้านลบใดๆ ล้วนเป็น……
โห้หลีเฉินกับเย้นหว่านเป็นคู่รักกันหรือไม่?
โห้หลีเฉินจะแต่งงานกับเย้นหว่านหรือไม่? ที่เขาให้คำมั่นสัญญาว่าทั้งชีวิต
หรือความจริงโห้หลีเฉินกำลังตามจีบเย้นหว่าน? เย้นหว่านไม่ได้ยอมรับ เพียงแค่ยังไม่รับปาก……
คุณพระ เทพบุตรขั้นสุดของพวกเขากำลังตามจีบคน แถมยังไม่สำเร็จด้วย
ไม่เพียงเป็นนักข่าวที่ตกใจ ผู้หญิงทั้งหมดต่างก็ตกใจเช่นกัน
นี่ช่างเป็นเรื่องที่ทำให้คนอิจฉาริษยาเหลือเกิน เกรงว่าชาติที่แล้วเย้นหว่านช่วยทั้งกาแล็กซีมาแล้วมั้ง?
ในขณะเดียวกันที่วิลล่าส้ายน่า ในคฤหาสน์ของโห้หลีเฉิน
เย้นซินนั่งอยู่ในห้องรับแขก ดูรายงานสดบนหน้าจอ ดวงตาแดงด้วยความริษยา
ทำไม ทำไมเป็นแบบนี้?
ตอนนี้เย้นหว่านไม่เพียงแต่ได้ถอนหมั้นกับโห้หลีเฉิน ยังถูกโห้หลีเฉินเกือบยอมรับสถานะของเย้นหว่านต่อหน้าสื่อมวลชนทั้งหมดด้วย มาแบบนี้ ถึงแม้เพื่อชื่อเสียงของตระกูลโห้ การแต่งงานฉากนี้คงจะไม่เปลี่ยนแปลงมากมายแล้ว
ไม่ได้
เป็นแบบนี้ไม่ได้อย่างเด็ดขาด
หล่อนยังต้องแทนที่เย้นหว่านเป็นคุณนายหญิงตระกูลโห้ หล่อนไม่สามารถนั่งงอมืองอเท้า แล้วให้เย้นหว่านแล่นตามลมตามน้ำได้
เย้นซินคิดแล้วก็ลุกขึ้นมา เดินไปด้านนอก
ถึงแม้จะมีอุปสรรคอยู่บ้าง สุดท้ายงานแถลงข่าวยังถือว่าสิ้นสุดอย่างสมบูรณ์ อย่างน้อยเย้นหว่านก็รักษาชื่อเสียงของเธอไว้ได้ แม้กระทั่งยิ่งมีชื่อเสียงเพิ่ม
ทุกคนต่างรู้ความสัมพันธ์ลึกซึ้งของเธอกับโห้หลีเฉิน ทุกคนต่างกำลังคาดเดาว่าพวกเขาจะแต่งงานกันเมื่อไร
เย้นหว่านย่อมกลายเป็นเป้าที่เหล่าผู้หญิงอิจฉากัน บนตัวถูกติดฉลากคุณนายตระกูลโห้ในอนาคตไปแล้ว
สามารถพูดได้ว่าแวบเดียวจากนกกระจอกตัวเล็ก กลายมาเป็นหงส์หรูหรา
เย้นหว่านดีใจไม่ขึ้นสักนิด เธอเศร้าเป็นพิเศษ
มองชายหนุ่มที่แจ่มใสยืนตรงหน้า เย้นหว่านนวดขมับแล้ว
“คุณโห้ เมื่อกี้ขอบคุณที่คุณกู้หน้าให้ฉัน แต่ว่าหลังจากที่พวกเราถอนหมั้นกัน คุณเคยคิดไหมว่าจะจัดการปัญหาอย่างไร?”
หลังจากนิ่งไปครู่หนึ่ง เย้นหว่านเสริมอีกประโยค
“ฉันยังไม่เป็นไร แต่ว่าตระกูลโห้เป็นตระกูลดัง ให้ความสำคัญกับชื่อเสียงที่สุด ถึงตอนนั้นคุณ……”
จะส่งผลกระทบอย่างมาก
สัญญาหมั้นตระกูลดัง เดิมทีพัวพันกับความเกี่ยวข้องทางผลประโยชน์มากมาย ดังนั้นไม่ง่ายเลยที่จะประกาศต่อผู้คน ไม่ง่ายจะถอนหมั้น หย่าร้าง
โห้หลีเฉินยักคิ้วเล็กน้อย มองเย้นหว่านด้วยสายตาริบหรี่
“เธอห่วงใยฉันขนาดนี้?”
เย้นหว่านสำลัก ประเด็นที่เขาจับได้คืออะไร?
สิ่งที่กำลังพูดถึงตอนนี้เป็นเรื่องชื่อเสียงภายภาคหน้าของเขา
โห้หลีเฉินก้าวมาข้างหน้า ก้มหน้าเข้ามาใกล้เย้นหว่าน ราวกับจะจูบมาได้ทุกเวลา คลุมเครือที่สุด
เสียงของเขาต่ำละมุน และเซ็กซี่ “คิดเพื่อชื่อเสียงของฉัน ไม่สู้พวกเราแต่งงานกันเลยล่ะ”
เย้นหว่านแข็งทื่อฉับพลัน ชั่วขณะนั้นหัวใจเต้นระรัว
เธอหน้าแดง รีบถอยหลังหนี ดึงระยะห่างกับเขา
“คุณโห้ ฉันจะไม่แต่งงานกับคุณ”
เธอพูดประโยคนี้ออกมาอย่างไม่สงสัยเลยสักนิด แต่อารมณ์ที่ประกายในสายตานั้น กลับเปิดโปงความสับสนของเธอในเวลานี้
แม้กระทั่งไม่มีความแน่วแน่ที่จะปฏิเสธครั้งแรกขนาดนั้น
โห้หลีเฉินหรี่ดวงตาลง “ทำไมถึงไม่?”
เขาเดินเข้าไปทางเธอทีละก้าว ทุกคำราวกับพูดจริงจังอย่างมาก
และบีบบังคับ
“แต่งกับฉัน เธอสามารถได้รับทุกอย่างที่ต้องการ หน้าที่การงาน ความร่ำรวย แต่งกับฉัน ฉันสามารถปกป้องเธอ เอาใจเธอ รักเธอ ให้เธอกลายเป็นผู้หญิงที่มีความสุขที่สุดบนโลก
เธอไม่มีคนที่ชอบ ไม่ใช่ว่าเธอไม่ได้รู้สึกดีกับฉันเลย พวกเราก็หมั้นกันแล้ว แต่งงานเป็นทางเลือกดีที่สุดของสองฝ่าย
ถึงแม้จะเป็นแค่การลองรักฉัน เธอก็ไม่มีเหตุผลต้องปฏิเสธ”
แต่ละคำแต่ละประโยค ทำให้หนังศีรษะชาอย่างมีสติ
ความยอดเยี่ยมของโห้หลีเฉินเป็นที่ประจักษ์ชัดแจ้งของผู้คน ไม่มีใครสามารถตอบโต้ได้ เขามีต้นทุนที่มั่นใจบ้าระห่ำได้เพียงพอ
และแม้กระทั่งเย้นหว่านยังไม่สามารถปฏิเสธ ไม่มีผู้หญิงปฏิเสธเขาได้เด็ดขาด
แม้กระทั่งเธอ
แต่ว่า……
อยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ทุกอย่างที่สมเหตุสมผลไปหมด ทุกอย่างเหมือนถูกจังหวะเป็นขั้นตอน แต่เธอรู้ ว่าเขารักคนอื่น
ในเมื่อเขามีคนที่ชอบ การแต่งงานฉากนี้ก็เป็นแค่เปลือกว่างเปล่า เขาจะรักเธอได้อย่างไรกันล่ะ?
“คุณโห้”
เย้นหว่านยืนตัวตรงดิ่ง ไม่ได้ถอยหนี จ้องมองโห้หลีเฉินไปตรงๆ
“คุณดีเยี่ยมจริง และเป็นผู้ชายที่ดีมาก จะต้องเป็นสามีที่ดีมากด้วย แต่ฉันคนนี้ต้องการไม่มาก ไม่ได้มีใจทะเยอทะยานมากขนาดนั้น ที่ฉันต้องการเพียงแค่ใจตั้งมั่น ทั้งคู่อยู่กันไปชั่วชีวิต”
โห้หลีเฉินขมวดหัวคิ้วเล็กน้อย “เธอคิดว่าฉันเป็นให้เธอไม่ได้?”
“คุณเป็นไม่ได้”
เย้นหว่านตอบไปอย่างชัดถ้อยชัดคำ
เธอมองเขาอย่างมีสติมาก เพียงแค่ข้างตัว มือน้อยกำเป็นหมัดแน่น ควบคุมความไม่สบายอย่างน่าประหลาดในใจไว้
โห้หลีเฉินเม้มริมฝีปากบาง สายตายิ่งมืดลึกขึ้น
เขาเอาใจออกมาไว้ตรงหน้าเธอ แต่เธอกลับไม่เชื่อเขา