บทที่ 294 โห้หลีเฉิน ชอบคุณ
สำหรับคนคนนี้ เย้นหว่านพูดไม่ถูกว่าเป็นความรู้สึกอะไร
ความประทับใจแรกคือโรคจิต หวาดกลัว แต่ว่าต่อมากลับพบว่าเขาเหมือนไม่ใช่โรคจิตขนาดนั้น ยังส่งยามาให้เธอโดยเฉพาะ ห่วงใยเธอ และไม่เคยทำเรื่องอะไรที่ทำร้ายเธอเลย
แต่พฤติกรรมของเขาตั้งแต่ต้นจนจบไม่เหมือนคนทั่วไป ทำให้คนประหลาดใจอยู่มาก เย้นหว่านไม่แน่ใจต่อเขาเป็นพิเศษ
ไม่กล้าสนิทชิดเชื้อ และไม่ได้เหินห่างเกินไป
“มาหาคุณ ไม่ได้ยากเกินไปหรอก”
ป่ายฉีตอบไปแบบตามสบาย สายตาประกายความไม่มั่นใจเท่าไร แต่เขาจะไม่บอกเย้นหว่านว่าเขาติดตามเธอมาโดยตลอด
ถ้าเธอคิดว่าเขาเป็นคนบ้าสะกดรอยตามจะทำอย่างไร
ถึงแม้เมืองหนานจะใหญ่มาก แต่ตั้งใจหาใครสักคนก็ยังง่ายดาย
เย้นหว่านรู้สึกว่ามีตรงไหนไม่ถูกอยู่หน่อย แต่ยังหาข้อพิรุธที่ชัดเจนไม่เจอ พอดีช่างไปเถอะ
เธอถามอย่างตรงไปตรงมา “งั้นคุณมาหาฉันมีธุระอะไรเหรอ?”
“ได้ยินว่าคุณจะจัดพิธีแต่งงานกับโห้หลีเฉินแล้ว?”
บนหน้าป่ายฉีมีรอยยิ้ม เหมือนกำลังพูดเรื่องซุบซิบ
เย้นหว่านอดนึกถึงภาพด้านหลังที่เย็นชาของโห้หลีเฉินไม่ได้ หัวใจถูกทิ่มมานิดๆ
หลังจากวันนี้ เรื่องการแต่งงานนี้คงจะสิ้นสุดลงแล้วมั้ง
เย้นหว่านส่ายหน้า “ไม่มีเรื่องนี้”
“เป็นเพื่อนกันแล้ว คุณบอกความจริงผมมาจะเป็นอะไรกัน หรือว่าเขินเหรอ? กลัวผมไปขอเหล้ามงคลคุณสักแก้ว?”
ป่ายฉีล้อเล่นต่อไป ภายใต้ท่าทีที่ดูเหมือนไม่สนใจไยดีอะไร กลับมีความจริงจังและร้อนใจอยู่บ้าง
เขามาหาเย้นหว่านที่นี่แบบกะทันหัน เป็นเพราะด้านนอกแพร่ไปอย่างคึกคัก ดังนั้นถึงรีบมาถามเย้นหว่าน เขาต้องได้รับคำตอบยืนยันจากปากเธอถึงจะได้
ถ้าเธอคือคนที่เขาต้องการหา งั้นการแต่งงานครั้งนี้ ไม่ใช่จะแต่งได้ตามสบายขนาดนั้น
เย้นหว่านยังไม่รู้จริงๆ ว่าควรตอบป่ายฉีอย่างไรถึงจะดี
ถ้าพูดความจริง ความสัมพันธ์ของเธอและเขาไม่ถึงขั้นนั้นจริงๆ ถ้าบอกว่าไม่สนิท กลับมีความสัมพันธ์นิดหน่อยขนาดนั้น
คิดแล้วเย้นหว่านจึงตอบไปแบบกึ่งล้อเล่น
“ความสามารถของคุณมากขนาดนั้น ถ้าฉันแต่งงานจริง คุณก็คงมีวิธีปีนหน้าต่างเข้ามาดื่มเหล้ามงคลสักแก้วอยู่ดี”
“ขี้เหนียวจริง การ์ดงานแต่งก็ไม่ให้สักใบ”
ป่ายฉีบ่นไปอย่างไม่พอใจ เย้นหว่านไม่ค่อยไว้ใจเขาเท่าไร แม้แต่แต่งงานยังไม่บอกเขาเลย
ดูแล้วเจอกันครั้งแรกแบบไม่ราบรื่น ที่แท้เป็นแผนที่ผิดพลาดใหญ่สุดในชีวิตของเขา
“เรื่องพิธีแต่งงานยังไม่ต้องพูด เย้นหว่าน วันมะรืนคุณมีเวลาว่างมั้ย?”
หลายวันนี้เย้นหว่านล้วนไม่มีเรื่องอะไรทำ เธอจึงพยักหน้า
“มีอะไรเหรอ?”
“คือว่าผมมีเพื่อนคนหนึ่ง อยากนัดเจอคุณสักหน่อย วันมะรืน คุณมาสักหน่อยได้มั้ย?”
ป่ายฉีมองเย้นหว่านไปตรงๆ บีบนิ้วมือไว้นิดๆ เผยความประหม่าของเขาออกมา
ประมาณว่าเย้นหว่านรู้ว่าป่ายฉีมาหาเธอเพราะมีธุระ แต่คิดไม่ถึงจะเป็นเรื่องแบบนี้
เธอสงสัย “เพื่อนคุณ? เจอฉันทำไม?”
ถ้าไม่ใช่เพราะโห้หลีเฉินครั้งนั้น เย้นหว่านคงจะไม่รู้จักป่ายฉี และป่ายฉีบุคคลสันโดษในตำนานวงการแพทย์แบบนี้ คนข้างกายเขาล้วนเป็นคนมีความสามารถมาก เย้นหว่านว่าคงเป็นคนที่ไม่อาจจะรู้จักได้สักคนหนึ่ง
“ตอนนี้ยังบอกไม่ได้”
ป่ายฉีลำบากใจอยู่บ้าง ถูๆ มือ กลัวเย้นหว่านไม่รับปาก รีบพูดเสริมไปอีกประโยค “คุณเจอแล้วก็รู้เอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผมรับรองได้ ครั้งนี้หลังจากที่เจอแล้ว ต่อไปจะไม่ปีนหน้าต่าง หรือว่าโผล่ออกมารบกวนคุณกะทันหันแล้ว”
ถึงแม้จำนวนครั้งที่ป่ายฉีกับเย้นหว่านเจอหน้ากันไม่มากนัก แต่ทุกครั้งเย้นหว่านรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเขามีจุดประสงค์
สำหรับป่ายฉี ทำไมถึงดื้อดึงกับเธอขนาดนี้ เย้นหว่านอยากรู้อยากเห็นสาเหตุอันนั้นมาก
เธอลังเลสักพัก คิดแล้วพูดว่า “ก็ได้ งั้นเจอกันวันมะรืน สถานที่ที่คนเยอะ” เพื่อความปลอดภัยของตนเอง เย้นหว่านยังเสริมประโยคหนึ่งอย่างมั่นคง
ป่ายฉีกลับไม่ถือสาสักนิด เหมือนในที่สุดก็วางก้อนหินใหญ่ในใจลงได้ พูดอย่างดีใจ
“คุณรับปากแล้วก็ดี วันมะรืนตอนเที่ยง เจอกันที่ร้านอาหาร153”
ร้านอาหาร153อยู่ในเขตกลางเมือง ระดับที่หรูหราที่สุด ที่นั่นแม้แต่การเหมาที่นั่งยังไม่มี ทุกวันล้วนมีคนไปเต็ม
ผู้ใดอยู่ที่นั่น ย่อมทำเรื่องที่ผิดกฎหมายอะไรไม่ได้
บรรลุจุดประสงค์ ป่ายฉีจากไปอย่างดีอกดีใจ แม้แต่ประตูยังไม่เข้า
มองตามเขาจากไป เย้นหว่านไปเปิดประตูถึงสังเกตเห็น นี่เธอยืนคุยอยู่ที่หน้าประตูกับป่ายฉีตั้งนาน
พูดขึ้นมา ดีเลวอย่างไรป่ายฉีก็ถือว่าเป็นแขก
เธออายอยู่หน่อย ช่วงนี้เรื่องราวที่เกิดขึ้นว้าวุ่นใจเหลือเกิน สมองเธอล้วนสับสนไปหมด
เย้นหว่านตบๆ หน้าผากอย่างจำใจ เดินเข้าไปด้วยอารมณ์ตกต่ำ
“กริ๊งๆๆ……”
ตอนค่ำ ช่วงที่เย้นหว่านนอนบนเตียง มือถือดังขึ้นมา
พอเธอหยิบขึ้นดู เห็นชื่อฉินฉู่สองคำนี้อย่างคาดไม่ถึง
ฉินฉู่เป็นเพื่อนของโห้หลีเฉิน หลังจากที่สัมผัสมาหลายครั้ง ความสัมพันธ์กับเย้นหว่านถือว่าไม่เลว พอถือว่าเป็นเพื่อนได้ แต่ปกติโดยพื้นฐานจะไม่ติดต่อเป็นการส่วนตัว
บวกกับตอนนี้เธอกับโห้หลีเฉินถอนหมั้นแล้ว ในฐานะเพื่อนของโห้หลีเฉิน ฉินฉู่เหมือนจะไม่ต้องติดต่อกับเย้นหว่านอีก
เย้นหว่านในใจสับสนวุ่นวายคิดได้รอบหนึ่ง สักพักถึงรับสายโทรศัพท์ขึ้น
สายนั้น เสียงที่ฮึกเหิมของฉินฉู่ลอยมาทันที
“พี่สะใภ้ ผมได้ยินว่าคุณกับหลีเฉินจะถอนหมั้นกัน เป็นความจริงเหรอ?”
“อืม” เย้นหว่านตอบเสียงเบามาก
ฉินฉู่ยิ่งตื่นเต้นขึ้นทันที “ทำไมกันล่ะ? พี่สะใภ้ คุณไม่ใช่ชอบหลีเฉินเหรอ?”
เย้นหว่านตะลึง นึกถึงที่กู้จื่อเฟยบอก เรื่องแบบทดสอบนั้นเป็นฉินฉู่ที่แพร่ออกไป เขาเหมือนกับโห้หลีเฉิน คิดว่าคนที่เธอชอบคิดโห้หลีเฉิน
ถึงแม้นี่คือความจริง แต่ว่า……
เย้นหว่านกัดฟันแล้ว “ฉันไม่ได้ชอบเขา”
ฉินฉู่ “……” เขาสงสัยว่าตนเองฟังผิดไป
พี่สะใภ้จิตใจหวั่นไหว แต่ว่าคนที่ชอบกลับไม่ใช่โห้หลีเฉิน? นี่ไม่ถูกหลักการ!
บนโลกนี้ยังมีผู้ชายที่สามารถดึงดูดผู้หญิงได้ยิ่งกว่าโห้หลีเฉินเหรอ?
ฉินฉู่บอก “พี่สะใภ้ คุณมีความลำบากใจอะไรอย่างอื่นหรือเปล่า ถึงจงใจพูดแบบนี้? ถ้าคุณมีตรงไหนไม่สะดวก คุณสามารถบอกผมได้ อย่างไรเสียผมก็เป็นคุณชายตระกูลฉิน ผมสามารถช่วยคุณได้”
คำพูดของฉินฉู่ ทำให้เย้นหว่านประทับใจอยู่บ้าง
เธอกับโห้หลีเฉินถอนหมั้นกันแล้ว ฉินฉู่ในฐานะเพื่อนสนิท กลับไม่ได้รังเกียจเธอ หรือเหินห่างแต่อย่างใด
“ฉินฉู่ ฉันไม่มีอะไรจริงๆ ฉันกับคุณโห้ ต่างฝ่ายต่างคิดว่าไม่เหมาะสมกัน ถึงได้ถอนหมั้น”
เย้นหว่านอธิบายอย่างอดทน และรักษาศักดิ์ศรีของโห้หลีเฉินด้วย
“เป็นไปไม่ได้!”
ฉินฉู่ปฏิเสธคำพูดของเย้นหว่านแบบหนักแน่นมาก “หลีเฉินชอบคุณขนาดนั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะคิดว่าคุณไม่เหมาะสม ช่วงเวลานี้ผมดูมาตลอด เขาเพียรพยายามมากแค่ไหนที่อยากแต่งงานกับคุณ”
“อะไรนะ?”
เย้นหว่านเบิกตาโตอย่างมึนงง
ที่ฉินฉู่พูดคืออะไร โห้หลีเฉินชอบเธอ?
เพียรพยายามอยากจะแต่งงานกับเธอ?
เธอไม่ได้ฟังผิดเหรอ……
“พี่สะใภ้ คุณไม่รู้เหรอ?”
สายโทรศัพท์นั้น ฉินฉู่ยิ่งตกตะลึงมากกว่าเย้นหว่าน
เขาคิดวิธีที่เป็นไปได้ ไม่นานก็เข้าใจประเด็นสำคัญของเรื่องราว พูดด้วยความแปลกใจอย่างยิ่ง “เขาตามจีบคุณนานขนาดนี้ ไม่เคยสารภาพรักกับคุณเหรอ?”