บทที่ 167 เสียงร่ำไห้ของคนโสด
“ว้าวๆ! นี่มันอะไรกันเนี่ย? ฉันไม่ได้ตาฝาดไปใช่ไหม? หลีเฉินของเราอุ้มพี่สะใภ้ลงมาด้วย”
“ฉันก็คิดว่าตัวเองตาฝาดไปเหมือนกัน”
“แค่ทานข้าวก็ยังบริการรับ-ส่งอุ้มขึ้นอุ้มลง พี่สะใภ้บาดเจ็บคราวนี้…ถือว่าคุ้มสุดๆไปเลย”
ชายร่างใหญ่สามคนที่นั่งอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่นลุกขึ้นยืน
เขามองคนที่เดินลงมาจากบันไดอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง
เมื่อมู่หรุงชิ่นเห็นฉากนี้ก็ถึงกับชะงัก ความหึงหวงก็ฉายไปทั่วดวงตาของเธอ
เธอพูดเสียงทุ้มว่า “เย้นหว่านได้รับบาดเจ็บร้ายแรงหรือ?”
ฉินฉู่รีบตอบกลับ “ฉันเป็นคนรักษาเอง ได้รับบาดเจ็บแค่ภายนอกน่ะ ไม่ได้ร้ายแรงอะไร เท้าของเธอฟกช้ำจากการกระแทก เดินไปไหนมาไหนเองได้”
ดังนั้นสาเหตุที่โห้หลีเฉินอุ้มเธอลงมาเหมือนเจ้าหญิง ไม่ใช่เพราะอาการบาดเจ็บของเย้นหว่านร้ายแรง
แต่เป็นเพราะ…
“จุ๊จุ๊ ตอนนี้เพิ่งรู้นะว่าโห้หลีเฉินผู้เย็นชาเป็นน้ำแข็ง พอมีความรักแล้วหวั่นไหว จากน้ำแข็งก็ละลายจนกลายเป็นพระอาทิตย์ที่แสนอบอุ่นและร้อนแรง”
กู้อ๋างคร่ำครวญ “ฉันไม่อยากทานข้าวแล้วสิ กินอาหารหมาจนอิ่มไปซะแล้ว”
เสียงหยอกล้อของคนข้างล่างไม่สามารถปิดบังได้เลยแม้แต่น้อย แม้จะอยู่ข้างบนแต่เย้นหว่านก็ยังได้ยินอย่างชัดเจน
เดิมทีเธอก็รู้สึกอึดอัดอยู่แล้ว และอยู่ๆใบหน้าก็เริ่มร้อนวูบวาบขึ้นมา
แน่นอนว่าเป็นเพราะโห้หลีเฉินอุ้มเธอลงมาจึงทำให้เกิดกระแสความร้อนนี้
เธอจะมีหน้าไปเจอคนอื่นได้ที่ไหน
เย้นหว่านฝังศีรษะของเธอไว้ในอ้อมแขนของโห้หลีเฉินด้วยความสิ้นหวัง
เมื่อรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวเล็กน้อยของเธอ ฝีเท้าของโห้หลีเฉินก็หยุดลง เขามองผู้หญิงตัวเล็กๆที่อยู่ในอ้อมแขน คิ้วและดวงตาดูอ่อนโยน
เธอรู้หรือไม่ว่าตอนนี้เธอกำลังเอนตัวอยู่ในอ้อมแขนของเขา?
เขายิ้มมุมปากโดยไม่ได้ตั้งใจ ใบหน้าที่หล่อเหลานั้นดูเหมือนจะเปล่งประกายด้วยแสงหลากสีในทันที มันดูส่องสว่างมากจนผู้คนไม่สามารถละสายตาได้
ฉินฉู่และพวกเพื่อนๆก็ได้กินอาหารหมาไปอีกหนึ่งคำ
ฉินฉู่ประหลาดใจ “ดูเหมือนว่าฉันจะได้เห็นโห้หลีเฉินยิ้มเป็นครั้งแรกในชีวิต”
เย้นเหวินหนานผงะ “ฉันก็ด้วย”
กู้อ๋าง “ความรักทำให้คนเปลี่ยนไปขนาดนี้เลยหรือนี่”
พอได้ยินประโยคเหล่านี้ติดต่อกัน เย้นหว่านก็รู้สึกเหมือนมีดวงไฟแขวนอยู่บนใบหน้า ร้อนเหมือนมดบนกระทะร้อน
เธอรู้ว่าเธอจะต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้เมื่อเธอถูกโห้หลีเฉินอุ้มลงมาข้างล่าง เธออายจนไม่มีหน้าไปเจอคน
ทว่าโห้หลีเฉินไม่รู้สึกอายบ้างเลยหรือไง?
เมื่อเงยหน้าขึ้นเธอก็เห็นรอยยิ้มมุมปากที่ยังไม่ได้หายไปไหนของโห้หลีเฉิน สายตาของเขายังคงมองมาที่เธอ มันดูหวานซึ้งจนทำให้คนหวั่นไหว
หัวใจเย้นหว่านเต้นผิดจังหวะราวกับไฟฟ้าช๊อต
ตอนนี้หัวใจเธอกำลังว้าวุ่น เมื่อหลบสายตาออกไปก็เห็น…
ภายในห้องนั่งเล่น นอกจากชายร่างใหญ่สามคนแล้ว ยังมีมู่หรุงชิ่นยืนอยู่
เธออยู่ที่นี่ได้อย่างไร?
อย่างงั้นมู่หรุงชิ่นก็คงเห็นโห้หลีเฉินอุ้มเธอแล้ว….
ด้วยสัญชาตญาณของผู้หญิง เย้นหว่านก็รับรู้ได้ถึงอารมณ์เศร้าเสียใจที่อยู่ภายใต้ภาพลักษณ์ที่สง่างามของมู่หรุงชิ่น
เย้นหว่านตัวแข็งทื่อ
เธอขมวดคิ้วแล้วมองโห้หลีเฉินอีกครั้ง ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขายังคงดูดีและไม่มีใครเทียบได้ ในดวงตาที่ลึกล้ำนั้นเขายังคงมองเพียงแค่เธอ …
เขาไม่ได้มองมู่หรุงชิ่น
แม้ว่ามู่หรุงชิ่นอยู่ที่นี่ แต่ทำไมโห้หลีเฉินถึงยังทำแบบนี้ เขาไม่กลัวมู่หรุงชิ่นเสียใจหรืออย่างไร?
อาหารทำอยู่ในห้องครัวที่อยู่ข้างๆ เว่ยชีและพ่อครัวนำมาเสิร์ฟพร้อมกัน
ตอนนี้อาหารก็ถูกจัดวางไว้เต็มโต๊ะ ทั้งหมดล้วนเป็นของโปรดของเย้นหว่าน
ฉินฉู่และพวกเพื่อนๆมองอาหารน่าทานที่อยู่บนโต๊ะ พวกเขาทั้งหมดดูเหมือนจะไม่มีความอยากอาหาร และพูดบ่นพึมพำ
“กินอาหารหมาอิ่มแล้ว ไม่อยากกินแล้ว”
โห้หลีเฉิงอยู่ในท่าทีสงบ น้ำเสียงของเขาก็ยิ่งสงบ “อาหารที่อยู่บนโต๊ะก็ไม่ได้เตรียมไว้ให้พวกนาย”
เขาพูดอย่างเป็นธรรมชาติ เขาหยิบช้อนส้อมด้วยความสง่างามและยื่นถ้วยน้ำซุปให้เย้นหว่าน
นี่เป็นสิ่งที่เขาทำในช่วงสองวันที่ผ่านมา แต่กลับทำให้ฉินฉู่และคนอื่นๆตกตะลึง
พวกเขาไม่มีความคิดอยากจะกินอีกต่อไป ฉินฉู่วางตะเกียบบนโต๊ะ
ชี้ไปที่จานอาหาร “ดูนี่ ดูนี่ อาหารพวกนี้เป็นอาหารจานโปรดของพี่สะใภ้ทั้งนั้น แม้ว่าจะเป็นอาหารจานโปรดของพี่สะใภ้ก็เถอะ แต่ชิ่นทานเผ็ดไม่ได้ ดูสิทุกจานมีแต่พริกทั้งนั้น จะให้ชิ่นทานอย่างไร?”
พอได้ยินที่ฉินฉู่พูด โห้หลีเฉินก็เงยหน้ามองมู่หรุงชิ่น
“เธอทานเผ็ดไม่ได้?”
เขาถามราวกับว่ารู้เรื่องนี้เป็นครั้งแรก
ใบหน้ามู่หรุงซิ่นกลายเป็นขาวซีด เธอยิ้มทื่อๆตรงมุมปาก “ก็ทานได้บ้าง ฉินฉู่ก็พูดเกินจริง”
โห้หลีเฉินพยักหน้า จากนั้นก็โบกมือให้เว่ยชี
“ถามชิ่นสิว่าเธอชอบทานอะไร แล้วให้พ่อครัวทำให้เธอ”
“ครับ คุณผู้ชาย”
เว่ยชีรีบเดินไปข้างๆมู่หรุงชิ่นและถามเธออย่างสุภาพ
เย้นหว่านหันไปมองมู่หรุงชิ่น หลังจากที่ได้ยินเธอบอกชื่ออาหารกับเว่ยชี ในใจก็นึกสงสัย
ในขณะนี้โห้หลีเฉินก็ได้ตักซุปอุ่นๆมาวางไว้ตรงหน้าเธอ
“ทานซุป”
เย้นหว่านถือช้อนไม่ขยับ แต่ถามออกไปด้วยความสงสัย
“คุณไม่รู้หรือไงว่าคุณมู่หรุงทานเผ็ดไม่ได้?”
“แล้วทำไมฉันต้องรู้?”
โห้หลีเฉินถามกลับอย่างมีเหตุผล ในขณะที่พูดเขาคีบอาหารที่เธอชอบวางไว้บนถ้วยของเธอ
เขาดูแลเธอแบบนี้มาตลอดตั้งแต่ได้รับบาดเจ็บ
ทั้งรอบคอบและพิถีพิถัน
ปกติแล้วเย้นหว่านก็ยังไม่ค่อยชิน แต่วันนี้พอมีมู่หรุงชิ่นอยู่ที่นี่ด้วย โห้หลีเฉินกลับยังไม่เปลี่ยนตัวเอง
หรือเขาไม่สนใจว่ามู่หรุงชิ่นจะหึงหรือไม่เมื่อเห็นภาพนี้?
เย้นหว่านขมวดคิ้ว ยิ่งคิดความสงสัยก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้น
“เป็นอะไรไป? ไม่สบายหรือ?”
คิ้วสวยของโห้หลีเฉินขมวดเล็กน้อย มีความกังวลในน้ำเสียง
เย้นหว่านส่ายหน้า “ไม่มีอะไร”
ทันทีที่เธอพูดจบ เธอก็พบว่ามู่หรุงชิ่นกำลังจ้องเธออยู่
เธอกำลังมองไปที่โห้หลีเฉินและเย้นหว่านด้วยความหึงหวงอย่างไม่อาจปกปิดได้
มันคือความริษยา
เย้นหว่านมองออก แต่ในใจกลับฉุกคิดอะไรขึ้นได้
มู่หรุงชิ่นเป็นแฟนตัวจริงของโห้หลีเฉินไม่ใช่หรือ? แล้วเธอจะมาอิจฉาริษยาเธอทำไม?
เมื่อเห็นโห้หลีเฉินดูแลเธออย่างเอาอกเอาใจ มันจึงดูเหมือนเป็นการละเลยมู่หรุงชิ่น แม้แต่มู่หรุงชิ่นชอบทานอะไร เขาก็ไม่รู้ เย้นหว่านมีความคิดบางอย่างที่ไม่กล้าคิด …
“เหม่อลอยอีกแล้ว? อาหารไม่ถูกใจหรือ?”
ใบหน้าโห้หลีเฉินกลายเป็นสีเข้มขึ้นเล็กน้อย ราวกับว่าเขาสามารถเปลี่ยนอาหารบนโต๊ะที่อยู่ตรงหน้าได้ตลอดเวลา
เย้นหว่านหันไปเผชิญหน้ากับใบหน้าที่คุ้นเคยของโห้หลีเฉิน
เธอใช้ความกล้าที่มีอยู่เล็กน้อยพูดออกไป
“อาหารพวกนี้คุณมู่หรุงทานไม่ได้ไม่ใช่หรือ ฉันทานก่อนมันดูไม่ดี เพราะฉะนั้นรอให้อาหารของเธอมาก่อนแล้วค่อยทานพร้อมกัน”
“ไม่ต้องรอ พวกเขาทานเป็นเพื่อนเธอได้”
โห้หลีเฉินพูดอย่างตรงไปตรงมา
ลำดับความสำคัญเริ่มมองออกได้อย่างชัดเจน
ฉินฉู่ทุบหน้าอกแล้วพูดว่า “เห็นเมียดีกว่าเพื่อนจริงๆ! เห็นเมียดีกว่าเพื่อนเกินไปแล้ว!”
เย้นเหวินหนานพูดปลอบใจ “ชินแล้วก็ดี ในอนาคตอาจจะยิ่งกว่านี้ก็ได้”
กู้อ๋าง “…” เขาไม่หิวเลยสักนิด
แม้ว่าจะมีคนคอยบ่นและพูดหยอกล้อ แต่ก็ทำให้บรรยากาศดูคึกคักขึ้นมาก