บทที่ 221 นี่มันจงใจหาเรื่องชัดๆ
“เถ้าแก่เข้าใจผิดแล้วครับ ตอนนี้ผมยังโสดอยู่ ไม่มีแฟนเลย”
ตอนพูด ฉูรั่วไป๋จ้องมองเย้นหว่านตาไม่กระพริบ ในใจวิ่งวนคำว่าตอนนี้ไม่หยุด
เย้นหว่านเองรีบเสริม: “ที่แท้ก็เข้าใจผิดนี่เอง งั้นก็ไม่มีอะไร นี่ก็สายมากแล้ว พวกเราเข้าไปดูกันเถอะ”
“รีบร้อนขนาดนี้ คุณดูเหมือนร้อนตัวนะ”
โห้หลีเฉินจับเอวเธอไว้แน่น ดึงกลับมาประชันหน้าระยะประชิด
เขาก้มหัวลงเล็กน้อย ทำท่าจะจูบเธอ
ท่าทีดูสนิทสนมกันสุดๆ
เย้นหว่านกระดากใจหน้าแดง นี่มีคนมองอยู่นะ ทำไมโห้หลีเฉินทำอะไรน่าอายแบบนี้เนี่ย?
เธอรีบผลักเขาออก “คุณโห้ ปล่อยฉันก่อน มีอะไรพูดกันดีๆ”
“พูดดีๆแล้ว คุณจะว่าง่ายใช่ไหม?”
โห้หลีเฉินพูดชัดถ้อยชัดคำ ลมหายใจอุ่นร้อนตอนพูดกระทบเข้ากับหน้าเธอ แถมแรงที่มือเขายังเพิ่มมากขึ้นจนเย้นหว่านไร้แรงขัดขืน ได้แต่เอนร่างพิงเขามากขึ้นเรื่อยๆ แทบจะหลอมรวมเข้าไปในร่างเขาอยู่แล้ว
ใกล้มากไปแล้วนะ
เย้นหว่านหน้าแดงใจเต้นแรง รีบพยักหน้ารับอย่างไม่คิดชีวิต
“ว่าง่ายสิ ฉันว่าง่ายตลอดเลยนะ”
ว่าง่าย?
ว่าง่ายจริงจะหนีเขามาที่เมืองหนาน และใช้เวลาแค่สองสามวันก็มีความสัมพันธ์ไม่แน่ชัดกับผู้ชายที่เพิ่งรู้จักกันหรอไง
ถ้าเธอว่าง่ายจริง โลกนี้คงไม่มีผู้หญิงที่นอกลู่นอกทางแล้ว
โห้หลีเฉินจ้องมองเย้นหว่านตรงๆ แต่ไม่ได้เบรกคำพูดเธอ
เขาก้มหน้าลงต่ำ จุมพิตที่หน้าผากเธออย่างอ่อนโยน
พูดด้วยน้ำเสียงน่าฟัง “ผมชอบที่คุณว่าง่ายนะ”
เย้นหว่านเหมือนโดนไฟช็อตทั้งตัวจนชาไปหมด หน้าแดงก่ำหยั่งกับเลือด
ผู้ชายคนนี้ทำไมร้ายกาจอย่างนี้นะ? ปีศาจก็คงประมาณนี้ล่ะมั้ง
แถมนี่มีคนมองอยู่นะ
ผู้ชายวัยกลางคนคนนั้นยืนมองตะลึงอยู่อีกด้าน เขารู้สึกเหมือนกินน้ำตาลเข้าไปจนเต็มท้องเลย
ฉูรั่วไป๋กลับยิ่งไม่สบอารมณ์มากขึ้น เขากำหมัดแน่น ถึงจะสะกดอารมณ์อยากทำลายโลกลงไปได้
สุภาพบุรุษ ต้องทำใจสงบ
จากนั้นเขาตีหน้าเย้น หันเดินเข้าไปก่อน ไม่รอใครทั้งนั้น
ผู้ชายคนนั้นมองตามแผ่นหลังฉูรั่วไป๋ รู้สึกเหมือนทั้งเหงาและโดดเดี่ยว แต่มีความโกรธพลุ่งพล่านอยู่
คงเป็นความเศร้าของคนโสดล่ะมั้ง
เขามองฉูรั่วไป๋อย่างเห็นใจ ก่อนกระแอม พูดกับโห้หลีเฉินและเย้นหว่านอย่างสุภาพว่า:
“เชิญด้านในครับ”
เธอเดินหน้าแดงตามโห้หลีเฉินเข้าไปในข้างใน ก้มหน้าตลอดเพราะอายจนไม่กล้าพบหน้าผู้คนแล้ว
โห้หลีเฉินกลับโอบเธอไว้หน้าชื่นตาบาน
ฉูรั่วไป๋เดินไปยืนที่หน้าสินค้าหนึ่ง เห็นทั้งคู่เดินเข้ามา หน้าเขาทะมึนไปอีกระดับ
เขามองตรงที่โห้หลีเฉินพลางว่า:
“คุณโห้ พวกนี้เป็นสินค้าดีไซน์ทั้งนั้น สิ่งที่ผมจะสอนเย้นหว่านก็เป็นความรู้เฉพาะทาง คุณอาจดูไม่รู้เรื่องและฟังไม่เข้าใจ ก็คงน่าเบื่อใช่ย่อย ผมให้คนจัดหากาแฟมารับรองคุณระหว่างพักผ่อน เชิญไปพักผ่อนดื่มกาแฟทางนั้นก่อนเป็นไงครับ?”
พูดพลางชี้ไปห้องรับรองที่อยู่ไม่ไกลนัก
การตกแต่งสไตส์โบราณ สภาพแวดล้อมก็ไม่เลว และมีพนักงานสาววัยรุ่นจัดวางกาแฟและของหวานอยู่บนโต๊ะ
ดูรวมๆแล้วไม่มีอะไรขาดตกบกพร่องเลย
คนทั่วไปในสถานการณ์อย่างนี้ก็จะไม่กล้าปฏิเสธความหวังดีแบบนี้
แต่โห้หลีเฉินไม่แคร์สักนิด เขามองเย้นหว่านนิ่งๆ พูดด้วยน้ำเสียงเรียบแต่คำที่พูดแทบจะทำคนฟังโกรธหูดับ
“ผมดื่มแต่กาแฟที่เย้นหว่านชง”
ความหมายแฝงคือ กาแฟที่จัดหามารับรองโห้หลีเฉินเป็นพิเศษนั่นไม่มีค่าสักนิดในสายตาเขาเลย
แถมพูดแบบนี้เหมือนกับกำลังรังเกียจฉูรั่วไป๋ไปด้วยเลย
ฉูรั่วไป๋รู้สึกเจ็บหน้าอกฉับพลัน
นายโห้หลีเฉินจงใจใช่ไหม? จะอวดว่าเย้นหว่านชงกาแฟให้เขางั้นสิ? มีอะไรน่าอวด ตอนนี้เขาเริ่มสนิทกับเย้นหว่านมากขึ้นแล้ว ต่อไปเย้นหว่านก็คงชงกาแฟให้เขาเหมือนกัน!
ฉูรั่วไป๋ทำอะไรโห้หลีเฉินไม่ได้ ถึงจะดูขัดตา แต่ก็ได้แต่ให้โห้หลีเฉินตาม
เขาทำงานตั้งใจจริงอยู่แล้ว อธิบายความรู้เฉพาะทางให้กับเย้นหว่าน เย้นหว่านต้องยืนข้างฉูรั่วไป๋อยู่แล้ว พอดูอะไรด้วยกัน ก็จะยิ่งยืนใกล้กัน
โห้หลีเฉินยืนข้างๆ เห็นระยะห่างที่ใกล้กันมากของทั้งสองคนแล้วเริ่มไม่สบอารมณ์
“เรื่องนี้ผมก็สนใจเหมือนกัน รบกวนคุณฉูช่วยอธิบายให้ผมฟังด้วยได้ไหม?”
โห้หลีเฉินเอ่ยปาก และเดินไปยืนกั้นกลางระหว่างฉูรั่วไป๋กับเย้นหว่าน
เย้นหว่านได้แต่ถอยออกมานิดหน่อย เขยิบที่ให้เขา
เธอมองโห้หลีเฉินอย่างงุนงง เขาสนใจเรื่องการออกแบบตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย?
ฉูรั่วไป๋กลับเห็นว่าระยะห่างระหว่างเขากับเย้นหว่านที่ใกล้กันกลับยิ่งไกลออกไปเพราะโห้หลีเฉิน
เขากล้ารับประกันว่า โห้หลีเฉินจงใจแน่ๆ
ฉูรั่วไป๋หน้าบึ้งแนะนำต่ออย่างเซ็งๆ แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ตั้งใจเท่าเมื่อกี้แล้ว
เดิมเขาต้องสอนเย้นหว่าน พอมีโห้หลีเฉินเข้ามาร่วมด้วย ซึ่งฝ่ายหลังทำท่าตั้งอกตั้งใจเรียนมาก จนเหมือนเย้นหว่านต่างหากที่มาแจม
ในที่สุดตารางในตอนเช้าก็เสร็จสิ้นลง
ถึงเย้นหว่านจะได้ความรู้เยอะก็ตาม แต่ก็โดนบรรยากาศพิกลครอบงำตลอด เลยรู้สึกแปลกๆ
ในที่สุดก็เที่ยงแล้ว เธอถอนหายใจโล่งอกเล็กน้อย
ฉูรั่วไป๋เป็นคนในท้องที่ เลยพาพวกเขาไปทานภัตตาคารชั้นหนึ่ง
ที่นี่เขามาบ่อย พอเข้ามา พนักงานก็ยิ้มทักทายเขาแล้ว
“คุณฉู มาแล้วหรอคะ เอาแบบเดิมไหม นั่งที่นั่งประจำนะคะ?
“ครับ”
ฉูรั่วไป๋รับคำ รีบเดินเข้าไปก่อน เพราะไม่อยากเห็นโห้หลีเฉินโอบกอดเย้นหว่าน
เขารู้สึกว่าวันนี้เขาไม่ควรออกมา โดนยัดน้ำตาลตลอดเลย แถมประเด็นคือ น้ำตาลพวกนั้นกินเข้าไปแล้วใจเขากลับไม่สบายใจเอาซะเลย
ในใจเหมือนมีแมวคอยข่วน เขาไม่รู้ว่ากี่ครั้งแล้วที่อยากเข้าไปกระชากโห้หลีเฉินกับเย้นหว่านจากกัน
ฉูรั่วไป๋เป็นแขกประจำ ที่นั่งที่เขาชอบมานั่งก็เป็นที่นั่งที่ดีที่สุดของร้าน
ติดหน้าต่างดูถนน เป็นสัดส่วน สภาพแวดล้อมดูดีและหรูหรา
ข้างโต๊ะมีโซฟาสองตัว พอฉูรั่วไป๋นั่งลง โห้หลีเฉินกับเย้นหว่านก็มานั่งตรงข้าม
ตอนแรกเย้นหว่านนั่งลงก่อน ตำแหน่งของฉูรั่วไป๋ตรงกันข้ามกับเย้นหว่านพอดี แต่พอโห้หลีเฉินนั่งลง และดึงเย้นหว่านมานั่งอีกข้าง ตอนนี้ฉูรั่วไป๋นั่งตรงข้ามกับโห้หลีเฉินแทน
ฉูรั่วไป๋มุมปากกระตุกเมื่อมองดูผู้ชายที่นั่งฝั่งตรงข้าม
เขารู้สึกว่าคนที่เขาไม่อยากเห็นหน้ามากที่สุดตอนนี้คือโห้หลีเฉินนี่แหละ ไม่มีคนอื่นเทียบเลย
พอนั่งลง ฉูรั่วไป๋ยื่นเมนูอาหารให้เย้นหว่านอย่างสุภาพบุรุษ
“เย้นหว่าน สั่งอย่างที่ชอบเลยนะ ที่นี่อาหารแนะนำก็รสชาติไม่เลวเลย”
“ได้ค่ะ”
เย้นหว่าจะยื่นมือไปรับเมนูมา แต่กลับมีอีกมือดึงไปแทน
โห้หลีเฉินมองปราดเดียว ก็สรุปเลย”
“อาหารแนะนำพวกนี้ไม่ใช่ที่คุณชอบเลย”
ฉูรั่วไป๋ตะลึงอีก โห้หลีเฉินจงใจแกล้งเขาแน่!
ถ้าไม่ใช่ติดเรื่องฐานะของโห้หลีเฉิน เขาอยากชกกับโห้หลีเฉินซักยกจริงๆ มันน่านัก