บทที่ 230 หึงเลือดขึ้นหน้า
“โทรไปบอกให้แย้นหว่านเข้างานตามเวลา”
วันนี้มีประชุมเช้า เย้นหว่านเองก็ต้องมา
เดิมเป็นเรื่องที่ต้องทำทุกวันอยู่แล้ว ทำไมประธานต้องโทรมาบอกด้วย?
แล้วยังต้องให้เธอโทรบอกเย้นหว่านอีก…
หวางกวนจิ้งมีแต่คำถามในใจ พออ้าปากก็ถามเลย “ประธานคะ เย้นหว่านเป็นอะไรหรือเปล่าคะ?”
โห้หลีเฉินขมวดคิ้ว “ไม่ใช่เรื่องของคุณ อย่าถาม”
“ค่ะ ค่ะ”
หวางกวนจิ้งตกใจ รีบรับคำเสียงรัว
โห้หลีเฉินกำลังจะวางสาย แต่เหมือนนึกอะไรได้ เลยกำชับอีกคำ
“อย่าบอกเย้นหว่านว่าผมให้คุณโทรไป”
“ค่ะ”
หวางกวนจิ้งยิ่งสงสัยหนักขึ้น เย้นหว่านกับประธานทะเลาะกันหรือเปล่า? เลยให้เธอมาเป็นคนกลาง…
ถึงจะสงสัยแค่ไหน แต่หวางกวนจิ้งก็ไม่กล้าถามแล้ว
เรื่องส่วนตัวของประธาน ไม่ใช่อะไรที่พนักงานตัวเล็กๆอย่างเธอจะอาจเอื้อมไปยุ่งได้
เย้นหว่านพึ่งอาบน้ำแปรงฟันเสร็จ พนักงานก็ยกอาหารเช้ามาเสิร์ฟแล้ว
ส่งมาเหมือนกับเมื่อคืนเลย เป็นอาหารแบบที่เธอชอบทั้งหมด
เธอเริ่มสงสัยหนักขึ้น โรงแรมมาส่งอาหารว่างอาหารเช้าน่ะไม่แปลก แต่คงไม่ถึงกับทุกอย่างที่ส่งเป็นของชอบเธอทั้งนั้นหรอกมั้ง
ดูไม่เหมือนบังเอิญเลย
เธอเบรคพนักงานไว้พลางถามว่า: “ขอโทษนะคะ อาหารนี้แขกทุกท่านจะมีใช่ไหมคะ?”
“ไม่ใช่หรอกค่ะ คุณผู้หญิง จะมีแต่แขกห้องสูทพิเศษเท่านั้นค่ะ”
ที่แท้เป็นเซอร์วิสเฉพาะของแขกรวย
เธอพยักหน้า และถามอีก “งั้นอาหารของทุกห้องจะเหมือนกันไหมคะ?”
พนักงานยังคงตอบอย่างใจเย็น ใบหน้ายิ้มแย้มว่า “ใช่ค่ะ”
เหมือนกันหมด งั้นคงแค่บังเอิญแหละ
เย้นหว่านมองอาหารบนโต๊ะ ในใจยังคงสงสัยอยู่ รู้สึกมันมีตรงไหนไม่ชอบมาพากล
แต่เธอก็หาคำตอบไม่เจอ
เธอได้แต่นั่งลง ทานอาหารเช้าก่อน
พอทานไปได้สักพัก มือถือก็ดังขึ้น เปิดออกดู หวางกวนจิ้งโทรมา
นี่ยังไม่ถึงเวลาทำงานเลย หวางกวนจิ้งโทรหาเธอทำไม?
เธอนึกถึงว่าเมื่อคืนเธอไม่ได้กลับโรงแรม และหวางกวนจิ้งเป็นหัวหน้าทีม อาจจะรู้เลยโทรมาต่อว่าหรือเปล่า?
เย้นหว่านแอบนอยด์ รับโทรศัพท์ขึ้นมา “ฮัลโหล พี่หวาง”
“เย้นหว่าน ตื่นหรือยังน่ะ?”
“ค่ะ กำลังทานอาหารเช้า”
เย้นหว่านตอบอย่างว่าง่าย
เสียงของหวางกวนจิ้งพูดต่ออย่างอ่อนโยนว่า: “งั้นก็ดีแล้ว วันนี้มีประชุมสำคัญด้วย เธออย่ามาสายนะ”
“ค่ะ ฉันจะไปตรงเวลาแน่นอน”
พอวางสาย เย้นหว่านก็สงสัยหนักขึ้น
ตอนเช้าจะมีประชุมอะไรสำคัญหนักหนา จนหวางกวนจิ้งถึงกับต้องโทรมาเตือนไม่ให้เธอไปสาย?
มันมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่ๆ
เธอคิดไปคิดมาก็ยังคิดไม่ออก เลยได้แต่เก็บความสงสัยไว้ก่อน
เธอทานอาหารเช้าเสร็จเร็วมาก พอเก็บกวาดเสร็จ เธอก็ออกมาจากห้องเลย
ห้องนี้ฉูรั่วไป๋เปิดให้แบบไม่มีกำหนด ขอแค่เธอไปเช็คเอาท์ก็จะออกได้เลย ดังนั้นเย้นหว่านอยากอยู่นานแค่ไหนก็ได้
พอเธอออกมาก็ตรงไปที่ลิฟท์
พอเธอออกมาไม่นาน ประตูห้องข้างๆเธอก็เปิดออกอย่างแผ่วเบา โห้หลีเฉินยืนอยู่หน้าประตู สายตาจับจ้องมองแผ่นหลังเธอ
เขาไม่ได้นอนทั้งคืน สีหน้าอิดโรย สายตาที่มองเธอสับสนสุดๆ
ทั้งโมโห ทั้งสับสน
ทั้งคืนเขายังหาวิธีที่ดีทำให้เธอหายโกรธไม่ได้เลย
ได้แต่คอยเฝ้ามองและปกป้องเธออย่างเงียบๆ
จนเย้นหว่านเดินลับมุมไป โห้หลีเฉินถึงออกจากห้อง เดินตามไปในทิศเดียวกัน
เหมือนชั้นนี้จะมีคนอยู่ไม่มาก หรือไม่ก็เวลาทำงานต่างจากเธอ พอเย้นหว่านเข้าลิฟท์เลยมีแต่เธอคนเดียว เงียบดีเหมือนกัน
เธอเข้าไปในลิฟท์และกดชั้นหนึ่ง
ประตูลิฟท์ปิดและค่อยๆลง
ในเวลานี้เอง หน้าลิฟท์มีคนๆหนึ่งยืนอยู่
โห้หลีเฉินมองชั้นของลิฟท์ที่ค่อยๆน้อยลงเรื่อยๆ แววตาเริ่มครุ่นคิดหนักขึ้น
พอเลขเปลี่ยนเป็นเลขหนึ่งและจอดลง เขาถึงกดลิฟท์ตัวข้างๆและเข้าไป
เว่ยชีรีบตามเข้าไป และกดชั้นหนึ่งเหมือนกัน
เขายืนอยู่ด้านหลังโห้หลีเฉินถอยไปหนึ่งก้าว พลางมองบอสด้วยสายตาสับสน
เขาไม่เข้าใจเอาซะเลย ทำไมบอสต้องคอยตามคุณเย้นเงียบๆด้วย? หรือเขาคิดจะคอยเฝ้ามองเย้นหว่านแบบนี้ไปเรื่อยๆ งั้นเมื่อไหร่กันที่เขาจะไปยืนต่อหน้าเธออีกครั้ง?
จากนิสัยของบอสแล้ว หรือความเย่อหยิ่งก็ตาม เป็นไปได้หรอที่เขาจะเอาแต่เฝ้ามองและไม่โผล่ไปยืนหน้าคุณเย้นอีกเลย?
ก็เป็นไปได้มากอยู่
เว่ยชีรู้สึกปวดหัวมาก
“ติ๊ง”
เสียงลิฟท์ค่อยๆเปิดออก ช่วยดึงสติเขากลับมา
เขามองไปนอกลิฟท์ทันที อยากดูว่าเย้นหว่านเดินไปถึงไหนแล้ว
เขาเห็นแค่เธอเดินเข้าไปในห้องโถงโรงแรม และถึงหน้าประตู
ในขณะเดียวกันรถแท็กซี่ที่จอดรออยู่ไม่ไกลก็ค่อยๆขับเคลื่อนเข้ามา เว่ยชีวางใจละ เขาเป็นคนจัดการเรียกมาเอง เพื่อมารับเย้นหว่านไปทำงานโดยเฉพาะ และไม่ทำให้เธอสงสัย บอสเองก็จะได้สบายใจด้วย
เย้นหว่านไม่ได้สงสัย แต่ไม่สนใจรถแท็กซี่ที่จอดรอข้างหน้า เธอเดินอ้อมไปหยุดลงที่หน้ารถหรูสีขาวอีกคันต่างหาก
ประตูรถเปิดออก ก็เห็นฉูรั่วไป๋ลงจากรถมา
เขายิ้มอย่างอ่อนโยนเดินมายืนต่อหน้าเย้นหว่าน ถามอย่างเป็นห่วงว่า: “เมื่อคืนหลับสบายดีไหม?”
“อืม ก็ดีนะ”
เย้นหว่านยิ้ม แอบเขินเล็กๆ “ที่จริงไม่ต้องลำบากมารับฉันก็ได้นะ”
“ใกล้แค่นี้เอง ผมเลยแวะมารับคุณไปทำงานน่ะ”
ฉูรั่วไป๋ยิ้มสบายๆ จากนั้นก็เปิดประตูข้างที่นั่งคนขับ
พอเย้นหว่านออกจากลิฟท์ก็ได้รับสายจากฉูรั่วไป๋ เขามารับเธอแล้ว เธอเลยไม่กล้าปฏิเสธ
เลยเดินไปขึ้นรถ
ฉูรั่วไป๋ก็ขึ้นที่นั่งคนขับ และยังหันมาเช็คว่าเย้นหว่านรัดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อยหรือยัง ก่อนถาม:
“งั้นผมออกรถแล้วนะ?”
“โอเค”
เย้นหว่านตอบตามมารยาท ความเป็นสุภาพบุรุษของฉูรั่วไป๋ทำให้เธอรู้สึกสบายใจ
เขาเหมือนคุณชายสำอาง แต่มีความละเอียดอ่อน ดูแลคนได้เรียบร้อยทุกอย่าง และให้ความรู้สึกสบายใจเหมือนเพื่อนในการคบหา
นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่เย้นหว่านยอมคบหาเป็นเพื่อนกับฉูรั่วไป๋หลังจากคืนนั้น
ฉูรั่วไป๋ถึงหันกลับมามองถนนต่อ
ตอนนี้เองโห้หลีเฉินยืนอยู่ที่ห้องโถงโรงแรม เห็นฉากนี้เต็มสองตา
เขาสีหน้าทะมึนลง เริ่มฉายรังสีอำมหิตออกมา
บรรยากาศนี้ทำอุณหภูมิในห้องโถงลดไปต่ำกว่าศูนย์ ทุกคนต่างรู้สึกหนาวยะเยือกจนน่ากลัว
เว่ยชียืนสำรวมอยู่ด้านข้าง พยายามปลอบว่า:
“บางที เพราะเมื่อคืนคุณฉูส่งคุณเย้นมา ในฐานะสุภาพบุรุษแล้ว เขาต้องรับผิดชอบให้ถึงที่สุด เลยมารับคุณเย้นกลับไปด้วย”
“รับผิดชอบ?”
โห้หลีเฉินทวนคำว่ารับผิดชอบ รังสีอำมหิตยิ่งหนักกว่าเดิม
เขากำหมัดแน่นจนเส้นเลือดโปน ดูเหมือนกำลังรวบรวมพลังทำลายล้างโลกอยู่
ผู้หญิงของเขา ต้องให้ฉูรั่วไป๋รับผิดชอบ?
น่าตายนัก!
“ไปโรงแรม!”
โห้หลีเฉินสั่งเสียงเย็น ก้าวเท้ายาวออกไปข้างนอก
พอเขาไป บรรยากาศน่าอึดอัดของห้องโถงก็คลี่คลายลง ความตึงเครียดในอากาศเหมือนได้รับการปลดปล่อย ทุกคนต่างพากันถอนหายใจโล่งอก
เว่ยชีกลับเหมือนโดนหิ้วใจไว้สูงยิ่งขึ้น เขามองโห้หลีเฉินที่รังสีอำมหิตปิดไม่มิดอย่างหวาดหวั่น รีบปาดเหงื่อที่ผุดขึ้นหน้าผาก
ต้องเกิดเรื่องแน่แล้วคราวนี้