บทที่ 182 ครั้งนี้ หมายความว่ายังไง
ที่ทำให้โห้หลีเฉินแปลกใจก็คือ เรื่องในคืนนั้น เธอกลับคิดมากถึงขนาดนี้
แล้วยังทำให้เธอรู้สึก ไม่ดีกับมันถึงขนาดนี้
“คุณ…คุณคิดว่าเรื่องในคืนนั้น เป็นเรื่องที่น่าอับอายอย่างนั้นเหรอ”
แค่ไม่กี่คำ แต่กลับพูดออกมาด้วยความยากลำบากสำหรับโห้หลีเฉิน
เขาคิดว่าเธอแค่รู้สึกหวาดกลัว ไม่อยากเผชิญหน้ากับเรื่องในคืนนั้น แต่คิดไม่ถึงเลย ว่าเรื่องในคืนนั้นจะสร้างผลกระทบกับเธอมากถึงขนาดนี้
เหมือนว่ามีผ้าสีดำผืนใหญ่ล่วงลงมาจากฟ้า แล้วคลุมขังเธอไว้ข้าในนั้น
ทำให้โลกของเธอมืดมิดจนหาทางออกไม่เจอ
เย้นหว่านไม่อยากนึกถึงเรื่องในคืนนั้นอีก และยิ่งไม่อยากพูดถึงต่อหน้าผู้ชายคนนี้ด้วย
แต่ว่า ไหนๆก็พูดมาถึงขั้นนี้แล้ว
ทุกความรู้สึกต่ำต้อยไร้ค่าของเธอล้วนถูกเปิดเผยต่อหน้าเขา เหมือนปลาตัวน้อยที่ถูกน้ำซัดมาที่หาดทราย ทำให้ต้องโดนแดดเผาโดยไม่มีทางเลือก
เย้นหว่านเม้มปาก “… ใช่ค่ะ”
เธอไม่กล้ามองหน้าเขา จึงก้มหน้าลงต่ำ
“คุณคงจะรู้สึกว่าฉันสกปรกมากเลยสินะคะ คนสูงส่งอย่างคุณ กลับต้องมีคู่หมั้นอย่างฉัน…”
“ผมไม่ใส่ใจ”
คำพูดของเย้นหว่านยังไม่ทันจบ โห้หลีเฉินก็พูดขัดขึ้นมาก่อน
มือที่จับไหล่ของเธอไว้ค่อยๆบีบแน่นขึ้น เขาจ้องหน้าเธอนิ่ง แววตาของเขาเคร่งเครียดมาก
“คนที่ผมต้องการคือคุณ ไม่ว่าคุณจะเป็นยังไง ในสายตาของผมล้วนแต่งดงามทั้งนั้น”
โห้หลีเฉินไม่เคยพูดคำพูดแบบนี้มาก่อน แต่ตอนนี้เขากลับพูดออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ
เป็นคำพูดที่ทำให้คนใจเต้นแรงขึ้นมาโดยห้ามไม่อยู่
เย้นหว่านตะลึงงัน เธอมองหน้าเขา ด้วยความรู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในความฝัน
จนเธอเผลอพูดออกมา โดยไม่ทันได้คิด “แต่ว่าเมื่อคืน คุณไม่ได้แตะต้องตัวฉัน…”
“ผมไม่มีทางทำร้ายคุณ”
น้ำเสียงของโห้หลีเฉินมั่นคงมาก สักพัก เขาก็พูดเสริมขึ้นมา “ครั้งนี้ ผมอยากเก็บไว้จนถึงคืนวันแต่งงานของเรา”
คืนวันแต่งงาน
เป็นคำพูดที่หวานเลี่ยนและหยอกเอิน
แต่ทำไมถึงเป็นครั้งนี้ หรือว่ายังมีครั้งที่แล้วด้วย
เย้นหว่านใจเต้นแรงอย่างควบคุมไม่อยู่ เธอทั้งตกใจและสงสัย
เธอกำลังจะถามออกไป แต่ในเวลานี้เอง เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นมาซะก่อน
เสียงเรียกเข้าดังไปทั่วห้อง ทำลายบรรยากาศที่มีก่อนหน้านี้ลงจนหมด
เย้นหว่านถึงจะรู้สึกตัว ว่าเธอกับโห้หลีเฉินอยู่ใกล้กันมาก ท่านั่งเผชิญหน้ากัน ยิ่งดูเหมือนจะจูบกันได้ตลอดเวลา
นี่มัน…
เย้นหว่านหน้าแดงก่ำ เธอรีบลุกขึ้นมาจากเตียง แล้วรีบเดินไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา
เธอใจเต้นแรงจนทำอะไรไม่ถูก และไม่กล้าแม้แต่ตะมองหน้าของโห้หลีเฉิน
เธอรีบกดรับสาย “ฮัลโหล”
พอฝ่ามือรู้สึกโล่งๆ ทำให้โห้หลีเฉินรู้สึกไม่เคยชิน
เขามองไปทางเย้นหว่านอย่างจนใจ ถ้าเมื่อตะกี้เธอถามออกมา เขาจะยอมรับออกไปตรงๆ ว่าผู้ชายในคืนนั้นก็คือเขาเอง
แต่น่าเสียดาย…
คงต้องหาโอกาสใหม่อีกครั้งแล้วล่ะ
เย้นหว่านไม่รู้ว่าโห้หลีเฉินกำลังคิดอะไร เธอรีบปรับอารมณ์ ก่อนจะกดรับสาย
คนที่โทรเข้ามาคือเฉียวเจียฮุ่ย สิ่งที่เธอจะพูด เป็นสิ่งที่เย้นหว่านเดาได้ตั้งแต่แรกแล้ว
พอเฉียวเจียฮุ่ยเอ่ยปากพูด ก็รีบถามออกมาอย่างรีบร้อน “เสี่ยวหว่าน ลูกกับเสี่ยวซินมีปัญหาอะไรกันหรือเปล่า เมื่อคืนหลังจากที่เสี่ยวซินกลับมาถึงบ้าน ตาก็บวมแดง ไม่ยอมพูดอะไร วันนี้แม่ยังไม่ทันได้ถามให้รู้เรื่อง เสี่ยวซินก็อาละวาดขึ้นมา แล้วยัง…”
เฉียวเจียฮุ่ยพูดติดขัด ท่าทางลำบากใจมาก
เย้นหว่านย่นคิ้ว เย้นซินกลับไปอาละวาดอย่างนั้นเหรอ
เธอคิดไม่ถึงเลยว่าเรื่องนี้จะสร้างปัญหาให้กับพ่อแม่ด้วย
เย้นหว่านอารมณ์เสีย แต่ก็ยังถามอย่างกลั้นอารมณ์ “แม่คะ ไม่มีเรื่องอะไรหรอกค่ะ เย้นซินแค่เอาแต่ใจตัวเอง คุณแม่อย่าเพิ่งคิดมากนะคะ ตอนนี้เธอเป็นยังไงบ้างคะ”
“ตอนนี้เธอ…”
เฉียวเจียฮุ่ยลังเลใจสักพัก ก่อนจะตัดสินใจพูดออกมา “แม่เองก็ไม่รู้ว่าพวกลูกทะเลาะอะไรกัน แต่เย้นซินเข้าไปที่ห้องของลูก แล้วโยนของทุกอย่างของลูกทิ้งหมดเลย”
โยนของของเธอทิ้งอย่างนั้นเหรอ
พอนึกถึงสิ่งที่เย้นซินพูดออกมา ที่บอกว่า เธอต่างหากที่เป็นลูกสาวแท้ๆของตระกูลเย้น เป็นคุณหนูที่แท้จริง ส่วนเย้นหว่านเป็นแค่ลูกเลี้ยง เป็นแค่เด็กที่ถูกพ่อแม่ทอดทิ้ง
ในสายตาของเย้นซิน เธอไม่นับว่าเป็นลูกที่แท้จริงของตระกูลเย้น
ดังนั้น ตอนนี้เย้นซินโยนของใช้ของเธอทิ้ง เพราะต้องการจะไล่เธอออกจากตระกูลเย้นสินะ
ถึงเย้นหว่านจะมีความอดทนมากแค่ไหน ตอนนี้ก็โกรธมาก และยังรู้สึกกระวนกระวายใจมากด้วย
เธอถาม “แม่คะ เย้นซินยังพูดอะไรอีกหรือเปล่าคะ”
“ก็ ก็ไม่ได้พูดอะไรแล้วนะ ถึงแม้เสี่ยวซินจะอาละวาดอย่างหนัก แต่มีพ่อของลูกคุมอยู่ แม่แค่อยากจะถามลูกว่าเกิดอะไรขึ้น จะได้จัดการแก้ไขนิสัยเสียๆของเย้นซินได้ถูก”
ถึงแม้เฉียวเจียฮุ่ยจะร้อนใจ แต่เห็นได้ชัดว่าเธอกำลังปิดบังหลายๆเรื่องไว้
เย้นหว่านพอจะเดาได้ว่าเย้นซินพูดอะไรที่ไม่น่าฟังออกมาบ้าง
ถึงแม้เย้นหว่านจะเป็นแค่ลูกเลี้ยง แต่หลายปีมานี้ เย้นซวนมิ้นกับเฉียวเจียฮุ่ยก็ดูแลเลี้ยงดูเธออย่างดี เย้นซินมีอะไร เย้นหว่านก็มีเหมือนกัน
ถึงแม้จะเป็นแค่ลูกเลี้ยง แต่ก็รักเหมือนเป็นลูกแท้ๆ
เย้นซินอาละวาดอย่างนี้ คนที่ลำบากใจที่สุดก็คือเย้นซวนมิ้นกับเฉียวเจียฮุ่ย
เย้นหว่านไม่อยากให้พ่อแม่บุญธรรมต้องไม่สบายใจ หลังจากที่นิ่งเงียบไปสักพัก เธอก็พูดขึ้นมา “แม่คะ อย่าเพิ่งคิดมากนะคะ หนูจะรีบกลับไปเดี๋ยวนี้”
พอวางสายไป เย้นหว่านก็หันกลับไปมองโห้หลีเฉินตั้งใจจะบอกว่าเธอจะต้องกลับบ้าน แต่โห้หลีเฉินกลับลุกขึ้นยืนแล้ว
“เดี๋ยวผมไปส่งคุณเอง”
น้ำเสียงของเขาบ่งบอกความหมายชัดเจน เหมือนเป็นเรื่องปกติที่เขาควรจะทำ
เน้นหว่านตะลึงไปทันที ภายในใจรู้สึกอบอุ่นมาก
หลังจากนั้น เธอก็นั่งรถของโห้หลีเฉิน กลับมาถึงบ้านตระกูลเน้น
ยังไม่ทันจะเดินเข้าประตู เธอก็เห็นของใช้ของเธอถูกโยนออกมา และยังมีเสียงตะโกนด่าทอของเย้นซินดังออกมาไม่หยุด
ไม่ต้องดูก็รู้ว่าข้างในคงจะยุ่งวุ่นวายกันไปหมดแล้ว
เย้นหว่านรู้สึกไม่ชอบใจ แต่ก็ยังยิ้มอย่างมีมารยาท ก่อนจะพูดกับโห้หลีเฉิน “คุณโห้คะ ต้องรบกวนคุณส่งฉันกลับมา ขอบคุณมากนะคะ แต่วันนี้คงไม่สะดวก ต้องขอโทษที่ชวนเข้าไปนั่งพักข้างในบ้านไม่ได้”
โห้หลีเฉินยืนอยู่ข้างรถ มองเห็นของใช้ของเน้นหว่านที่ถูกทิ้งออกมาไกลๆ สายตาของเขาวาวโรจน์ขึ้นมา
เขาพูดเสียงต่ำ “คุณเข้าไปเถอะ”
เธอเข้าใจว่าโห้หลีเฉินไว้หน้าให้ ถึงได้ไม่ถามอะไรเธอ และไม่เข้าไปข้างในบ้าน
เย้นหว่านรีบพยักหน้าให้เขา “ขอบคุณค่ะ”
พอพูดจบ เย้นหว่านก็หันหลังกลับแล้วเตรียมจะเดินไป แต่ในขณะนั้นเอง กลับมีมือข้างหนึ่งดึงแขนของเธอไว้
โห้หลีเฉินจ้องหน้าเธอนิ่ง เสียงของเขากดต่ำ “ระวังตัวด้วย”
คำพูดง่ายๆแค่ไม่กี่คำ กลับทำให้เย้นหว่านใจสั่น
เขากำลังเป็นห่วงเธอ ความรู้สึกแบบนี้ มันเหมือนกับว่าหัวใจกับร่างกาย โดนไฟช็อตขึ้นมาในเวลาเดียวกัน ทำให้เธอมึนงงหาทางออกไม่เจอ
เย้นหว่านพยักหน้าอย่างทำตัวไม่ถูก ก่อนจะดึงมือกลับ แล้วรีบเดินเข้าไปในบ้านอย่างรวดเร็ว
พอเดินมาใกล้ประตูทางเข้า เธอก็ยิ่งได้ยินเสียงด่าทอที่แสบแก้วหูดังออกมา
เย้นหว่านนิ่งขรึม เธอรู้สึกเหมือนมีก้อนหินขนาดใหญ่ทับตัวเธออยู่ ทำให้การก้าวเดินแต่ละก้าวกลายเป็นเรื่องที่ลำบากมากสำหรับเธอ
แต่เรื่องทั้งหมด เธอจะต้องเผชิญหน้ากับมัน
เธอสูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะปรับอารมณ์ตัวเอง แล้วเดินมาเปิดประตู
“ฝืด”
เธอเพิ่งเดินเข้าไป ก็มีแจกันใบหนึ่งถูกโยนออกมา และพุ่งตรงมาทางเธอ
“ระวัง”
เย้นซวนมิ้นกับเฉียวเจียฮุ่ยตะโกนออกมาพร้อมกัน สายตาของทั้งสองคนดูตกใจมาก