บทที่ 157 คนอื่นไม่ได้ทั้งนั้น
กลับถึงห้อง เย้นหว่านนอนไม่หลับแล้ว นั่งอยู่บนเตียง อารมณ์สับสนยุ่งเหยิง
เธอไม่เข้าใจเลย ทำไมโห้หลีเฉินต้องอยากแต่งงานกับเธอแน่วแน่ขนาดนั้น แม้กระทั่งไม่สนใจความปลอดภัยของตนเองเพื่อไปช่วยชีวิตเธอ
ช่วงเวลานี้โห้หลีเฉินดีต่อเธอ เธอล้วนเห็นมากับตา แล้วจำใส่ใจ
แม้กระทั่งโห้หลีเฉินกับมู่หรุงซิ่นเป็นคู่รักกันเรื่องนี้ โห้หลีเฉินอยากแต่งงานกับเธอเพียงแค่เพื่อมีลูกให้มู่หรุงซิ่นในเรื่องนี้ ตอนนี้เธอเริ่มสงสัยอยู่บ้าง……
ได้ยินคนพูดเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ว่าที่ตนเองเห็นมากับตา ได้สัมผัสมากับตัว ถึงจริงยิ่งกว่า
เธอมักคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างโห้หลีเฉินกับมู่หรุงซิ่นไม่เหมือนที่มู่หรุงซิ่นบอกแบบนั้น แต่สรุปแล้วความสัมพันธ์เป็นอย่างไร เธอกลับไม่กระจ่าง
“แกร๊ก”
ตอนที่เย้นหว่านกำลังคิดไปทั่ว ประตูห้องโดนคนเปิดออกจากด้านนอก
ร่างสูงใหญ่ของโห้หลีเฉินปรากฏตัวที่หน้าประตู “ทำไมตื่นแล้วล่ะ? ฝันร้ายเหรอ?”
เย้นหว่านอึ้ง เธอฝันร้ายจริงๆ
เธอนึกขึ้นว่าตอนที่เธอตื่นขึ้นมา โห้หลีเฉินนั่งอยู่ด้านข้างของเธอ ยังกุมมือเธอเอาไว้ หรือว่าเพื่อปลอบโยนที่เธอฝันร้าย?
อารมณ์เธอผสมปนเป ชั่วพริบตาเดียวสับสนขึ้นอีกครั้ง
ก่อนจะส่ายหน้า เย้นหว่านพูดเบาๆ “ไม่มี คงเพราะนอนพอแล้ว”
โห้หลีเฉินเดินมาที่ข้างเตียง นั่งลงมาที่ขอบเตียงอย่างเป็นธรรมชาติมาก
เขาพินิจพิเคราะห์เธอไปตรงๆ หัวคิ้วยังคงขมวดไว้ “มีตรงไหนไม่สบายหรือเปล่า?” เธอดูเหมือนไม่ค่อยดีเท่าไร
“ไม่มี”
เย้นหว่านส่ายหน้าอีกครั้ง ว้าวุ่นใจมาก อยากถามเขาสักหน่อย กลับไม่รู้ว่าควรถามอย่างไร
และยิ่งไม่รู้ว่าควรเผชิญหน้ากับผลลัพธ์ที่ถามออกมาอย่างไร
โห้หลีเฉินสายตาล้ำลึก สัมผัสถึงอารมณ์ตกต่ำของเย้นหว่านได้อย่างว่องไว เหมือนท่าทางอารมณ์หนักหน่วงมาก
แต่เห็นได้ชัดว่าเธอไม่อยากบอก
เขาไม่ได้ตามถามอีก “ฉินฉู่มาแล้ว ให้เขาตรวจร่างกายให้เธอสักหน่อย”
“ได้”
เย้นหว่านพยักหน้าตอบรับแล้ว
โห้หลีเฉินไม่ได้ขยับ เพียงมองเธอไว้ สายตายิ่งลึกขึ้น
เย้นหว่านสงสัย “เป็นอะไรไปแล้ว?”
ริมฝีปากบางของโห้หลีเฉินเม้มลง แววตาเหมือนมีความเศร้า ยิ่งเป็นความจำใจ
เขายกมือ วางไว้บนไหล่ของเย้นหว่าน ดึงกระชับคอเสื้อที่เปิดออกของเธอด้วยการกระทำที่เบาบาง จัดการให้เรียบร้อย
ชั่วขณะนั้นเย้นหว่านหน้าแดง เธอนอนอยู่บนเตียงไม่ทันสังเกต คาดไม่ถึงว่าเสื้อผ้าไม่เรียบร้อย แม้กระทั่งเผยออกมาไม่น้อย
ยังโดนโห้หลีเฉินเห็นเข้าให้ด้วย
เขายังทนมองไม่ได้ลงมือจัดการให้เธออีก……
ในใจเย้นหว่านอับอายแทบแย่ไปหมดแล้ว
โห้หลีเฉินทำหน้าตาสงบ น้ำเสียงต่ำอยู่บ้าง “อยู่ต่อหน้าฉันจะเป็นยังไงก็ไม่เป็นไร แต่ว่าต่อหน้าคนอื่น ไม่ได้”
ดังนั้นเขาถึงมาก่อนที่ฉินฉู่จะเข้ามา เตือนสติเธอ จัดการเธอให้เรียบร้อย
เย้นหว่านหัวใจสั่นอย่างรุนแรง แก้มยิ่งแดงแล้ว
โห้หลีเฉิน เหตุผลนี้ช่าง……อะไรเรียกว่าต่อหน้าเขาแบบไหนก็ได้?
อยู่ต่อหน้าเขา เธอยิ่งอับอายเข้าใจไหม?
เย้นหว่านไม่กล้ามองเขาอีก หันหน้ามาทางอื่น
โห้หลีเฉินถึงบอกทางหน้าประตูไปทีหนึ่ง “เข้ามา”
ตามมาด้วยเสียงเปิดประตู “แกร๊ก” ฉินฉู่ถือกระเป๋าอุปกรณ์ทางการแพทย์เฉพาะทางเดินเข้ามา
บนใบหน้าสะอาดโดดเด่นของเขามีรอยยิ้มอยู่ ยิ้มกริ่มพุ่งมาทักทายกับเย้นหว่าน
“พี่สะใภ้ คุณฟื้นแล้วเหรอ? จิตใจเป็นยังไงบ้าง ยังมีตรงไหนเจ็บเป็นพิเศษหรือเปล่า?”
“ไม่มี สบายมาก”
สีแดงระเรื่อบนแก้มของเย้นหว่านยังไม่หายไป เพียงรู้สึกว่าโห้หลีเฉินอยู่ที่นี่ เธอไม่สบายไปทั้งตัวเลย
ฉินฉู่เดินมาข้างเตียง “พี่สะใภ้ ผมจะตรวจร่างกายให้คุณสักหน่อยนะ”
ขณะพูด เขานำกล่องอุปกรณ์การแพทย์วางบนชั้นที่หัวเตียง หยิบอุปกรณ์เฉพาะออกมา
ตอนนี้เย้นหว่านกึ่งนอนอยู่บนเตียง ให้ความร่วมมือจะนั่งตรงมาหน่อย แต่พอเธอขยับ ก็ดึงบาดแผลบนตัวให้เจ็บมาระดับหนึ่ง
เธอสูดลมเย็นๆ ทีหนึ่ง ชั่วขณะนั้นเหงื่อก็ผุดออกมา
“อย่าขยับมั่วๆ”
โห้หลีเฉินเอ่ยปากเสียงทุ้ม แวบเดียวก็เดินมาถึงข้างกายของเย้นหว่าน ยื่นมือโอบเธอไว้ในอ้อมอก พยุงพิงไปที่หลังเตียง
การกระทำของเขามีพลังมากและอ่อนโยนมาก ไม่ได้ทำบาดแผลเธอเจ็บเลย
กลิ่นอายของเขากระโจนมาตรงหน้า ยิ่งมีเสน่ห์ที่ทำให้คนหวาดหวั่น
เย้นหว่านหัวใจเต้นเร็วแบบไม่สงบ เธอไม่สะดวกจึงผลักเขาไป “ฉันไม่เป็นไร”
ร่างสูงใหญ่ของโห้หลีเฉินถอยหลังนิดหน่อยตามเธอไปแบบนั้น สีหน้าอดอึมครึมไม่ได้
เธอไม่อยากสัมผัสกับเขา?
ฉินฉู่มองการกระทำระหว่างสองคนนี้ด้วยสายตาแหลม หัวเราะหยอกล้อขึ้นมา “พี่สะใภ้ ถึงแม้มีผมที่เป็นก้างขวางคอคนนี้อยู่ แต่คุณไม่ต้องเขินอายขนาดนั้นหรอก แผลก่อนหน้านี้ของคุณ หลีเฉินเป็นคนจัดการให้ด้วยตัวเอง”
“หา?”
เย้นหว่านเบิกตาโตด้วยความตกใจ
บนตัวเธอมีแผลน้อยใหญ่มากมาย แผลบนหน้าเห็นได้ชัดที่สุด แต่ว่าบนตัวก็ถูกถีบมาไม่น้อย และขูดขีดบนพื้นไปมากมาย แต่ตอนนี้บาดแผลทั้งหมดบนตัวเธอล้วนผ่านการทำแผล
เธอยังคิดว่าเป็นหมอมาจัดการ ซึ่งยังพอรับได้ แต่ตอนนี้บอกว่าโห้หลีเฉินจัดการด้วยตนเอง……
“คุณๆๆ……”
เย้นหว่านมองโห้หลีเฉิน รู้สึกเพียงว่าสมองขาวโพลนไปครู่หนึ่ง นับวันแก้มยิ่งลวกร้อน
ทำไมแผลของเธอต้องเป็นโห้หลีเฉินที่ไม่ใช่มืออาชีพคนนี้มาจัดการ?
เห็นเย้นหว่านท่าทางทำหน้าตาเศร้าใจ โห้หลีเฉินยืนตัวตรงดิ่งอยู่ด้านข้าง ท่าทางเย็นชามาก
เขาพูดเรียบๆ “ร่างกายของเธอฉันก็ไม่ได้เห็นเป็นครั้งแรก เธอน่าจะเคยชิน?
เคยชิน? เรื่องแบบนี้ชินได้อย่างไรกัน?
เย้นหว่านสำลักค้าง ชั่วพริบตาเดียวแก้มร้อนระอุ ความร้อนเกือบทอดไข่ได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งถึงแม้เขาจะเคยเห็น แต่ว่าฉินฉู่ยังอยู่นะ เขาพูดแบบนี้ต่อหน้าฉินฉู่ ไม่รู้สึกเขินอายบ้างเหรอ?
เย้นหว่านรู้สึกไม่มีหน้าสู้ใครได้จริงๆ
“ฉันไม่เป็นไรแล้ว ตรงไหนก็สบายมาก คุณชายฉินกลับไปก่อนได้แล้วค่ะ”
“แต่ว่าพี่สะใภ้ คุณควรเปลี่ยนยาแล้ว”
เย้นหว่าน “……”
เธอมองชายหนุ่มสองคนที่อยู่ตรงหน้าด้วยความรู้สึกอึดอัดใจ พูดอย่างเคร่งขรึมและจริงจัง “งั้นหาหมอผู้หญิง หรือว่าพยาบาลมาเถอะ”
ฉินฉู่กลับส่ายหน้า “หมอผู้หญิง พยาบาล ไม่ได้ทั้งนั้น”
“ทำไม?” เย้นหว่านทำหน้าสงสัย หรือว่าความจริงเธอเจ็บหนักมาก จำเป็นต้องให้หมอเฉพาะทางรักษาถึงจะได้?
คาดไม่ถึง ฉินฉู่กลับตอบว่า “คุณเป็นภรรยาของหลีเฉิน ไม่ว่าผู้ชายหรือผู้หญิง คนอื่นเห็นไม่ได้ ยิ่งจับไม่ได้ด้วย”
เย้นหว่านสำลักแล้ว นี่มันตรรกะอะไร?
ไม่ใช่ยุคโบราณสักหน่อย จะว่าไปแล้วถึงแม้เป็นยุคโบราณ ก็ไม่มีเหตุผลที่ผู้หญิงก็ห้ามมองมั้ง
สำหรับสายตาที่สงสัยของเย้นหว่าน โห้หลีเฉินยังคงท่าทางเรียบนิ่ง นั่งลงมาที่ขอบเตียง
เขาพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ “ให้คนอื่นมา ฉันไม่วางใจ”
แต่ละคำแต่ละประโยค เขาพูดอย่างกับเป็นเรื่องที่ปกติที่สุด ธรรมดาจนทำให้คนไม่เอาใจใส่
แต่ว่าเนื้อหาของคำพูด กลับทำให้หัวใจเย้นหว่านสั่นอย่างรุนแรง
เขาบอกว่าเขาไม่วางใจ