บทที่ 349 งานเลี้ยงอำลา
“ค่ะ คุณนายใหญ่”
เย้นหว่านทักทายด้วยมารยาท จากนั้นก็ถูกจูเหลียนอีงจูงมือไปเลย
เมื่อก่อนจูเหลียนอีงก็ชอบจูงมือเย้นหว่านไว้แบบนี้ สีหน้าเต็มไปด้วยความเมตตา ตอนนั้นเย้นหว่านยังรู้สึกว่าท่านเป็นคนเฒ่าคนแก่ที่ไม่เลวจริงๆ บางทีก็อาจจะชอบเธอจริงๆ แต่สุดท้ายถึงรู้ สิ่งที่จูเหลียนอีงมองเข้าตาก็แค่ฐานะของเธอเท่านั้น
อีกอย่างจูเหลียนอีงรู้ฐานะของเธอตั้งนานแล้ว กลับไม่เคยเผยเล็กน้อยกับเธอเลย
เย้นหว่านไม่กล้าคิดอย่างเจาะลึกกับกลอุบายที่ซ่อนอยู่ในนั้น
เธอรักษารอยยิ้มอ่อนๆไว้ เดินตามจูเหลียนอีงมานั่งลงที่ๆนั่ง
“เสี่ยวหว่าน ย่าดีใจมากที่หนูมาในวันนี้”
เธอมองเย้นหว่าน ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอย มีความละอายใจที่เห็นได้ชัด“เรื่องเกี่ยวกับฐานะของหนู ย่าต้องขอโทษหนู ยายเห็นแก่ตัวเกินไป
เดิมทีย่ากะว่าจับคู่หนูกับเฉิน และให้พวกหนูแต่งงานก่อน หลังแต่งงานค่อยบอกเรื่องนี้กับหนู พาหนูกลับไปนับญาติพบบรรพบุรุษ ถึงแม้ไม่คิดจะปกปิดหนูตลอด แต่ก็ได้หลอกให้หนูแต่งงาน”
หลังจากแต่งงานค่อยพาเย้นหว่านไปนับญาติพบบรรพบุรุษ มีทะเบียนสมรสใบนั้นอยู่ ถึงตระกูลเย้นไม่เห็นด้วยก็ไม่ได้แล้ว
ส่วนทั้งสองตระกูลจะได้รับผลประโยชน์จากการร่วมมืออะไร เย้นหว่านคิดไม่ถึง และไม่อยากไปคิด
เธอเผยรอยยิ้มออกมาอย่างฝืนใจสุดขีด
“คุณนายใหญ่คะ หนูรู้ว่าทุกคนมีจุดยืนในผลประโยชน์ของตัวเอง หนูไม่โทษคุณนายใหญ่จริงๆค่ะ นี่เป็นเรื่องในอดีตแล้ว หวังว่าคุณนายใหญ่จะไม่เอามาใส่ใจอีกค่ะ”
“หนูเป็นเด็กดีจริงๆ เสียดาย เฮ้อ ย่าทำให้หนูกับเฉินเสียเวลา”
จูเหลียนอีงทอดถอนใจ
เย้นหว่านเม้มปาก ไม่ได้พูดอะไรอีก
ที่จริงคุณย่าโห้ไม่รู้ว่าตอนแรกโห้หลีเฉินไม่คิดจะแต่งงาน เพราะฉะนั้นตอนที่เจอกันครั้งแรกก็ได้นัดกับเธอว่าหมั้นกันหลอกๆ ต่อมาถึงอยากแต่งงานกับเธอจริงๆ แต่ก็เพราะรู้ฐานะของเธอแค่นั้นเอง
เป็นแค่ความสัมพันธ์ที่หลอกใช้กัน ไม่มีอะไรต้องเสียดาย
“เอาล่ะ ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว คืนนี้ไหนๆก็รวมตัวอยู่ด้วยกันแล้ว ก็ทานข้าวกันอย่างเอร็ดอร่อยสักมื้อ เรื่องของเมื่อก่อน ก็ถือเป็นเรื่องของอดีตเถอะ ต่อไปทุกคนก็ยังเป็นเพื่อนกันนะ”
จูเหลียนอีงยิ้ม และได้ปลอบใจเย้นหว่านขึ้นมา
เย้นหว่านค่อนข้างเกรงใจ เธอได้พยักหน้า
ในขณะนี้ พนักงานก็ได้เดินมาผลักประตูอีก“คุณผู้ชาย เชิญค่ะ”
ยังมีคนอื่นอีก?
เย้นหว่านอึ้ง เธอหันไปมอง ก็เห็นโห้หลีเฉินอย่างเหนือความคาดหมาย
เขาสวมใส่ชุดสูทสีดำ ก็ยังหล่อกระชากใจอีกเช่นเคย แต่ใบหน้านั้นดูแล้วเหมือนซูบผอมไปเล็กน้อย ยิ่งทำให้เค้าโครงคมชัดมากยิ่งขึ้น
เย้นหว่านคิดไม่ถึงว่าโห้หลีเฉินก็มาด้วย เธอไม่ได้เตรียมใจเจอเขาเลยด้วยซ้ำ
เห็นได้ชัดว่า โห้หลีเฉินก็คิดไม่ถึงว่าจะเจอเย้นหว่านที่นี่ เขาอึ้งไปครู่นึง สีหน้าเย็นชา
เขายืนอยู่ที่เดิม ไม่ได้เดินไปข้างหน้าอีก
สายตามองผ่านเย้นหว่านโดยตรง มองไปที่จูเหลียนอีง และพูดอย่างเรียบเฉย
“คุณย่า ในเมื่อคุณย่ามีแขก งั้นผมขอตัวก่อนครับ”
“เดี๋ยวก่อน!”
จูเหลียนอีงรีบเปิดปากเรียกโห้หลีเฉินไว้
เธอพูด “วันนี้ย่าตั้งใจเรียกหลานสองคนมาโดยเฉพาะ ย่ามีเรื่องอยากจะพูด ถึงหลานจะไป ก็ให้เกียรติย่าหน่อย ฟังจบแล้วค่อยไปนะ”
โห้หลีเฉินสีหน้าห้อยแล้วห้อยอีก เงียบไปครู่นึง ถึงเดินมาด้วยสีหน้าเย็นชา
เขานั่งฝั่งตรงข้ามจูเหลียนอีง ถือว่าทั้งโต๊ะเป็นที่นั่งที่ไกลจากเย้นหว่านที่สุด
เย้นหว่านมองดูเขาที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ในใจบอกไม่ถูกว่ามีความรู้สึกยังไง
ใบหน้าเธอรักษาความสงบไว้อย่างสุดขีด นิ้วมือกลับอยู่ที่ใต้โต๊ะ จะบีบมือถือจนแหลกอยู่แล้ว
เธอกลัวที่จะเจอเขา แต่เขากลับขยะแขยงที่จะเจอเธอ
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ เธอและเขายิ่งเดินยิ่งห่างกันแล้วจริงๆ กลายเป็นคนสองคนที่ต่อต้านขนาดนี้
การทานข้าวของวันนี้ ถูกกำหนดแล้วว่าจะไร้รสชาติ
จูเหลียนอีงมองทั้งสองที่สีหน้าไม่ค่อยดี เธอถอนหายใจอย่างจนปัญญา สภาพของพวกเขา แย่กว่าที่เธอจินตนาการไว้เสียอีก
แต่เธอไม่เชื่อว่าระหว่างเย้นหว่านกับเฉินจะไม่มีความรัก
“พนักงาน ลงอาหาร”
จูเหลียงอีงกวักมือสั่งพนักงาน
โห้หลีเฉินสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย ไม่ได้พูดจา วันนี้เขาไม่ได้มาทานข้าวนะ แต่เห็นได้ชัดว่าจูเหลียนอีงไม่มีความคิดที่จะรีบพูด แล้วปล่อยเขาไป
กับข้าวเตรียมไว้ตั้งนานแล้ว ไม่นานพนักงานหลายคนก็เข้าแถว เรียงตัวกันมาเสิร์ฟอาหาร
จูเหลียนอีงถือไวน์ขึ้นมาขวดนึง และรินให้เย้นหว่านเองกับมือ
เย้นหว่านรีบห้ามไว้ “คุณนายใหญ่ หนูรินเองค่ะ”
จูเหลียนอีงเอามือของเย้นหว่านหลบไป“ย่ารู้ว่าหนูดื่มเหล้าไม่เก่ง ย่าเลยหาไวน์ที่แอลกอฮอล์ต่ำโดยเฉพาะเลย”
ระหว่างพูด จูเหลียนอีงก็ได้รินเหล้าใส่แก้วของเย้นหว่าน
โห้หลีเฉินสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย นานหลายปีแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นจูเหลียนอีงรินเหล้าให้กับคนอื่น แถมฝ่ายตรงข้ามยังเป็นผู้ที่มีอายุน้อยกว่า
คุณย่าอยากทำอะไรกันแน่?
จากนั้น จูเหลียนอีงก็ได้หยิบแก้วขึ้นมาอีกหนึ่งใบ รินให้กับตัวเอง แล้วจะรินให้โห้หลีเฉิน
โห้หลีเฉินยกมือห้ามปราม“คุณย่าครับ ผมต้องขับรถ คืนนี้ไม่ดื่มครับ”
“ให้เว่ยชีมารับหลานก็ได้แล้วหนิ”
จูเหลียนอีงปฏิเสธคำพูดของโห้หลีเฉิน รินไวน์ใส่แก้วของเขาด้วยท่าทีแข็งกร้าว
โห้หลีเฉินจนปัญญา ถึงเขาแข็งกร้าว แต่กับจูเหลียนอีง ตลอดมานี้ก็เคารพท่านเป็นหลัก
รินไวน์เสร็จ สีหน้าของจูเหลียนอีงค่อนข้างตึงเครียด เธอยกแก้วขึ้นมา
“คืนนี้ที่ย่าให้หลานสองคนมา คือย่ามีเรื่องจะพูดกับหลานสองคน”
สีหน้าแววตาเธอค่อนข้างตึงเครียด หยุดนิ่งไปครู่นึง ถึงเปิดปากพูดต่อ
“เรื่องงานแต่งของหลานสองคน ย่าเห็นด้วยกับการยกเลิก”
คำพูดที่พูดออกมาอย่างเชื่องช้ามาก เหมือนให้คนแก่ใช้ความพยายามถึงพูดออกมาได้
โห้หลีเฉินแววตามืดมนแล้วมืดมนอีก
เย้นหว่านจับแก้วไวน์ไว้แน่น หัวใจเหมือนถูกอะไรชนทีนึง รู้สึกไม่สบายมาก
เรื่องนี้ ยืดเยื้อมาตั้งแต่หลายเดือนก่อนจนถึงตอนนี้ ในที่สุดคุณย่าโห้ก็ปริปาก ถือว่าได้บทสรุปของตอนจบแล้ว ในที่สุดก็ถือว่าจบสิ้นอย่างสมบูรณ์แล้ว
นี่คือผลลัพธ์ที่เธอเฝ้ารอมานานมาก แต่กลับไม่ได้ทำให้เธอดีใจขึ้นมาแม้แต่น้อย
ต่อไป เธอไม่มีความเกี่ยวพันใดๆกับโห้หลีเฉินจริงๆแล้ว
แบบนั้นก็ดีเหมือนกัน
เย้นหว่านยกแก้วขึ้นมาด้วยท่าทางแข็งกระด้าง ไม่รู้การชนแก้วนี้ คือฉลองที่ยกเลิกงานแต่งสำเร็จเหรอ?
ใบหน้าหล่อเหลาของโห้หลีเฉินไม่มีสีหน้าใดๆ เขามองแก้วไวน์สองใบตรงหน้า รู้สึกเพียงประชดสุดๆ
ในเรื่องยกเลิกงานแต่งนี้ เธอกระตือรือร้นอย่างทุ่มสุดกำลังจริงๆ
ทีนี้ เธอก็ไม่ต้องกังวลอะไรแล้ว มีความสุขแล้ว?
ในเมื่อแบบนี้ งั้นเขาก็จะให้เธอได้สมปรารถนา
โห้หลีเฉินยกมุมปากขึ้นอย่างประชด ชูแก้วไวน์ขึ้น“ดิ๊ง”เสียงนึง ได้ชนกับแก้วไวน์ของเย้นหว่าน
คืนนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเพ่งมองเธอตรงๆ
น้ำเสียงเขาเย็นชา“ยินดีด้วย”
คำพูดนี้ จู่ๆทำให้เย้นหว่านแข็งทื่อ ราวกับพริบตาเดียวมีลูกธนูหมื่นดอกแทงทะลุใจยังไงอย่างงั้น
ยินดีด้วย?
เหอะ ช่างประชดจริงๆ
เธอกัดฟันไว้ สะกดความอนาถของตัวเองไว้อย่างสุดฤทธิ์ จากนั้นก็ยกแก้วขึ้นมาดื่มจนหมดแก้ว
งั้นก็เอาอย่างนี้เถอะ จากกันด้วยดี
งานแต่งที่บ้าบอคอแตกนี่ ใครก็ไม่ได้ผลประโยชน์ ล้วนเจ็บทั้งคู่
ก็ควรจะจบได้แล้ว