บทที่ 334 ฟ้าส่งพี่เย้นมาคนหนึ่ง
“นายก็ต้องปล่อยฉันก่อน ฉันถึงจะให้ยาเธอได้ เฮีย”
เช่นนี้เย้นโม่หลินถึงจะปล่อยคอเสื้อป่ายฉีออก โดยที่ยังคงยืนอยู่ข้างๆป่ายฉีด้วยใบหน้าที่ดุร้าย
ดูเหมือนว่ายิ่งมองเย้นหว่านก็ยิ่งรู้สึกทรมาน เขาก็ยิ่งอดไม่ได้ที่จะต่อยป่ายฉีสักหมัด
ป่ายฉีใช้ความเร็วที่สุดในชีวิตนี้ เพื่อทำการรักษาเย้นหว่าน นี่ถึงจะมองไปที่เย้นโม่หลินอย่างหดหู่
“เฮีย ฉันเป็นหมอ ทำไมทำเหมือนฉันเป็นนักโทษอย่างนั้นล่ะ?”
โมโหผิดคนแล้วหรือเปล่า?
เย้นโม่หลินกล่าวด้วยใบหน้าเย็นชา “นายทำให้เธอป่วยก็สมควรตาย”
ป่ายฉีตอกหน้าหงายกลับไป คิดไม่ถึงว่าเขาจะไร้ซึ่งคำที่จะพูดตอบ
ไม่ได้ไปรับเย้นหว่านให้เร็วกว่านี้ แถมยังปล่อยให้เธอเปียกฝนจนเป็นหวัด ก็เป็นความผิดของเขาจริงๆนั่นแหละ
เย้นโม่หลินก้าวไปข้างหน้าผลักป่ายฉีออก และตัวเองนั่งบนข้างเตียงคนไข้ เขาก้มศีรษะมองเย้นหว่านที่กำลังหลับอยู่ และใบหน้าที่ดูเคร่งขรึมบนใบหน้าหล่อเหลาก็เปลี่ยนเป็นเหมือนน้ำที่อ่อนโยน
เขายืดนิ้วเรียวยาวออกมา และค่อยๆลูบคิ้วที่คดเคี้ยวซ้อนกันเป็นจีบของเย้นหว่าน
“ไม่เป็นไรนะ ต่อจากนี้ไปฉันจะอยู่เป็นเพื่อนเธอตลอด จะไม่มีใครทำให้เธอบาดเจ็บได้อีก”
ป่ายฉีที่ยืนอยู่ข้างๆ มุมปากกระตุกขึ้นตรง
ดุร้ายเหี้ยมโหดต่อเขา แต่อ่อนโยนต่อเย้นหว่านทำให้คนทนมองไม่ได้ การปฏิบัติที่แตกต่างเช่นนี้ทำให้ปวดใจมากเกินไป
จู่ๆก็รู้สึกอิจฉาเย้นหว่านนิดหน่อยแล้วเป็นอะไรไปนะ?
เย้นหว่านฝันเป็นเวลายาวนาน
ในความฝัน ดูเหมือนว่าได้ใช้ชีวิตอันยาวนาน แต่ทว่าดูเหมือนว่าจะสั้นและหายวับไป เธอยังไม่ทันที่ใช้เวลาอย่างมีความสุขกับโห้หลีเฉิน ก็ได้หลุดออกจากมือของเธอไปหมดแล้ว
เธออยากคว้าไว้ แต่ก็คว้าอะไรไม่ได้
มองฝ่ามือที่ว่างเปล่าของตัวเอง ในใจของเย้นหว่านก็รู้สึกทรมานและระเบิดความเจ็บปวดในหัวใจน้ำตาก็ไหลลงมาอย่างไร้เสียง
ขนตาของเธอสั่น เธอจึงลืมตาขึ้น
ด้านหน้าคือเพดานอันหรูหราที่มีการแกะสลักอย่างประณีต แสงสว่างทั้งเป็นเส้นหนึ่งแถบ ทำให้แสบตา
ความเศร้าโศกทั้งหมดเมื่อสักครู่นี้ เป็นเพียงแค่ความฝัน
เธอจ้องมองไปที่เพดานอย่างว่างเปล่า และใช้เวลาสักพัก เธอถึงกลับมามีสติจากความฝันได้
เธอขยับร่างกาย และกำลังจะลุกขึ้นนั่ง
ในเวลานี้ แขนข้างหนึ่งก็ยืดไปถึงหลังเธอ ให้แรงเธอ เพื่อพยุงเธอขึ้น
เย้นหว่านประหลาดใจ เงยหน้าขึ้น ก็มองเห็นใบหน้าที่หล่อเหลาเป็นที่สุด ด้วยความคุ้นเคยเล็กน้อย
หลังจากกลับไปคิดอยู่พักหนึ่ง ก็จำได้ว่านั่นคือเย้นโม่หลิน เจ้าของคฤหาสน์ที่เคยพบเจอเมื่อสองวันก่อน
“คุณเย้น? ทำไมคุณ…” ถึงมาอยู่ที่นี่ได้…
เย้นหว่านมองเขาอย่างตกตะลึง ด้วยใบหน้าปิดบังความจริง และไม่เข้าใจว่าทำไมผู้ชายคนนี้ที่เพิ่งจะเจอกันเพียงครั้ง และไม่คุ้นเคย จะมาอยู่นั่งข้างเตียงของเธอ
“เธอตัวร้อน ฉันไม่สบายใจ ก็เลยมาดูแลเธอที่นี่”
เย้นโม่หลินตอบอย่างใจเย็น พร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้าที่หล่อเหลา อย่างอ่อนโยนและเป็นสุภาพบุรุษ
“เธอรู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง?ยังทรมานอยู่ไหม?”
ในคำพูดนั้น มีความห่วงใยอย่างแท้จริง
“ดีขึ้นเยอะแล้ว”
เย้นหว่านส่ายศีรษะ เธอไม่ได้รู้สึกทรมานในร่างกายมากเท่าไหร่ สิ่งที่ทรมานก็คือหัวใจ เหมือนทับกับอะไรสักอย่าง อึดอัด และไร้เรี่ยวแรง
ราวกับมองจิตใจของเย้นหว่านออก เย้นโม่หลินจึงพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ถ้าเธอรู้สึกไม่สบายใจ ก็ร้องไห้ออกมา จะดีขึ้น”
เย้นหว่านตะลึง มองไปที่เย้นโม่หลินด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย
เขารู้ว่าเธออกหักแล้วทรมานเหรอ?
เมื่อเห็นท่าทางห่วงใยของเขา เย้นหว่านก็ส่ายศีรษะ “ขอบคุณสำหรับความห่วงใยของคุณนะคะฉันไม่เป็นอะไรแล้วค่ะ”
ในขณะที่พูด เย้นหว่านก็เม้มมุมปากอย่างสุภาพ และยกยิ้ม
เพียงแค่รอยยิ้มนั้น ดูแล้วแข็งทื่อมากเกินไป สุภาพมากเกินไป และห่างเหิน
เย้นโม่หลินรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย และรู้ว่าเย้นหว่านยังไม่คุ้นเคยกับเขา แม้ว่าในใจจะรู้สึกอึดอัดแต่ก็ยังเข้มแข็งมากพอที่จะไม่แสดงอารมณ์ออกมาต่อหน้าคนแปลกหน้ามากเกินไป
เขาไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากประนีประนอม และพูดว่า “ให้ฉันเรียกป่ายฉีมาอยู่เป็นเพื่อนเธอดีไหม?พวกเธอสนิทกัน พูดคุยกันได้ง่าย และผ่อนคลายอารมณ์สักหน่อย”
“ฉันไม่อะไรเป็นไรจริงๆ คุณไม่ต้องเป็นห่วงฉันแบบนี้ มีเรื่องบางอย่าง ผ่านไปแล้วก็ควรปล่อยวาง ฉันไม่ใช่คนที่ปล่อยวางไม่ได้”
เมื่อต้องเผชิญกับความห่วงใยอย่างจริงใจของเย้นโม่หลิน เย้นหว่านก็ไม่ได้พูดอย่างชุ่ยๆ ตอบคำถามของเขาอย่างจริงจัง
เธอร้องไห้ไปแล้วครั้งหนึ่ง หลับและตื่นขึ้นมา เธอหมดอาลัยตายอยากไปแล้วจริงๆ แม้ว่าหัวใจยังคงเจ็บอยู่ แต่เธอก็สามารถข่มใจ อดทน และฝังทั้งหมด และทิ้งมันไว้ในอดีตได้
“เธอแข็งแกร่งกว่าที่ฉันคิดไว้อีก”
เย้นโม่หลินมองไปที่เย้นหว่าน ยิ่งมองก็ยิ่งพอใจมากขึ้น สมกับที่เป็นสมาชิกในครอบครัวของเขาอารมณ์ก็เหมือนกับเขาเป๊ะ เด็ดขาดพอสมควร
เย้นหว่านมองสายตาปลื้มอกปลื้มใจของเย้นโม่หลิน ก็แค่รู้สึกงงงวยและสงสัย
ทำไมเธอถึง รู้สึกจากสายตาได้ว่าเป็นผู้หญิงเติบโตมาในครอบครัวของเขากันล่ะ?
มันแปลกจริงๆ
“คุณเย้น ขอบคุณที่เก็บฉันมา ขอโทษด้วยนะคะที่ทำให้คุณลำบากแล้ว ฉันหายดีแล้ว ฉันไปก่อนนะคะ”
ในขณะที่พูด เย้นหว่านก็เปิดผ้าห่ม และจะลุกออกจากเตียง
แม้จะไม่รู้ว่าทำไมในสองครั้งที่ตื่นขึ้นมาถึงได้อยู่ในบ้านของผู้ชายคนนี้ และก็ไม่เข้าใจว่าทำไมป่ายฉีถึงทิ้งเธอไว้ที่นี่ทุกครั้งด้วย แต่ว่าในสถานที่แปลกๆ คนแปลกหน้า เย้นหว่านก็ไม่อยากอยู่นาน แล้วก็ไม่อยากสร้างปัญหารบกวนคนอื่นด้วย
เมื่อเย้นโม่หลินเห็นว่าเย้นหว่านกำลังจะเดินออกไป ก็รีบเอื้อมมือออกและกดไหล่ของเธอโดยทันที แล้วกดให้เธอกลับลงบนไปเตียงอีกครั้ง
“เธอไม่ต้องไป ต่อจากนี้ไปก็อยู่ที่นี่แหละ”
อะไรนะ?
เย้นหว่านมองชายตรงหน้าด้วยความตกใจ สงสัยว่าตัวเองจะได้ยินผิดหรือเปล่า
ผู้ชายแปลกหน้าที่เคยพบกันเพียงแค่ครั้งเดียว กลับบอกว่าต่อจากนี้ไปอยากให้เธออาศัยอยู่ในบ้านของเขา นั่นคือความรู้สึกอย่างไร?
เย้นหว่านมองไปที่ดวงตาของเย้นโม่หลินอย่างระมัดระวังเล็กน้อย
เย้นโม่หลินยิ้มอย่างจนปัญญา ภายในรอยยิ้มนั้น มีความผ่อนคลายมากขึ้น
“เย้นหว่าน ฉันไม่ใช่คนเลวอะไร และก็ไม่ได้มีแผนอะไรกับเธอ เพราะว่าเธอควรที่จะอยู่ที่นี่ ที่นี่คือบ้านของเธอ”
หลังจากได้ยินคำนี้ เย้นหว่านก็เริ่มสับสนมากขึ้น ในหัวสมองเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม
ใครช่วยอธิบายให้เธอฟังหน่อยสิว่า ที่หนุ่มหล่อคนนี้พูดหมายถึงอะไรกันแน่? ทำไมเธอถึงฟังไม่เข้าใจสักคำ
เย้นโม่หลินนั่งอยู่ข้างเตียง แต่ทว่าตัวตรง หันหน้าไปทางเย้นหว่านโดยตรง
เขามองไปที่เธอ และพูดอย่างจริงจัง “เสี่ยวหว่าน ฉันเป็นพี่ชายของเธอ”
“อะไรนะ?”
เย้นหว่านรู้สึกว่าตัวเองได้ยินอะไรบางอย่างที่เหลือเชื่อมากที่สุด เธอก็ยกมือขึ้น “คุณเย้น แม้ว่าฉันจะอารมณ์ไม่ค่อยดี แต่คุณก็ไม่จำเป็นต้องล้อเล่นอะไรแบบนี้กับฉัน”
มันไม่ตลก
ทว่าเย้นโม่หลินไม่ได้มีความหมายว่ากำลังล้อเล่นแต่อย่างใด มองไปที่เย้นหว่านด้วยสีหน้าจริงจัง
“เสี่ยวหว่าน นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น แต่เป็นความจริง ฉันและคุณพ่อ คุณแม่ ตามหาเธอมาหลายปีแล้ว”
พี่ชาย?
คุณพ่อ คุณแม่?
คำในประโยคที่คุ้นเคยและไม่คุ้นเคยเหล่านี้ ทำให้หัวใจของเย้นหว่านสั่นอย่างรุนแรง เธอมองไปที่เย้นโม่หลินอย่างเหลือเชื่อ และรู้สึกว่าไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ
ผู้ชายที่หล่อเหลาจนทำให้คนหายใจไม่ออกคนนี้ ผู้ชายที่สูงศักดิ์ที่ห่างไกลกับเธอ คิดไม่ถึงว่าจะเป็นพี่ชายของเธอ
มันไม่จริงมากเกินไปแล้ว
ปฏิกิริยาของเย้นหว่านอยู่ในการคาดเดาของเย้นโม่หลิน เย้นโม่หลินยังคงอธิบายอย่างอดทนต่อ
“เสี่ยวหว่าน เธอยังจำช่วงเวลานี้ที่ป่ายฉีกวนใจเธอได้ไหม? จริงๆแล้วเธอและคุณแม่ของเราหน้าตาเหมือนกันมากๆ ดังนั้นป่ายฉีจึงเห็นเธอได้ภายในชั่วพริบตา แต่ว่าพวกเราล้วนแต่อยู่ต่างประเทศ ดังนั้นเขาจึงต้องแน่ใจในตัวตนของเธอก่อน ดังนั้นในครั้งแรกที่เจอเธอ ถึงได้ทำเรื่องแบบนั้นกับเธอ
และหลังจากได้พบเธอครั้งแล้วครั้งเล่า ก็ล้วนแต่เพื่อยืนยันตัวตนของเธอ ในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้เขาก็สามารถมั่นใจโดยพื้นฐานแล้ว ฉันก็รีบเดินทางจากต่างประเทศมา วันนั้นในตอนที่เธออยู่ในปราสาท ก็ได้ตรวจDNAเปรียบเทียบกับเธอแล้ว พวกเราเป็นพี่น้องกันจริงๆ”
คำพูดทีละประโยค ราวกับลูกระเบิด กระแทกใจของเย้นหว่าน
สมองของเธอขาวไปชั่วขณะ มืดมน และรู้สึกเหลือเชื่อ
เธอเป็นเด็กกำพร้ามากว่ายี่สิบปี จู่ๆ เขาก็มาบอกเธอว่า เธอไม่ใช่เด็กกำพร้า ไม่เพียงแต่มีพ่อแม่ครบเท่านั้น และยังมีพี่ชายอีก?