บทที่ 357 ตาไม่เห็น ใจก็จะไม่ยุ่งเหยิง
สายตาของเย้นโม่หลินสำรวจห้องอย่างไวไปรอบนึง เห็นมีของมากมายที่เย้นหว่านไม่ได้เอาไป
สาเหตุที่ไม่เอาไป กลับมีแค่เธอเท่านั้นที่รู้
เย้นโม่หลินไม่ได้พูดอะไร เขายิ้มและเป็นฝ่ายรับกระเป๋าของเย้นหว่านมา จากนั้นก็ได้ลากลงไปชั้นล่าง
นอกคฤหาสน์ มีรถหรูรออยู่ตั้งนานแล้ว
ป่ายฉีนั่งอยู่ในรถ มือทั้งสองพิงอยู่ที่บนกระจกรถ และกวักมือให้เย้นหว่าน
“เสี่ยวหว่าน ผมพาคุณบิน”
เย้นโม่หลินจ้องเขาทีนึงด้วยความรังเกียจ“ยังไม่ต้องถึงทีนาย”
ป่ายฉีแบะปาก นี่มันเกินไปแล้ว ถ้าไม่มีเขา ตอนนี้พวกเขาก็ยังหาเย้นหว่านไม่เจอเลย
ตอนนี้นี่ข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพานชัดๆ
เย้นโม่หลินกลับไม่มีความละอายใจเลยแม้แต่น้อย เขาพาเย้นหว่านขึ้นรถ แถมยังจัดเตรียมให้เย้นหว่านนั่งลงที่ข้างกายตัวเอง อยู่ให้ห่างจากป่ายฉี
ป่ายฉีหดหู่ คนไม่มีน้องสาวแล้วจะทำไม?
เย้นหว่านไม่มีกะจิตกะใจฟังสองคนนี้ต่อปากต่อคำ เธอหันหน้าไปมองคฤหาสน์นอกหน้าต่างที่ยิ่งอยู่ยิ่งไกล รู้ดีอย่างแจ่มแจ้งว่าเธอได้เริ่มออกเดินทางแล้ว
พอไปปุ๊บ อาจจะยาวนานมาก หรือบางทีอาจจะไม่กลับมาอีกแล้วมั้ง
เมืองหนาน ลาก่อน
——
โห้ถิงกรุ๊ป ออฟฟิศของท่านประธาน
“ก๊อกๆๆ”
ในออฟฟิศที่เงียบสงบ จู่ๆมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
โห้หลีเฉินกำลังเปิดอ่านเอกสารอยู่ เขาไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาเลยด้วยซ้ำ“เข้ามา”
ประตูกระจกเปิดออก ทีนี้เว่ยชีถึงเดินเข้ามา แววตาของเขาระยิบระยับ เผยให้เห็นถึงความกระวนกระวาย
เขาเดินมาที่หน้าโต๊ะทำงาน เปิดปากพูดด้วยความระมัดระวัง“คุณชายครับ ผมมีเรื่องจะพูดครับ”
“ว่ามา”
โห้หลีเฉินพูดอย่างเย็นชา ไม่มีทีท่าจะเงยหน้าอีกเช่นเคย
เว่ยชีถูมืออย่างอึดอัด หลังจากลังเลไปพักนึง ดูเหมือนถึงได้รวบรวมความกล้าขึ้นมาใหม่
“คุณชายครับ คุณเย้นเธอ……”
“ถ้านายจะพูดเรื่องนี้ ก็ไสหัวออกไปได้แล้ว”
โห้หลีเฉินพูดขัดจังหวะเขาด้วยเสียงเย็นชา แรงดันอากาศของในห้องได้ต่ำลงอีก
เว่ยชีแข็งทื่อไปทั้งตัว รู้สึกอย่างชัดเจนว่ามีความหนาวเย็นโผล่ออกมาจากฝ่าเท้า ติดตามคุณชายมานานหลายปี เขารู้ดีตอนนี้ปิดปากถึงเป็นทางรัดที่มีชีวิตอยู่ต่อ ไม่งั้น จะตายอย่างอนาถมาก
แต่ว่า เมื่อกี๊คุณนายใหญ่เป็นคนโทรมาเอง กำชับนักกำชับหนาว่าต้องฝากคำพูดนี้ถึงคุณชายโห้ให้ได้
เขาไม่กล้าฝ่าฝืน
อีกอย่าง คำพูดที่เขาจะพูด สำหรับคุณชายแล้ว ที่จริงก็น่าจะสำคัญมากอยู่
เว่ยชีสร้างเกราะป้องกันที่ดีในใจอีกครั้ง ถึงเปิดปากพูด
“คุณชายครับ ผมจำเป็นต้องพูดครับ!ไฟลท์คุณเย้นคือบ่ายสองของวันนี้ครับ อีกไม่กี่ชั่วโมงเธอก็จะไปแล้ว พอไปปุ๊บ ก็ไม่รู้เมื่อไหร่ถึงจะกลับมาแล้วครับ
ตอนนี้เธออยู่เมืองหนานไม่มีอะไรต้องอาลัยอาวรณ์แล้ว ชาตินี้ทั้งชาติก็อาจจะไม่กลับมาแล้วครับ!
ในใจคุณชายมีเธอ จะปล่อยเธอไปแบบนี้ไม่ได้นะครับ นี่จะเป็นเรื่องเสียใจของคุณชายตลอดชีวิตเลยนะครับ คุณชายครับ ผมรู้สึกคุณชายยังสามารถไขว่คว้าดูอีกสักครั้งนะครับ”
คำพูดที่ยาวเหยียด เว่ยชีพูดฉอดๆๆออกมาอย่างอึดใจเดียว ไม่งั้นเขาก็ไม่กล้าพูดคำพูดเหล่านี้ออกมาหรอก
พอพูดจบ เว่ยชีมองผู้ชายที่อยู่หลังโต๊ะทำงานอย่างร้อนตัวและกระวนกระวายใจ ก็เห็นคิ้วรูปงามของโห้หลีเฉินขมวดไว้เล็กน้อย ระหว่างคิ้วเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมที่ทำให้คนสะพรึงกลัว
“กึก”เสียงนึง ปากกาที่อยู่ในมือของเขาได้หักเป็นสองท่อน
แรงดันอากาศในห้องต่ำลงแล้วต่ำลงอีก
ริมฝีปากบางๆของเขาอ้าเล็กน้อย เสียงหนาวเย็นเข้ากระดูกดำ“ขืนพูดมากอีกคำ ก็ลาออกไปเลย”
เว่ยชีตัวสั่น เม้มปากไว้แน่น
แต่เขายังอยากถามอีกคำจริงๆ คุณชายครับ เรื่องชักช้าไม่ได้ ตกลงคุณชายจะตามหรือไม่ตามครับเนี่ย?
ที่ทำให้เว่ยชีผิดหวังคือ โห้หลีเฉินไม่มีทีท่าจะตามจริงๆ
เขาทิ้งปากกาที่หักด้วยสีหน้าเรียบเฉย แล้วหยิบปากกาขึ้นมาใหม่ด้ามนึง และเซ็นต์ชื่อที่เอกสารต่อ
ท่าทางนั้นคล่องแคล่ว พลิกหน้ากระดาษอย่างไว ดูแล้วไม่ต่างจากปกติเลย ยิ่งไม่ถูกเรื่องของเย้นหว่านกระทบเลยแม้แต่น้อย
เว่ยชีได้พูดแล้ว ได้แต่ถอยออกไปเงียบๆอย่างจนปัญญา
ในออฟฟิศ กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง
มีแต่เสียงปากกาที่ซ๊วฟๆๆอยู่บนกระดาษ
“ติ๋ง”
เสียงดังขึ้นเบาๆ ปากกาเซ็นต์ชื่อที่มีชีวิตชีวาและกระฉับกระเฉงนั่น จู่ๆกลับมีหมึกหยดลงมาหยดนึง หยดจนชื่อที่เซ็นต์เลอะหมด กระดาษมัวหมองไปหมด
โห้หลีเฉินอึ้งเล็กน้อย ก้มหน้าก็เห็นรูปรอยยิ้มที่แกะสลักอยู่บนปากกานั่น
ปากกาด้ามนี้เป็นของขวัญที่เย้นหว่านมอบให้เขา
หลังแยกจากกัน เขาก็ได้เก็บปากกาด้ามนี้ไว้ วันนี้เพราะปากกาด้ามเก่าหัก ก็เลยจับพลัดจับผลูหยิบมันขึ้นมาใช้อีก
เขาเพ่งมองปากกาด้ามนี้ไว้ อารมณ์ที่ฝืนสะกดไว้ได้โผล่ขึ้นมาหมด ในหัวไปๆมาๆก็เป็นทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเย้นหว่าน
หัวใจ เจ็บแปล๊บๆอย่างทรมาน
เขากุมปากกาไว้แน่น ไม่รู้นานเท่าไหร่ ราวกับเวลาได้หยุดชะงักไว้ยังไงอย่างงั้น
ส่วนเอกสารที่อยู่ตรงหน้า เขาไม่มีความอดทนดูต่อไปอีก
อารมณ์เสีย กระสับกระส่าย
นาฬิกาบนผนัง ได้เดินมาถึงเที่ยงครึ่งแล้ว
ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงครึ่ง เธอก็จะบินจากไปแล้ว
ฟ้าเท่านั้นที่รู้ว่าเขาอยากให้เธออยู่ต่อมากแค่ไหน แต่เขาก็ได้ลองหลายครั้งแล้ว เธอผลักเขาออกครั้งแล้วครั้งเล่า ตีตัวออกห่างจากข้างกายเขาครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ว่าเขาจะพยายามอีกสักกี่ครั้ง ก็รั้งเธอไว้ไม่อยู่
เธอน่าจะไปพร้อมกับผู้ชายคนนั้นมั้ง
อยู่กับเขา เธอถึงยิ้มได้อย่างร่าเริงแจ่มใสขนาดนั้น บางทีนั่นถึงจะเป็นที่ๆดีที่สุดสำหรับเธอ
โห้หลีเฉินเม้มปากบางๆไว้แน่น รัศมีในดวงตามืดมน
เขาปิดฝาปากกาที่อยู่ในมือด้วยท่าทางสง่าและเชื่องช้า ใช้ทิชชูเช็ดน้ำหมึกให้แห้ง แล้วหยิบกล่องที่สวยหรูนั่นออกมา เอาปากกาใส่เข้าไปในกล่อง
ปากกาด้ามนี้ก็เหมือนเย้นหว่าน เหมาะแค่เก็บสะสม อยู่ในส่วนลึกที่สุดของหัวใจ
เขาถือกล่องไว้และลุกขึ้นมา เดินออกไปข้างนอกอย่างช้าๆ
เว่ยชีที่เฝ้าอยู่หน้าห้องเห็นโห้หลีเฉินออกมา ตัวเกร็งขึ้นมาทันทีด้วยความตื่นเต้น เพราะยังไงซะเมื่อกี๊เขาได้พูดคำพูดมากมายที่รนหาที่ตาย
สีหน้าเขาแฝงด้วยรอยยิ้มที่เอาใจ “คุณชายครับ อาหารเที่ยงเตรียมเสร็จแล้วครับ”
โห้หลีเฉินเม้มปาก ไม่ได้พูดอะไรก็ตรงดิ่งไปที่ลิฟท์ แต่ชั้นที่เขาไปกลับเป็นชั้นใต้ดิน
เว่ยชีสีหน้าข้องใจ “คุณชายจะไปไหนครับ?”
โห้หลีเฉินก้าวเท้ายาวออกไป ทิ้งคำพูดเย็นชาไว้
“ไม่ต้องตามฉันมา”
พอพูดจบ เขาก็ได้เดินไปที่ตำแหน่งจอดรถ สตาร์ทรถ แล้วขับรถจากไป ท่าทางว่องไวรวดเดียวจบ
เว่ยชียืนอยู่ที่ลานจอดรถชั้นใต้ดินด้วยสีหน้ามึนตึ๊บ หลังจากมองดูท้ายรถของโห้หลีเฉินจากไปสักพักใหญ่ๆ ถึงดึงสติกลับมาภายหลัง
เขาถูกท่านประธานของตัวเองทิ้งไว้ที่ข้างถนนอีกแล้ว
น่าสงสาร
เว่ยชีเช็ดน้ำตาอย่างเห็นอกเห็นใจตัวเองมาก จากนั้น เหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้อีก
เวลานี้ คุณชายขับรถจากไปเอง หรือจะไปหาคุณเย้น?
ก็มีความเป็นไปได้สูงมากเหมือนกัน…….
โห้หลีเฉินขับรถออกจากบริษัท แต่กลับไร้จุดหมายปลายทาง ไม่รู้จะไปที่ไหน
ในใจมีความคิดอย่างนึง ไปสนามบิน ไปพบเย้นหว่าน แต่ความคิดนี้ก็ถูกสติของเขาบังคับให้สะกดเอาไว้
คนจะไป เขาจะไม่ไปรั้งเอาไว้ ยิ่งไม่อยากส่งเธอจากไปด้วยสายตา
ตาไม่เห็น ใจก็จะไม่ยุ่งเหยิง
โห้หลีเฉินขับรถอย่างไร้จุดหมายปลายทาง ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไหร่ รถของเขาได้จอดอยู่ที่หน้าวิลล่าหลังนึง
เงยหน้ามองไป เป็นโซนวิลล่าส้ายน่าที่เขาอยู่