บทที่252 โดนใส่ร้ายจนร้องไห้
เย้นหว่านมองไปที่ใบหน้าหล่อเหลาที่กำลังหลับตาอยู่ หัวใจที่กระวนกระวายก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย
เมื่อก่อนเวลาที่โห้หลีเฉินอยู่กับเธอนั้น จะเข้ามาใกล้อย่างแปลกประหลาดเสมอ ทำแบบนั้นแบบนี้กับเธอ วิธีนั้นมีความคลุมเครือและตื่นเต้น ทำให้จิตใจของเธอว้าวุ่น
แต่ว่าหลายวันมานี้ โห้หลีเฉินกลับเปลี่ยนไปจากสภาพปกติ เขารักษาระยะห่างที่เหมาะสมกับเธอเสมอ
แต่ว่าก็ไม่ห่างเหิน
ระยะห่างแบบนี้ทำให้เย้นหว่านรู้สึกผ่อนคลายลงไปมาก อย่างน้อยก็ไม่ต้องตื่นเต้นมากเกินไป เธอรู้ดีว่า แบบนี้น่าจะเป็นระยะห่างที่ดีที่สุดระหว่างทั้งสองคน เป็นความสัมพันธ์ที่เหมาะสมที่สุด
แต่ว่าลึกๆ ของหัวใจของเธอนั้น กลับรู้สึกซึมเศร้าอย่างรางเลือน ทำให้เธอรู้สึกอึดอัด
แต่ว่าเธอก็กลับไม่รู้ว่าสรุปแล้วตัวเองอยากจะทำอะไรกันแน่
หลังจากที่ได้ผ่อนคลายอย่างมากแล้ว เย้นหว่านกลับรู้สึกว้าวุ่นใจเล็กน้อย นี่มันทำให้เธอกระสับกระส่าย รู้สึกเหมือนตัวเองแปลกประหลาด
เธอไม่มองโห้หลีเฉินอีกต่อไป หันหน้าไปมองนอกหน้าต่าง รับลมที่พัดเข้ามา เพื่อที่จะทำให้ตัวเองมีสติขึ้นมาหน่อย
และในขณะเดียวกัน เธอก็ส่งข้อความให้ฉูรั่วไป๋
ข้อความก็คือเธอติดต่อเขาไม่ได้ ก็จะไปก่อน ให้เขาไม่ต้องอ้อมมารับเธอที่โรงแรมแล้ว ให้รีบตามไปที่งานแฟชั่นโชว์เลย
และในตอนนี้เอง ฉูรั่วไป๋ก็กำลังฟกช้ำดำเขียวจนอยากจะตาย
ต่อให้ในฝันเขาก็นึกไม่ถึงว่า บนถนนที่ห่างจากคฤหาสน์ของเขาหลายๆ สาย จากถนนที่ไม่เคยมีสิ่งกีดขวางมาก่อน จะติดจนไม่สามารถฝ่าเข้าไปได้
รถเหล่านั้นที่โผล่ออกมาอย่างลึกลับอยู่เต็มถนนไปหมด แม้แต่ถนนข้างๆ ก็ติดจะตาย
ไม่รู้ว่ามันจะติดอีกนานแค่ไหน ฉูรั่วไป๋อยากจะทิ้งรถของตัวเองแล้ววิ่งไปแทน แต่ว่าตอนที่เขาเปิดประตูรถนั้น ทางข้างหน้าก็โล่งขึ้นเล็กน้อย รถคันข้างหน้าขยับไปข้างหน้าประมาณสิบกว่าเมตร
และด้านหลัง จู่ๆ ก็มีเสียงแตรที่ทำให้แก้วหูทะลุ
จะโล่งตอนไหนไม่โล่ง ดันมาโล่งตอนนี้
ฉูรั่วไป๋สาปแช่ง ก็เลยทำได้แค่ขึ้นรถ แล้วก็ขยับรถไปด้านหน้า
แต่ว่าเขาขับไปได้สิบกว่าเมตร ก็ต้องหยุดกลางคันอีกครั้ง
ด้านหน้ากลับเข้าสู่ความแออัดที่ไม่สามารถขยับได้แม้แต่นิดเดียว
ฉูรั่วไป๋โกรธจนแทบจะกระอักเลือด
แต่ว่าทุกครั้งที่เขาตัดสินใจจะทิ้งรถและลงมาจากรถนั้น รถด้านหน้าก็จะขยับอีกนิดหน่อย รถทั้งสองคันมันต้องเคลื่อนที่ไปด้านหน้า เขาก็จำเป็นต้องไปข้างหน้าด้วยเหมือนกัน
ดังนั้น เขาอยากจะทิ้งรถก็ทำไม่ได้ จะขยับออกไป ก็ไม่ได้เหมือนกัน
เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ ก็เสียเวลาไปเยอะมาก
เย้นหว่านยังรอเขาอยู่นะ!
ฉูรั่วไป๋กลัดกลุ้มใจอย่างมาก ดูเหมือนว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะไปให้ทันเวลา เขาก็เลยทำได้แค่โทรหาเย้นหว่าน
สิ่งที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ ที่นี่ไม่มีสัญญาณ
“SHIT!”
ฉูรั่วไป๋ตีพวงมาลัยอย่างรุนแรง โกรธจนจะพ่นไฟ
วันนี้มันวันนรกอะไรเนี่ย?!
รถลัมโบร์กีนีหยุดอยู่ที่ประตูของงานแฟชั่นโชว์
พึ่งจะลงจากรถ เย้นหว่านก็เห็นประตูที่หรูหรา แล้วก็พนักงานต้อนรับหลายคนที่ยืนอยู่ตรงนั้น
พวกเขาไม่ใช่พนักงานของโรงแรม สวมใส่เสื้อผ้าตามเทรนด์ ดูแฟชั่น แขกที่เข้าไปด้านใน แต่งตัวดี พิเศษอย่างยิ่งตั้งแต่หัวจรดเท้า
ทุกรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เห็นได้ชัดว่าทุกคนให้ความสำคัญและชื่นชอบแฟชั่นโชว์ในครั้งนี้
ถึงแม้ว่าเย้นหว่านจะเตรียมตัวมา แต่ตอนนี้ก็ยังรู้สึกแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด
เหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้ เธอก็หันไปมองโห้หลีเฉินที่อยู่ด้านข้าง แล้วพูดว่า
“คุณโห้ คุณเข้าไปก่อนเถอะ พวกเราแยกกันไปน่าจะดีกว่า”
แม้ว่าที่นี่จะเป็นงานแฟชั่นโชว์ แต่ดูจากสถานะของโห้หลีเฉิน คนที่รู้จักเขาน่าจะไม่น้อยเลยทีเดียว
เธอแต่งตัวธรรมดาเกินไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถ้าเกิดว่าเดินข้างๆ เขา ก็ต้องโดนคนสังเกต วิพากษ์วิจารณ์
แล้วอีกอย่างก็ไม่ง่ายเลยกว่าที่เธอจะได้โอกาสในครั้งนี้ เธออยากจะดูงานแฟชั่นโชว์อย่างสบายใจ ไม่อยากทะเลาะอะไร
นัยน์ตาสีดำของโห้หลีเฉินเปล่งประกายความเข้าใจอย่างถ่องแท้ แต่พอคิดว่าไม่ง่ายเลยกว่าความสัมพันธ์จะผ่อนคลายลงบ้าง ไม่อยากจะบังคับเธอแน่นเกินไป
เขาเม้มริมฝีปากบางและพูดว่า
“ถึงแม้ว่าจะมีตั๋วเข้าชม แต่ว่าสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เดี๋ยวฉันพาเธอเข้าไปก่อนแล้วค่อยแยกกัน เป็นไง? ”
น้ำเสียงของเขาเป็นสุภาพบุรุษและอ่อนโยนมาก เป็นน้ำเสียงของการปรึกษาหารือ
แล้วเย้นหว่านจะกล้าปฏิเสธได้ยังไงกัน? เธอพยักหน้าเบาๆ “งั้นก็ได้”
โห้หลีเฉินค่อยๆ คลี่ยิ้มออก ยกแขนขึ้น หมายความว่าให้เธอควง
มันเป็นแค่มารยาทหนึ่งเท่านั้น เย้นหว่านก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ควงแขนของเขาแล้วก็เข้าไปด้านใน
เข้ามาด้านในแล้ว เธอเห็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตรวจตั๋วเข้าชมทีละคน ท่าทางจริงจังมาก
ก็ใช่ งานแฟชั่นโชว์แบบนี้ แน่นอนว่าเราต้องได้รับการปกป้องเป็นพิเศษ หลีกเลี่ยงการที่มีคนอื่นปะปนเข้ามา
พอมาถึงตาของเย้นหว่านนั้น เธอก็หยิบตั๋วเข้างานขึ้นมาอย่างสุภาพ เตรียมจะยื่นให้เขา แต่ใครจะไปรู้ว่าพอเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเห็นโห้หลีเฉินที่อยู่ข้างๆ เธอนั้น ก็เมินตั๋วเธอไปเลยทันที
“คุณโห้ มาแล้วเหรอครับ เชิญด้านในครับ เชิญด้านใน” สีหน้าของผู้คุ้มกันเต็มไปด้วยความเคารพ แถมยังมีรอยยิ้มอีกต่างหาก
เขาไม่ได้มีท่าทีจะตรวจโห้หลีเฉินเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการตรวจคู่ควงที่เขาพามาด้วย
ไม่งั้นต้องตายแน่นอน
เมื่อเผชิญหน้ากับความกระตือรือร้นของผู้คุ้มกัน โห้หลีเฉินก็ได้แต่ตอบอืมนิ่งๆ พาเย้นหว่านเดินเข้าไปในงานอย่างสูงส่งและเป็นสุภาพบุรุษ
สิ่งนี้หลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่จะทำให้เย้นหว่านมองเขาแบบใหม่
ต้องบอกว่าโห้หลีเฉินเนี่ย เป็นตำนานในโลกธุรกิจ แต่ว่างานแฟชั่นโชว์ที่เข้มงวดขนาดนี้ เขากลับใช้แค่หน้าในการผ่านเข้างานเท่านั้น มันเป็นตั๋วผ่านประตูที่มีอำนาจทุกอย่างจริงๆ
เย้นหว่านจะนึกถึงที่ไหนกัน ว่าเขาไม่ใช่แค่บัตรผ่านเข้างาน แต่ว่ายังสามารถคุมเครื่องงานนี้ได้ด้วย ตัวอย่างเช่น——ระบบรักษาความปลอดภัย.
หลังจากที่เย้นหว่านกับโห้หลีเฉินเดินเข้าไปได้ไม่นาน ในที่สุดฉูรั่วไป๋ก็มาถึง แต่ว่าตอนที่เขาหยิบบัตรผ่านเตรียมจะเข้างานนั้น จู่ๆ ก็มีแขนหนึ่งชูขึ้นต่อหน้าเขา
“คุณฉู ขอโทษด้วยนะครับ ตอนนี้มันเลยเวลาเข้างานมาแล้ว เข้าอีกไม่ได้แล้วครับ” ผู้คุ้มกันพูดอย่างเกรงใจมาก แต่ว่าน้ำเสียงของเขาเห็นได้ชัดว่าต่อรองไม่ได้
ฉูรั่วไป๋ขมวดคิ้ว งานแฟชั่นโชว์นี้เมื่อก่อนเขาก็เคยมาแล้ว แล้วทำไมวันนี้ถึงได้เข้มงวดเรื่องเวลาจัง?
“หมายความว่ายังไง? ”เขาถาม
ผู้คุ้มกันยิ้มอย่างเป็นทางการ และอธิบายว่า
“นี่เป็นคำสั่งจากเบื้องบนครับ สำหรับเหตุผลพวกเราก็ไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกัน เหมือนกับว่าแผนของปีนี้มีการเปลี่ยนแปลง ข้อกำหนดเรื่องเวลาก็เลยค่อนข้างจำเข้มงวดมาก สรุปแล้วคุณฉูอย่าทำให้พวกเราลำบากใจเลยครับ ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือ”
หลังจากพูดจบ ก็มีแขกอีกคนก้าวขึ้นมาด้านหน้า ผู้คุ้มกันก็หันไปต้อนรับอย่างสุภาพ
แต่ว่าผ่านไปครู่หนึ่ง คำพูดประโยคเดิมก็ดังขึ้นมา “คุณผู้ชายครับ ขอโทษด้วยนะครับ คุณมาช้า เข้าไปไม่ได้แล้วครับ”
ฉูรั่วไป๋เห็นสถานการณ์ตรงนี้ มันไม่ได้พุ่งเป้าหมายมาที่เขาคนเดียว เขาก็เลยไม่ได้คิดอะไรมาก แล้วก็เดินออกมา
ในงาน
หลังจากที่เย้นหว่านเข้ามาแล้ว ก็แยกกับโห้หลีเฉิน
ช่วงนี้ความเป็น สุภาพบุรุษ ไม่บังคับของเขาทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลายและชอบ
ยังมีเวลาอีกสักพักก่อนที่แฟชั่นโชว์จะเริ่ม เธอเดินเข้าไปข้างในพร้อมกับโทรศัพท์มือถือของเธอ เห็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่ชอบ เธอก็จะถ่ายรูปเอาไว้ ถ้าเกิดว่ามีไอเดียหรือแรงบันดาลใจอะไร ก็จะเปิดโน๊ตในโทรศัพท์ แล้วก็บันทึกไว้ด้านใน
เย้นหว่านกำลังจดอย่างมีสมาธิ ก็มีเสียงดัง “ปัง” ขึ้นด้านข้าง เธอหันไปในทันที ก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งที่สวมใส่ชุดสีทอง ตอนที่เดินผ่านนั้น กระโปรงยาวเกี่ยวข้องประดับตกแต่งและมันก็หล่นลงมา
หลังจากที่ผู้หญิงคนนั้นรู้ตัว ก็รีบเดินเข้าไปจะปลดกระโปรงออกด้วยสีหน้าที่เป็นกังวล พร้อมกับรำพัน “ซวยจริงๆ ถ้าเกิดว่ากระโปรงตัวนี้ขาดไปจะน่าสงสารแค่ไหน ไม่รู้เอาของเล่นอะไรมาตั้งไว้”
หลังจากด่าเสร็จ เธอก็เดินไปทันที ไปยืนโพสต์ถ่ายรูปอยู่อีกฝั่งหนึ่ง
เย้นหว่านเห็นแล้วรู้สึกแทงใจ รายละเอียดทุกอย่างในที่นี้เกิดขึ้นจากความตั้งใจของดีไซเนอร์ แต่กลับโดนทำให้เสียหายแบบนี้
แต่ว่า แน่นอนว่าเธอไม่กล้าพูดอะไรมาก และก็ไม่ต้องการสร้างความเดือดร้อน
เย้นหว่านรออยู่ตรงนั้นอีกสักพัก เมื่อมั่นใจแล้วว่าไม่มีพนักงานเข้ามาจัดการ เธอก็จัดการให้
แน่นอนว่า เงื่อนไขข้อแรกคือไม่มีเจ้าหน้าที่มาจัดการ แต่ยังไงเธอก็รู้ดีว่ามันเป็นแค่อุบัติเหตุ ของทุกชิ้นในนี้ไม่สามารถแตะต้องได้ตามใจ
โชคดี ที่ผ่านไปไม่ถึงห้านาที ก็มีเจ้าหน้าที่เดินมา หยิบของตกแต่งชิ้นนั้นขึ้นมาอย่างระมัดระวัง แล้ววางกลับไปที่เดิม
เย้นหว่านเห็นว่ามันไม่ได้เป็นอะไร ก็เตรียมจะเดินออกมา แน่นอนว่า ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นจากทางด้านหลังของเธอ
“คุณผู้หญิงครับ คุณพอจะทราบไหมครับว่าใครเป็นคนชนแจกันดอกไม้นี้? ” เจ้าหน้าที่เอ่ยถาม