บทที่ 437 เป็นอดีตไปแล้ว
ในขณะที่เย้นโม่หลินกำลังจะปฏิเสธนั้น กู้จื่อเฟยกลับดึงชายแขนเสื้อของเขา แล้วกระตุกขึ้นพร้อมทำท่าทางขี้อ้อนราวกับแมวเหมียวน้อย
“พี่เย้น ฉันอยากกินเค้กสตรอเบอรี่ ที่ไหนมีคะ พี่พาฉันไปหน่อยได้ไหม”
แขกต้องการทานอาหาร เขาในฐานะเจ้าบ้าน เขาจะพูดอะไรได้อีก
คำพูดปฏิเสธของเย้นโม่หลิน จึงติดอยู่ในลำคอ
กู้จื่อเฟยคนนี้ ทำไมถึงได้ช่างเซ้าซี้นัก
เขาขมวดคิ้วขึ้น มองเย้นหว่านเดินจากไปอย่างไม่สบายใจ ลังเลอยู่สักครู่ ถึงได้พยักหน้าขึ้น
“อยู่ทางโน้น เดี๋ยวผมจะพาคุณไป”
เย้นโม่หลินพลางพูดพลางสาวเท้าก้าวเดินนำ
เพราะถึงอย่างไรการพาไปเดินหาเค้กก็คงจะใช้เวลาไม่กี่นาที จึงได้พากู้จื่อเฟยไปเดินหาแต่โดยดี แต่เย้นโม่หลินกลับคิดไม่ถึง เมื่อเจอเค้กสตรอเบอรี่แล้ว เธอยังต้องการสลัด ทาร์ต น้ำผลไม้ฯลฯ…..
เป็นครั้งแรกจริงๆที่เธอเห็นผู้หญิงที่ทานเก่งขนาดนี้
เย้นหว่านถูกโห้หลีเฉินจูงมือพามาถึงที่ซุ้มอาหาร
ทุกคนที่เข้าร่วมงานเลี้ยงต่างสวมหน้ากาก และโดยปกติมักจะชวนกันดื่มแชมเปญมากกว่า ไม่ค่อยจะทานอาหารกันสักเท่าไร
ดังนั้นโซนนี้ถึงไม่ค่อยมีใครแวะเวียนมา
เย้นหว่านมองกู้ซึงด้วยความสงสัย “คุณพาฉันมาที่นี่ทำไม หรือว่าคุณหิวคะ”
กู้ซึงเพียงเม้มริมฝีปากบางโดยที่ไม่พูดอะไร จากนั้นกวาดสายตามองไปที่โต๊ะวางอาหาร หยิบจานมาหนึ่งใบ แล้วตักสปาเกตตีใส่ลงจาน
เสร็จแล้วก็ยื่นไปให้กับเย้นหว่าน “ทานซิ”
น้ำเสียงเชิงออกคำสั่ง สื่อความหมายในเชิงว่าห้ามปฏิเสธ
เย้นหว่านมองอย่างตะลึงงัน จู่ๆเขาให้เธอทานสปาเกตตีในงานเลี้ยงทำไมกัน อีกอย่างไม่ต้องพูดถึงว่าชอบหรือไม่ชอบทาน การทานสปาเกตตีในงานเลี้ยงแบบนี้ ทำให้เสียภาพลักษณ์และดูไม่สง่างาม
อย่างน้อยเธอก็เป็นคุณหนูบ้านตระกูลเย้น ยังต้องการที่จะรักษาภาพการเป็นกุลสตรีที่ดีต่อหน้าเขา
“ตอนนี้ฉันยังไม่หิวค่ะ”
เย้นหว่านส่ายหน้า
กู้ซึงหยีตามองเย้นหว่านตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอย่างไม่ค่อยพอใจว่า
“คุณทานอาหารเย็นแล้วรึ”
เย้นหว่านส่ายหน้า ที่นี่เป็นงานเลี้ยงที่สามารถหาอาหารทานได้ แต่ว่าเธอไม่ค่อยอยากอาหาร และก็ไม่คิดที่จะทานด้วย อีกอย่าง สวมชุดราตรีแบบนี้ ถ้าทานอาหารเข้าไป หน้าท้องก็จะพุงป่องขึ้น รูปร่างแลดูไม่งาม
สีหน้าของกู้ซึงก็ยิ่งไม่พอใจ “คุณผอมลงไปเยอะเลยนะ”
“เหรอ”
เย้นหว่านจ้องมองเขา หัวใจราวกับถูกบางอย่างทิ่มแทง
เธอคลับคล้ายมองเห็นแววตาของเขาประกายแสงแห่งความเป็นห่วง
ยังไม่ทันที่เธอจะมองเห็นอย่างชัดเจน กู้ซึงก็ไม่สนใจคำปฏิเสธ วางจานลงในมือของเย้นหว่าน แล้วก็หยิบส้อมด้วยนิ้วมือที่เห็นข้อต่อกระดูกได้อย่างชัดเจน จากนั้นได้ม้วนเส้นสปาเกตตี
เขาแผดเสียงดังขึ้น “คุณจะทานเองหรือว่าจะให้ผมป้อน”
คนมากมายเช่นนี้ จะมาป้อนอะไรกัน อายคนแย่
เย้นหว่านหน้าแดง หยิบส้อมที่อยู่ในมือของเขาแล้วตักขึ้นมาใส่ปากด้วยความขุ่นเคือง
ถึงแม้ว่าการทานอาหารที่นี่จะค่อนข้างอึดอัด แต่ข้างในจิตใจกลับเต็มไปด้วยน้ำผึ้ง ที่หวานหยดย้อย
แม้แต่สปาเกตตีที่ปกติแล้วไม่ค่อยชอบทานเท่าไหร่ ก็กลายเป็นชอบทานซะอย่างนั้น
กู้ซึงเห็นเย้นหว่านทานอย่างเชื่อฟัง สีหน้าของเขาถึงได้ดูดีขึ้นมา
เขาพูดอย่างเคร่งขรึมว่า : “ต่อไปวันละสามมื้อ และให้ทานตรงตามเวลา”
พักนี้เย้นหว่านเป็นไข้ได้ป่วยหนักลง อารมณ์จึงไม่ค่อยดี และก็ยิ่งไม่ค่อยอยากอาหาร จึงทำให้ทานอาหารไม่ค่อยตรงเวลา แล้วก็ทานได้น้อย
ความทรมานในระยะนี้ เป็นเหตุให้เธอซูบผอมลง
เธอเงยหน้าขึ้นมองเขา โดยมีเส้นสปาเกตตีค้างอยู่ในปาก เธออดไม่ได้จึงพูดขึ้น :
“ถ้าคุณจะเผด็จการอย่างนี้ มาตามเฝ้าฉันด้วยเลยไหมเล่า ฉันคนนี้ทำอะไรยิ่งไม่ค่อยมีสติซะด้วย”
ความจริงในใจ เธอแอบหวังว่าเขาจะอยู่ข้างๆเธอ ต่อให้ไม่สามารถจะเจอหน้ากันได้ แต่ก็ขอให้ติดต่อกันได้ทุกวัน ถามไถ่ว่าเธอทานข้าวหรือยัง
เคยสูญเสียเขาไป ทำให้เย้นหว่านรู้สึกกลัวเป็นอย่างยิ่งถึงความรู้สึกของการตามหาเขาไม่เจอ
แววตาขรึมของกู้ซึง ความหดหู่สุดแสนเศร้าแวบเข้ามาในดวงตาของเขา
เขาพยักหน้า แล้วตอบด้วยน้ำเสียงที่ตามใจ
“ตกลง”
คุณรับปากแล้วใช่ไหม อย่างนั้นก็หมายความว่าต่อไปเขาจะไม่หายไปอีกแล้วใช่ไหม
เย้นหว่านมองเขาด้วยความดีใจ แววตาสดใส “จริงๆนะ คุณจะโกหกฉันไม่ได้นะ จะหายไปแม้แต่สักวันเดียวก็ไม่ได้นะ”
แสงอ่อนๆในแววตาของกู้ซึงได้แผ่กระจาย ริมฝีปากแยกยิ้มขึ้น ในขณะที่เขากำลังจะอ้าปาก จู่ๆก็มีเสียงที่ไม่เป็นมิตรได้ดังขึ้น
“เสี่ยวหว่าน ผมหาคุณตั้งนาน ที่แท้คุณก็อยู่ที่นี่นี่เอง คุณหิวหรือ”
หยูซือห้านถือไวน์หนึ่งแก้ว แล้วก็เดินเข้ามาด้วยท่าทีที่สบายๆ
เขาเดินมายืนอยู่ข้างๆเย้นหว่าน แสดงพฤติกรรมความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของเธอ
ดวงตาของกู้ซึงได้มืดครึ้มฉายความดุดันขึ้น
เย้นหว่านไม่ต้องหันไปมอง ก็รู้ว่าเป็นหยูซือห้านที่เดินเข้ามา
เธอกำลังดื่มด่ำกับช่วงเวลาที่หาได้ยากในการอยู่กับกู้ซึงเพียงสองต่อสอง การมาขัดจังหวะของหยูซือห้านทำให้เธอไม่พอใจเป็นอย่างมาก
เธอวางส้อมลง แล้วมองหยูซือห้านอย่างไม่สบอารมณ์ จากนั้นพูดขึ้นว่า : “หยูซือห้าน คุณตามหาฉันทำไม ระหว่างเรามีอะไรที่ต้องคุยกันด้วยเหรอ”
ท่าทีที่ห่างเหิน ไม่มีแม้แต่การไว้หน้าสักนิดเดียว
หยูซือห้านหน้าถอดสีเล็กน้อย แต่ว่าพักนี้ถูกเย้นหว่านกระทำจนชินชาไปเสียแล้ว แค่เพียงครู่เดียวจึงสามารถปรับอารมณ์และความรู้สึกของตัวเองได้แล้ว
เขายิ้มพร้อมกับยกแก้วไวน์ในมือขึ้น เดินมาข้างหน้า แล้วทำท่าชนแก้วกับกู้ซึง
“เสี่ยวหว่าน ท่านนี้คือ? ดูไม่คุ้นหน้าเลย คุณแนะนำให้ผมรู้จักหน่อยสิ”
ท่าทางการพูดการจานั้น ยังคงวางมาดการเป็นคู่หมั้นของเย้นหว่าน
เย้นหว่านขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ แล้วมองไปทางกู้ซึงด้วยความเป็นห่วง เกรงว่าเขาจะเข้าใจผิด
กู้ซึงดูจะไม่สนใจ แล้วหยิบแก้วไวน์มาหนึ่งแก้วเขย่าไปมาอยู่ในมือ
ยิ้มแล้วพูดขึ้น : “ชื่อเสียงของคุณชายหยู ผมได้ยินมานานแล้วครับ พอได้เจอตัวจริงไม่เหมือนกับคำเล่าลือจริงๆ ผมกู้ซึงครับ ดีใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้พบคุณ”
สุภาพบุรุษอย่างกู้ซึงพลางพูดพลางชนแก้วกับหยูซือห้าน
แก้วไวน์ชนกัน เสียงดังฟังชัด แต่หยูซือห้านกลับหน้าถอดสีอีกครั้ง
อะไรคือเจอตัวจริงไม่เหมือนกับคำเล่าลือ ชายหนุ่มคนนี้กล้าแดกดันให้เขาเสียหน้าอย่างนั้นรึ และยังทำตัวมีมารยาทเป็นสุภาพบุรุษอีก
เย้นหว่านเห็นหยูซือห้านหน้าเสีย และท่าทางที่เก้อเขินจนพูดไม่ออก อดไม่ได้จึงได้เผยอปากขึ้น
ยังดีที่กู้ซึงเป็นคนปากจัด แค่เพียงประโยคเดียวก็ทำให้หยูซือห้านถึงกับสำลักคำพูดอย่างเจ็บปวด
หยูซือห้านแอบกัดฟัน แต่ใบหน้ายังคงไว้ซึ่งรอยยิ้มที่สง่างาม
เขามองเย้นหว่านแล้วพูดขึ้น : “คุณชายกู้รู้จักผมด้วยรึ ถ้าอย่างนั้นก็คงรู้จักผ่านเสี่ยวหว่านใช่ไหม เพราะผมได้ทำการหมั้นหมายกับเธอตั้งแต่เด็กๆแล้ว”
เพียงประโยคเดียว ก็อธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเย้นหว่านว่าเป็นความสัมพันธ์แบบคู่หมั้น
เย้นหว่านมุมปากกระตุกเล็กน้อย ยิ่งรู้สึกว่าหยูซือห้านคนนี้ช่างน่ารำคาญมาก
และเธอยิ่งไม่อยากให้กู้ซึงเข้าใจผิด จึงได้รีบขยับเข้าไปใกล้ๆกู้ซึง จ้องมองเขารับพร้อมกับอธิบายขึ้นว่า : “ฉันกับเขาไม่ได้มีความสัมพันธ์เช่นนั้น…..”
“ผมรู้”
กู้ซึงเอ่ยปากเบาๆ พร้อมเผยอมุมปากโค้งขึ้น และเขย่าแก้วไวน์ในมือไปมา จากนั้นพูดเย้าแหย่ว่า : “ตามที่ผมรู้ ก่อนหน้านั้นได้ยินมาว่าตระกูลเย้นได้ยกเลิกการถอนหมั้นกับตระกูลหยูแล้ว คุณกับเย้นหว่านถึงแม้ว่าจะเคยหมั้นกันตอนเด็กๆ แต่ว่ามันก็เป็นอดีตไปแล้ว”
เขาตั้งใจพูดเน้นคำว่า‘เป็นอดีตไปแล้ว’พร้อมกับยิ้มเยาะเย้ย