บทที่241 บังเอิญขนาดนี้ จงใจใช่ไหม
โห้หลีเฉินไม่ได้พูดอะไรอีก หลังจากนั้นก็มีเสียงเก้าอี้ถูกลากมาวางตรงหน้าเธอเบาๆ
โห้หลีเฉินวางเก้าอี้เสร็จเรียบร้อย แล้วก็นั่งลงตรงข้ามกับเย้นหว่าน หลังจากนั้นก็ถือโอกาสเอาหนังสือสองเล่มวางไว้บนโต๊ะ
ข้อต่อกระดูกของนิ้วเขาหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมา แล้วก็เปิดตรงที่เขาทำเครื่องหมายไว้
และหลังจากนั้น เขาก็พูดกับเย้นหว่านว่า “ฉันยืนจนเหนื่อยแล้ว ก็เลยมานั่งตรงนี้หน่อย เธอคงไม่ว่าอะไรใช่ไหม? ”
เย้นหว่านสำลัก ในเมื่อเขาถามแบบนี้แล้ว แล้วเธอจะว่าอะไรได้อีกล่ะ?
“ไม่ว่า”
คำๆหนึ่งค่อยๆ ถูกบีบออกมาจากปากของเธอ
แล้วห้องเก็บข้อมูลก็ตกเข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง ได้ยินแต่เสียงผู้ชายพลิกหนังสืออ่าน
เห็นได้ชัดว่า เขากำลังตั้งใจอ่านหนังสืออยู่
และเย้นหว่าน ก็หันกลับมามองตัวเองอีกครั้ง เธอรู้สึกอึดอัดมาก สิ่งที่เธอคิดในหัวตอนนี้มันยุ่งเหยิงไปหมด รู้สึกทั้งตื่นเต้นและน่าอายอย่างมาก
ช่างขายหน้าจริงๆ
ในเมื่อเขาทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แถมยังมองข้ามไม่สนใจเธอ แล้วเธอจะไปคิดให้มันเยอะขนาดนี้เพื่ออะไรกัน?
หลังจากที่เย้นหว่านสร้างแรงใจให้ตัวเองแล้ว ก็เลยเงยหน้าขึ้นมาเตรียมจะอ่านหนังสือ
แต่พอเธอเงยหน้าขึ้นมา เธอก็เห็นโห้หลีเฉินที่นั่งอยู่ตรงกันข้าม เขาก้มหน้าลงเล็กน้อย ถือหนังสือ แสงอาทิตย์สาดส่องลงมาที่ใบหน้าของเขา สงบเงียบและอบอุ่น เป็นช่วงเวลาที่สงบนิ่ง
ทำให้คนหลงใหล
จู่ๆ หัวใจของเย้นหว่านก็เต้นผิดจังหวะ ความรู้สึกแปลกประหลาดแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายของเธอในทันที เหมือนกับว่าสั่นไปทั้งร่างกาย
จิตใจเธอว้าวุ่นเป็นอย่างมาก เธอกัดฟัน แล้วก็รีบละสายตามองไปที่อื่น
ผู้ชายคนนี้เป็นคนอัปมงคล ไม่ควรไปมอง
เธออยากจะไปหยิบหนังสือมาอ่าน แต่ว่าบังเอิญเห็นหนังสืออีกเล่มหนึ่งที่โห้หลีเฉินวางไว้ตรงหน้า ปรากฏว่ามันเป็นหนังสือเล่มที่เมื่อกี้เธอจะไปเอาแต่ว่าไม่ได้มา
แต่ว่านี่เขากลับได้มันมา มันต้องบังเอิญขนาดนี้เลยเหรอ?
หนังสือเล่มนั้นมีประโยชน์กับเย้นหว่านมาก เธอสามารถพลิกอ่านหนังสือสามเล่มพร้อมกัน ดูคำอธิบายไปพร้อมกัน สิ้นเปลืองสติปัญญาน้อยแต่ได้ผลมาก
แต่ว่าตอนนี้หนังสือเล่มนั้นอยู่ที่โห้หลีเฉิน……
เธอรู้สึกหดหู่ แต่ว่าก็ทนเอาไว้
เย้นหว่านบังคับตัวเองให้สงบลง สูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะทำเหมือนโห้หลีเฉินไม่ได้มีตัวตน หลังจากนั้นก็ตั้งใจอ่านหนังสือไป
ไม่ง่ายเลยกว่าจะทำให้ใจสงบลงได้
เธอตั้งใจอ่านหนังสือ ผ่านไปไม่นานก็ถูกดึงดูดเข้าไปในเนื้อหาของหนังสือ หนังสือพวกนี้เป็นหนังสือที่ปกติแล้วจะขอก็ขอไม่ได้ เนื้อหาอุดมสมบูรณ์จนทำให้เธอหยุดไม่ได้
แต่ว่าแค่มีบางจุดที่ไม่ได้มีชี้แจงไว้ ทำให้เธออ่านไม่เข้าใจ
เย้นหว่านรู้สึกหดหู่เล็กน้อย ทำเครื่องหมายสัญลักษณ์ตรงที่อ่านไม่เข้าใจนั้นเอาไว้ กำลังคิดจะฝืนกัดฟันอ่านด้านหลังก่อน ในตอนนี้เอง ก็มีนิ้วมือที่ขาวและเรียวยื่นหนังสือมาตรงหน้าเธอ
โห้หลีเฉินชี้ไปที่เนื้อหาในหนังสือเล่มนั้น “อันนี้เธอเข้าใจไหม? ”
เย้นหว่านตะลึงไป แล้วก็มองไปตรงนั้นโดยอัตโนมัติิ หนังสือเล่มนี้ของโห้หลีเฉินได้เสริมเข้าพอดีกับกับเนื้อหาในหนังสือของเธอที่ได้ขาดไป
พอทั้งสองฝั่งรวมเข้าด้วยกัน เธอก็เข้าใจในทันที
เย้นหว่านรู้สึกมีความสุข แล้วก็พยักหน้า
“อธิบายให้ฉันฟังหน่อย”
โห้หลีเฉินพูดอย่างเป็นธรรมชาติมาก น้ำเสียงไม่ต่ำและไม่สูง มันเป็นน้ำเสียงอันสูงส่งที่ไม่สามารถปฏิเสธได้
ในขณะเดียวกัน เขาก็ยกเก้าอี้ขึ้นมา แล้วนั่งลงข้างๆ เธอ
ลมหายใจที่คุ้นเคยของผู้ชายคนนี้กระทบที่ใบหน้าของเธอ ทำให้ร่างกายของเย้นหว่านยึดตึงไปทั้งตัว
เธอหันไปมองเขา กำลังจะอ้าปากถามว่าทำไมเขาต้องมานั่งตรงนี้ แต่ว่าเขาก็ชิงอธิบายก่อน
“แบบนี้เธอจะได้อธิบายได้สะดวกกว่า”
เหตุผลนี้ก็ดูไม่ได้ผิดปกติอะไร
เย้นหว่านรู้สึกกลัดกลุ้มใจอย่างมาก ร่างกายที่แน่นตึงของเธอ มองไปยังเนื้อหาในหนังสือเล่มนั้น รวมกับเนื้อหาในหนังสือที่เธอกำลังอ่านอยู่ แล้วก็อธิบายให้โห้หลีเฉินฟังอย่างรวดเร็วและกระชับได้ใจความ
โห้หลีเฉินตั้งใจฟังมาก ดูเหมือนกับนักเรียนตัวอย่างที่อ่อนน้อมถ่อมตนที่จะรับฟังความรู้
เย้นหว่านกลับรู้สึกว่าประสบการณ์ความรู้สึกในครั้งนี้มันพิเศษไม่เหมือนครั้งอื่น ด้านหนึ่งก็เพราะว่าตื่นเต้นที่โห้หลีเฉินเข้ามาใกล้ขนาดนี้ ส่วนอีกด้านหนึ่งก็คือคุณโห้ผู้ยิ่งใหญ่ มีอำนาจไม่จำกัดและรอบรู้ กลับมาขอคำแนะนำจากเธออย่างนอบน้อม
ความรู้สึกแบบนี้ ความรู้สึกที่เหนือกว่ากำลังจะระเบิดออกมาแล้ว
หลังจากพูดจบ เย้นหว่านก็ถามออกมา “เข้าใจรึยัง? ”
“อืม”
โห้หลีเฉินพยักหน้าเบาๆ นิ้วขาวที่เรียวยาวหยิบหนังสือขึ้นมาอีกครั้ง แล้วก็อ่านต่อ
เย้นหว่านอึ้งไป มองไปยังผู้ชายที่สง่าผ่าเผยที่กำลังนั่งอยู่ข้างๆ เธอตอนนี้ เขาจะไม่กลับไปนั่งที่ตรงข้ามเธอเหรอ?
มานั่งข้างๆ เธอ ระยะห่างแค่นี้ทำให้เธอตื่นเต้นนะ……
“ คุณโห้ คุณ……”
เย้นหว่านพูดเพราะกะว่าจะเตือนเขาสักหน่อย แต่ว่าโห้หลีเฉินกลับยื่นมือออกมา หยิบแก้วกาแฟที่อยู่บนโต๊ะ เหมือนกับว่ากำลังจะดื่ม
และสายตาของเขาก็จ้องมองไปที่หนังสืออย่างตั้งใจ ส่วนมือนั้นก็ยื่นไปที่แก้วกาแฟที่เธอได้ดื่มไปแล้ว
แต่ว่านี่เธอดื่มไปแล้วนะ!
ตอนนี้เย้นหว่านขนลุกซู่ทั้งตัว ยื่นมือไปหยิบแก้วกาแฟอย่างรวดเร็ว และในขณะเดียวกันนั้น โห้หลีเฉินก็วางมือลง มือก็เลยจับเข้ากับมือเล็กๆ ของเย้นหว่านพอดี
ฝ่ามือของเขาหนาและกว้าง เหมือนกับว่าจะปกคลุมทั้งมือเล็กๆ ของเธอและกาแฟแก้วนั้น ความอบอุ่นแผ่ซ่านจากฝ่ามือของเขาไปที่หลังมือของเธอ ไล่จากผิวหนัง ส่งไปยังอวัยวะผ่านในร่างกาย แล้วสุดท้ายก็หัวใจ
เย้นหว่านแข็งทื่อในทันที หัวใจเธอเต้นแรงมาก
เธอรีบจะสะบัดมือของเขาออก แต่ว่าปฏิกิริยาโต้ตอบของโห้หลีเฉินนั้นเร็วกว่า เขาดึงมือออกในพริบตา
เขามองหน้าเธอพร้อมกับขมวดคิ้ว “ขอโทษที”
ทั้งมีมารยาทและเป็นสุภาพบุรุษ
เหมือนกับว่าเขาไม่ได้ตั้งใจจริงๆ
พอได้เผชิญหน้ากับการที่เขาเป็นสุภาพบุรุษแบบนี้ ความคิดที่ยุ่งเหยิงของเย้นหว่านก็ได้เปลี่ยนเป็นความอับอายทันที เหมือนกับว่าเธอสกปรกเกินไป คิดมากเกินไป
เธอบีบคำพูดออกมาจากปากอย่างไม่เป็นตัวของตัวเอง “แก้วนั้นของฉัน”
“อืม”
โห้หลีเฉินตอบรับด้วยเสียงทุ้มต่ำ หลังจากนั้นก็หยิบกาแฟอีกแก้วขึ้นมา แล้วก็จิบลงไปอย่างสง่างาม
พอวางลงแล้วก็อ่านหนังสือต่อ
สีหน้าดูสบายๆ และตั้งใจมาก เหมือนกับว่าเหตุการณ์เมื่อกี้เป็นเพียงแค่เหตุการณ์ประกอบเล็กๆ ที่ไม่ได้สนใจอะไรเท่าไหร่
แต่ว่าสีหน้าของเย้นหว่านกลับดูบื้อไปเลยทันที สายตาของเธอจับจ้องไปที่แก้วใบที่โห้หลีเฉินพึ่งดื่มไปเมื่อกี้นี้
เหมือนกับว่าแก้วใบนี้จะเป็นของฉูรั่วไป๋นะ ฉูรั่วไป๋ไปเอาเก้าอี้ จนถึงตอนนี้ยังไม่กลับมา….
พอเขาไม่อยู่ กาแฟของเขากลับโดนคนอื่นดื่มไปซะแล้ว เธอน่าจะเตือนโห้หลีเฉินสักหน่อยนะ
แต่ว่าในเมื่อดื่มไปแล้ว….
เย้นหว่านลังเลสับสนอยู่นาน สุดท้ายก็เลยตัดสินใจไม่พูดดีกว่า
ยังไงเธอก็ต้องการจะรักษาระยะห่างกับโห้หลีเฉินอยู่แล้ว ยิ่งพูดได้น้อยเท่าไหร่ยิ่งดี
เย้นหว่านเขยิบเก้าอี้ไปด้านข้างเล็กน้อย พยายามห่างกับโห้หลีเฉินมากขึ้นอีกหน่อย หลังจากนั้นก็บังคับตัวเองให้ไม่ต้องไปสนใจผู้ชายด้านข้าง แล้วอ่านหนังสือต่อไป
โห้หลีเฉินพลิกหนังสืออ่านไปเรื่อยๆ แต่ว่าก็สังเกตเห็นทุกการกระทำของเย้นหว่าน
เขาเม้มริมฝีปากของตัวเอง แล้วมุมปากก็คลี่ยิ้มอย่างขี้เล่น
ถึงแม้ว่าเมื่อกี้จะอธิบายให้โห้หลีเฉินฟัง แต่ว่าเย้นหว่านก็ได้เข้าใจไปด้วยอย่างทะลุปรุโปร่ง พออ่านต่อก็ราบรื่นขึ้นเยอะมาก
เธออ่านต่อไปอีกสักพัก แต่ก็เจอกับปัญหาที่น่าอึดอัดเหมือนกับตอนเมื่อกี้อีกแล้ว
ขาดเนื้อหาจากหนังสือเล่มนั้นไป ก็เริ่มจะไม่เข้าใจอีกแล้ว
และในตอนนี้เอง โห้หลีเฉินก็ยื่นหนังสือในมือเขามาอีกครั้ง
ถามด้วยน้ำเสียงอย่างเป็นธรรมชาติว่า “ตรงนี้ เธอเข้าใจไหม? ”
เนื้อหาในนั้น ตรงกับเนื้อหาที่เธอกำลังต้องการเพิ่มเติมพอดี
เย้นหว่านมองหน้าโห้หลีเฉินอย่างสงสัย เรื่องที่น่าบังเอิญแบบนี้ ครั้งเดียวก็ถือว่าไม่เป็นไร แต่ว่านี่มันเกิดขึ้นต่อกันสองครั้ง มันยากที่จะไม่ให้สงสัยว่าเขาไม่ได้จงใจ
“คุณอ่านถึงตรงนี้พอดีเหรอ? ”
สีหน้าของโห้หลีเฉินเป็นธรรมชาติมาก ดูราบเรียบไร้อารมณ์
“อืม เหมือนกับว่าเนื้อหาตรงนี้ยังไม่ครอบคลุมเท่าไหร่”
เพราะฉะนั้นก็เลยอ่านไม่เข้าใจ
เพราะฉะนั้นก็เลยต้องถามเย้นหว่าน
เป็นเหตุผลที่สมบูรณ์แบบมาก ถึงขนาดที่เย้นหว่านไม่รู้จะพูดอะไร
เธอหยิบหนังสือเขามา เปิดย้อนไปอีกสองหน้า แล้วมันก็คล้ายกับที่เธออ่านจริงๆ ด้วย เนื้อหาตรงนี้ไม่เพียงพอ จำเป็นต้องเสริมกันให้พอดี
หนังสือสองเล่มนี้มันเป็นหนังสือคู่กันนี่!