บทที่ 156 ใครกล้าหัวเราะเยาะ
“ใช่ ปล่อยคนสารเลวพวกนั้นไปไม่ได้เด็ดขาด ถ้าไม่ใช่พี่เขยรีบไปช่วยได้ทันเวลา พี่สาวคงโดนพวกมันรังแกไปแล้ว ถ้าเป็นแบบนี้ พี่สาวคง……”
มือทั้งคู่ของเย้นซินจับกระโปรงตนเองไว้แน่น น้ำตาหยดใหญ่ร่วงลงมา เสียงสะอึกสะอื้นอย่างเศร้าใจ
ราวกับเกลียดเข้ากระดูก เหมือนคนที่ได้รับบาดเจ็บเป็นตัวหล่อนเอง
เฝิงเสวียนหลันนั่งอยู่ด้านข้างจูเหลียนอีงได้ยินคำพูดนี้ ในสายตาประกายแสง อารมณ์บนใบหน้ากลับเคร่งขรึมโกรธเคือง
“เสี่ยวหว่านเกือบโดนรังแกแล้วเหรอ? สรุปพวกนั้นทำอะไรกับเสี่ยวหว่าน?”
“พวกมันไม่ใช่คนกันสุดๆ ตอนที่พวกเราไปถึง เสื้อผ้าของพี่สาวถูกถอดออกหมด เหลือเพียงเสื้อชั้นใน เกือบจะ……”
“หุบปาก!”
คำพูดของเย้นซินยังไม่ทันพูดจบ ก็ถูกโห้หลีเฉินตะคอกให้หยุด
โห้หลีเฉินมองเย้นซินด้วยสายตาเย็นเฉียบ ราวกับปลายมีดที่ซับน้ำแข็งไว้
“เรื่องพวกนี้ เธอได้ยินมาจากใคร?”
เย้นซินตกใจใหญ่ มองโห้หลีเฉินอย่างจิตใจว้าวุ่น “พี่เขย ฉันพูดอะไรผิดไปแล้วรึเปล่า? ฉันไม่ได้ตั้งใจ ฉันเพียงแต่โมโหแทนพี่สาว”
โห้หลีเฉินไม่ได้สนใจหล่อน บีบถามด้วยเสียงเย็นชา “เธอได้ยินมาจากไหน?”
เย้นซินทำหน้าหวาดกลัว ตอบอย่างอ่อนแอ “ได้ยินคนที่สถานีตำรวจพูดกัน คนพวกนั้นที่โดนจับไปบอกรายละเอียดที่ทำผิดมา”
ชั่วขณะนั้นบรรยากาศในห้องเย็นจนขั้นติดลบ
โห้หลีเฉินสีหน้าอึมครึมลงมา รอบตัวมีสภาพดุร้ายเคร่งขรึมเด็ดขาด
ตอนนั้นเขาเข้าไปคนเดียว เพราะยังคิดถึงจุดนี้ด้วย กลัวเขาไปช้าเกินไป เย้นหว่านถูกคนรังแกเข้า ฉากแบบนั้นเขาแค่คิดก็ล้วนรู้สึกเจ็บที่หัวใจ ยิ่งไม่อาจให้คนอื่นมองเห็นได้
แต่เขากันคนอื่นมาเห็นได้ กลับจดจ่ออยู่ที่ตัวของเย้นหว่านอยู่ และไม่ได้พิจารณาถึงคำรับสารภาพของคนพวกนั้น
ให้ตายเถอะ
สถานีตำรวจนี้ เขาคงต้องไปเองสักหน่อย
เย้นซินถูกออร่าของโห้หลีเฉินทำให้ตกใจ ไม่กล้าพูดออกมาอีกสักคำเดียว แต่ว่าเฝิงเสวียนหลันเหมือนรู้เรื่องอะไรที่ร้ายแรงมาก ยังทำเป็นเสียงสูง ท่าทางตกใจเป็นพิเศษ
“คุณพระ เสี่ยวหว่านโดนคนถอดเสื้อผ้าออกหมด? เธอเป็นว่าที่สะใภ้ตระกูลโห้ของพวกเรา นี่……นี่ถ้าแพร่กระจายออกไป จะขายหน้ามากแค่ไหน คนนอกจะหัวเราะเยาะเอาได้”
คำพูดนี้ทำให้สีหน้าของเย้นซวนมิ้นและเฉียวเจี้ยฮุ่ยไม่ค่อยสู้ดีเท่าไรเช่นกัน
ลูกสาวของตนเองได้รับการรังแก กลับถูกคนรังเกียจแบบนี้
ถึงแม้ตระกูลโห้จะเป็นตระกูลใหญ่ร่ำรวย ให้ความสำคัญชื่อเสียงที่สุด……
แต่ถ้าเป็นเพราะสาเหตุนี้ ต่อไปรอให้เย้นหว่านแต่งเข้าไป แล้วพวกเขาไม่ดีต่อเย้นหว่าน นั่นพวกเขายอมไม่ต้องให้เย้นหว่านแต่งเข้าไป
เย้นซวนมิ้นกับเฉียวเจี้ยฮุ่ยมองหน้ากันทีหนึ่ง ทั้งสองคนมองความพยายามในสายตาของอีกฝ่ายออก ยังมีการตัดสินใจแน่วแน่ที่เพิ่มขึ้น สมจริงอย่างมาก
ถึงแม้เย้นหว่านเป็นลูกสาวบุญธรรม แต่พวกเขาล้วนปฏิบัติเหมือนเป็นลูกสาวแท้ๆ ถึงแม้ไม่แต่งกับตระกูลโห้ ก็จะไม่ยอมให้เธอเสียเปรียบ
ดังนั้นเย้นซวนมิ้นจึงทำหน้าตาเคร่งขรึมเตรียมจะเอ่ยปาก เวลานี้เสียงของโห้หลีเฉินกลับดังขึ้นมาก่อน
เสียงของเขาหนาวเย็นดั่งของแหลมคม เคร่งขรึมมาก
“ผู้หญิงของผม ใครจะกล้าหัวเราะเยาะ?”
สายตาที่บางเฉียบของเขามองทางเฝิงเสวียนหลัน ด้านในเสมือนปลายมีดแทงไปรอบด้าน อันตรายสุดๆ
ชั่วขณะนั้นเฝิงเสวียนหลันรู้สึกเสียวสันหลัง ทำให้หล่อนอยากถอยหนีโดยสัญชาตญาณ ไม่กล้าท้าทายผู้ชายคนนี้อีกต่อไป
แต่โอกาสแบบนี้ไม่ได้เจอบ่อยๆ
หล่อนกัดฟันแล้วพูดกับโห้หลีเฉินไป “หลีเฉิน เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ป้ารู้ว่าหลานก็ไม่สบายใจ แต่พูดไปแล้ว เรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับหน้าตาตระกูลโห้ของพวกเรา
ยังมีเรื่องแต่งงาน ว่าที่คุณผู้หญิงของตระกูลโห้เกือบจะถูกขืนใจแล้ว แม้กระทั่งยังโดนคนมากมายขนาดนั้นเห็นเรือนร่างจนหมด นี่ต่อไปถ้าเธอต้องแต่งงานเข้ามา หน้าตาพวกเราตระกูลโห้จะไม่ได้ดูดีขนาดนั้นสิ
เรื่องราวเป็นแบบนี้แล้ว แต่โดยเฉพาะตระกูลโห้เป็นตระกูลใหญ่ หน้าตาเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าไม่อย่างนั้นหลานทบทวนเรื่องแต่งงานกับเย้นหว่านใหม่สักหน่อยไหม?”
พอคำพูดนี้ออกมา คนที่อยู่ในที่นี้ล้วนสีหน้าไม่ดีกันหมด
เย้นซวนมิ้นกับเฉียวเจี้ยฮุ่ยยิ่งรู้สึกเหมือนโดนคนมาตบหน้า บนหน้าลุกไหม้ร้อนผ่าว
คนนี้พูดแบบนี้ พวกเขาในฐานะพ่อแม่ก็ไม่สบายใจเช่นกัน
บนหน้าที่เมตตาใบนั้นของจูเหลียนอีงพยับเมฆปกคลุมไปชั่วขณะหนึ่ง เต็มไปด้วยความไม่พอใจและโกรธเคือง
เธอหันหน้าจ้องเฝิงเสวียนหลัน หัวคิ้วขมวดแน่น
มีเพียงบนหน้าเย้นซินที่ท่าทางนิ่งขรึม ในใจกลับเหมือนหัวเราะอย่างเบิกบาน นี่คือผลลัพธ์ที่หล่อนต้องการ ขอเพียงต่อไปตระกูลโห้เอ่ยปาก บอกไม่แต่งงานกับเย้นหว่าน หล่อนก็มีโอกาสแทนที่
เย้นซินตื่นเต้นจนหัวใจเกือบลอยขึ้นมา รอคอยอย่างยิ่ง
โห้หลีเฉินเม้มริมฝีปาก หน้าหล่อเหลาใบนั้นอึมครึมถึงขั้นสุด
แต่ละคำของเขาล้วนพูดอย่างไม่ไว้หน้าสักนิด
“เรื่องแต่งงานของผม ยังไม่ต้องถึงขั้นคุณป้ามาเป็นกังวลหรอกครับ”
สายตาของเขากวาดผ่านทุกคนที่อยู่ในสถานที่ น้ำเสียงยืนหยัดและไม่ง่ายจะต่อต้าน
“อย่าว่าแต่ตอนนั้นเย้นหว่านใส่แค่ชุดชั้นใน ถึงแม้เธอถูกรังแกเข้าแล้วจริงๆ ผมโห้หลีเฉินก็ยอมรับเธอแล้ว จะแต่งงานกับเธอ!”
บนบันไดบ้าน ร่างน้อยๆ แข็งค้างทันใด
โห้หลีเฉินออกไปได้ไม่นาน เย้นหว่านก็ฝันร้ายจนสะดุ้งตื่น ในห้องไม่มีใคร เธอลนลานโดยจิตใต้สำนึก เลยเดินออกมา
คาดไม่ถึงเธอพึ่งเดินมาถึงหน้าบันได ก็ได้ยินคำพูดแบบนี้
แต่ละคำของโห้หลีเฉิน ล้วนหนักแน่นเหมือนหินก้อนใหญ่ ทุบลงมาบนหัวใจของเธอแต่ละอันขนาดนั้น
เธอไม่เคยรู้มาก่อน เขาอยากแต่งงานกับเธอ เป็นการตัดสินใจที่หนักแน่นขนาดนั้น
และหัวใจของเธอเหมือนถูกกระตุ้นคลื่นขึ้น สับสนรุนแรง
ด้านล่างนั้น พอได้ยินคำพูดของโห้หลีเฉิน คิ้วที่ขมวดแน่นของจูเหลียนอีงค่อยๆ คลายออก มองเขาอย่างพึงพอใจ ปลื้มใจเป็นพิเศษ
แบบนี้เป็นผลลัพธ์ที่เธอรอคอยที่สุด
“ดี!”
จูเหลียนอีงลุกขึ้นยืน ตบฝ่ามือไปบนไหล่ของโห้หลีเฉิน “ไม่เสียแรงเป็นผู้สืบทอดตระกูลโห้ของย่า มีนิสัยกล้าหาญพอ คู่หมั้นของตัวเอง ก็อยากได้คู่หมั้นแบบนี้ ใครก็ว่าไม่ได้ เหยียดหยามไม่ได้”
พูดๆ อยู่ จูเหลียนอีงมองไปทางเฝิงเสวียนหลันด้วยสายตาเย็นเฉียบข่มขู่ แต่ละคำแทงใจดำ
“ถ้ามีใครกล้าว่าร้ายเย้นหว่านลับหลังอีก เจตนาร้ายแพร่เรื่องพวกนี้ ย่าจะให้หล่อนเสียใจจนอ้าปากค้างไปเลย”
ร่างกายของเฝิงเสวียนหลันสั่นเทาจนควบคุมไม่อยู่
ตอนนี้จูเหลียนอีงสามารถนั่งมั่นคงเป็นเจ้าบ้านตระกูลโห้ได้ ไม่เพียงเพราะเธอเป็นคุณนายใหญ่ตระกูลโห้ ยิ่งเพราะตอนเธอยังสาวมีแผนการเผ็ดร้อนทำให้คนอกสั่นขวัญแขวน
เธอเกษียณพักผ่อนมาหลายปี แต่ออร่ารอบตัวเธอ อดีตที่ให้คนหวาดกลัว แต่มีเวลาไหนที่ไม่ทำให้คนหวาดหวั่น หวาดกลัว
“ใช่ค่ะ คุณแม่ ฉันจะไม่ให้คนอื่นพูดมั่วๆ”
เฝิงเสวียนหลันก้มศีรษะลง เอ่ยปากอย่างใจฝ่อ
เย้นซวนมิ้นกับเฉียวเจี้ยฮุ่ยเห็นโห้หลีเฉินปกป้องเย้นหว่าน ความโกรธเคืองในใจก็หายไป และรู้สึกถึงความปลื้มใจ พอใจเป็นพิเศษด้วย
มีโห้หลีเฉินคุ้มครองเธอ รักเธอแบบนี้ ถึงแม้ตระกูลโหจะเป็นตระกูลใหญ่ร่ำรวย เย้นหว่านแต่งเข้าไปน่าจะไม่เสียเปรียบแล้ว
ความหวังในใจเย้นซินแหลกสลายลงชั่วขณะหนึ่ง หล่อนมองโห้หลีเฉินอย่างไม่อยากเชื่อ อย่างไรก็นึกไม่ถึง เขาปกป้องเย้นหว่านถึงขั้นนี้เลย
เดินหล่อนคิดว่าผ่านเรื่องราวในวันนี้ไป พวกเขาจะถอนหมั้น…