บทที่465 อยู่ข้างๆ เธอ
เมื่อได้รับสายตาแห่งการไต่สวนของโห้หลีเฉิน ป่ายฉีก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่
พวกกงจืออวีตามมาทีหลัง ก็เลยไม่เห็นอาการของเย้นหว่านตอนที่เธอป่วย ดังนั้นพอพูดว่าเป็นอาการแพ้ ก็สามารถหลอกพวกเขาได้
แต่ว่าโห้หลีเฉินกลับเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ดังนั้นหากพูดว่าเป็นแค่อาการแพ้นั้น มันไม่สามารถหลอกเขาได้ง่ายๆ หรอก
แต่ว่าเรื่องนี้ ป่ายฉีคิดแล้วคิดอีก ก็ไม่อยากจะให้คนรู้เยอะ
เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็มองไปยังโห้หลีเฉิน ส่งสายตาเป็นนัยให้กับเขา
“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง แค่เห็นว่าอาการมันดูอันตรายนิดหน่อยเท่านั้นเอง”
สายตาของโห้หลีเฉินนั้นจมดิ่ง
คนที่ว่องไวและเฉียบแหลมอย่างเขา แน่นอนอยู่แล้วว่าต้องเข้าใจความหมายของป่ายฉี
แต่ว่าพอยิ่งรู้เจตนาของเขา ก็ยิ่งรู้สึกกระวนกระวายใจ การที่ป่ายฉีเจตนาปกปิดแบบนี้ แสดงว่าการเจ็บป่วยกะทันหันของเย้นหว่านนี้ต้องไม่ใช่การป่วยแบบธรรมดาแน่นอน
นี่มันหมายความว่า เธออยู่ที่บ้านตระกูลเย้น แล้วก็อยู่ใต้เปลือกตาของเขา แต่กลับโดนคนทำร้าย……
พอได้ยินแบบนี้ หัวใจที่เป็นกังวลของกงจืออวีนั้นก็ได้ผ่อนคลายลง
เธอหันหน้ามา แล้วก็ออกคำสั่งอย่างจริงจังกับคู่พ่อลูกเย้นเจิ้นจื๋อ “ต่อไปบนโต๊ะอาหารห้ามมีกุ้ง แล้วก็อะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับกุ้งอีก! ”
“ได้ รับรองว่าไม่มีแน่นอน”
คู่พ่อลูกพยักหน้าพร้อมกัน ท่าทางดูมั่นคงเหมือนกัน แล้วก็รู้สึกเสียใจเล็กน้อย
ถ้าเกิดว่ารู้ตั้งแต่แรกว่าเย้นหว่านจะแพ้กุ้ง พวกเขาจะไม่มีวันให้มีกุ้งอยู่บนโต๊ะอาหารอย่างแน่นอน และก็จะไม่มีวันมองดูเย้นหว่านกินกุ้งเยอะขนาดนั้นหรอก
เย้นหว่านไม่สบาย พวกเขาปวดใจยิ่งกว่าใครทั้งนั้น
กงจืออวีกุมมือเล็กๆ เย็นๆ ของเย้นหว่าน จับมือของเธอไว้แล้วก็ตบเบาๆ อย่างปวดใจ หลังจากนั้น ก็เงยหน้าขึ้นมา แล้วก็มองไปที่โห้หลีเฉินด้วยสายตาที่อ่อนโยน
“กู้ซึง โชคดีที่คืนนี้นายเจอเธอได้ทันเวลา พาเสี่ยวหว่านมาส่งที่นี่ ทำให้เธอไม่ต้องทุกข์ทรมานมาก”
โห้หลีเฉินยังคงเช็ดผมให้กับเย้นหว่านอย่างระมัดระวัง เม้มริมฝีปากแน่น น้ำเสียงดูไม่แปลกใจหรือดีใจ
“มันเป็นสิ่งที่ผมควรทำอยู่แล้วครับ”
ความรู้สึกโทษตัวเองและความรู้สึกผิดนั้นเพิ่มขึ้น ถ้าเกิดว่าเขาระมัดระวังมากกว่านี้ เย้นหว่านก็ไม่ได้เจอกับความทุกข์ทรมานแบบนี้
กงจืออวีพยักหน้าอย่างพึงพอใจ เป็นผู้ช่วยชีวิต แต่ว่าไม่ได้มีเงื่อนไขใดๆ และก็ไม่ได้เย่อหยิ่งและจองหองด้วย จิตใจของเขานั้นไม่เลวเลย
เธอมองไปที่กู้ซึง ยิ่งมองยิ่งรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังมองลูกเขยของตัวเองอยู่
แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเป็นห่วงสุขภาพของเขาเช่นกัน “เสี่ยวหว่านนั้นให้ฉันดูแลเองเถอะ นายไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เปียก อาบน้ำร้อนเพื่อไล่ความเย็นเถอะ คืนนี้ก็พักผ่อนเยอะๆ ”
เย้นหว่านยังไม่ฟื้นเลย สรุปแล้วอาการของเธอนั้นร้ายแรงแค่ไหน เขายังไม่รู้แน่ชัดเลย แล้วเขาจะพักผ่อนได้ยังไงกัน?
โห้หลีเฉินวางผ้าขนหนูที่เช็ดผมของเธอลง แล้วก็วางผมของเย้นหว่านลงบนหมอนอย่างระมัดระวัง หลังจากทำทั้งหมดนี้เสร็จ เขาถึงได้เงยหน้าขึ้นมา แล้วก็มองหน้ากงจืออวีอย่างจริงจัง
“คุณนายครับ ผมมีเรื่องที่ต้องการร้องขอ หวังว่าคุณจะยอมรับ”
ถึงแม้ว่าจะพึ่งคบค้าสมาคมกันได้แค่ไม่กี่วัน แต่ว่ากงจืออวีก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่า กู้ซึงเป็นคนที่ทำอะไรรู้จักขอบเขตมาก เรื่องอะไรที่มากเกินไปเขาไม่เคยร้องขอมาก่อน
เรื่องที่เขาต้องการร้องขอนั้น คืออะไรกัน?
กงจืออวีสงสัย และพูดว่า “บอกมาสิ”
โห้หลีเฉินมองดูใบหน้าที่ซีดเผือดของเย้นหว่าน สีหน้ากระตุกเล็กน้อย แล้วก็พูดว่า
“ก่อนที่เย้นหว่านจะหายดี ผมหวังว่าจะได้ดูแลเธอด้วยตัวเอง”
กงจืออวีประหลาดใจ ไม่คิดว่ากู้ซึงจะขอร้องอะไรแบบนี้
ถือว่ามีใจจริงๆ
“นายไม่ได้จำเป็นต้องทุ่มเทแบบนี้……”
“เรื่องนี้ ผมก็ต้องรับผิดชอบเหมือนกัน”
สายตาของโห้หลีเฉินทุ้มต่ำ ใบหน้าที่หล่อเหลามีความรู้สึกผิด และความเสียใจอย่างเห็นได้ชัด “กุ้งเมื่อเย็นนี้ ผมเป็นคนปอกให้เธอกินเอง”
ถ้าเกิดว่าเขาไม่ปอกให้ เย้นหว่านก็คงไม่กินเยอะแยะอย่างตะกละขนาดนั้นหรอก
สีหน้าของกงจืออวีกระตุกเล็กน้อย “เรื่องนี้ไม่มีใครรู้หรอก โทษนายก็ไม่ได้ นายก็ไม่ต้องรู้สึกว่าเป็นหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบหรอกนะ”
“ในเมื่อมันเกี่ยวข้องกับผม ผมก็จะรับผิดชอบให้ถึงที่สุดครับ”
น้ำเสียงของโห้หลีเฉินแน่วแน่ ยึดมั่น “นอกจากนั้น ถ้าเกิดว่าผมไม่ได้คอยดูเธอ ผมจะไม่สบายใจครับ”
กงจืออวีเม้มปาก สุดท้ายก็คลี่ยิ้มออกมาบางๆ
แม้ว่าจะไม่ได้พูดอะไร แต่ว่าท่าทางของกู้ซึงนั้น ก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เย้นหว่านนั้นมีคุณค่าในใจของเขา
หลังจากเรื่องนี้ผ่านไป ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาต้องก้าวหน้า และประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน
เป็นการดีที่จะส่งเสริมการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคน
กงจืออวีพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็พยักหน้า “ก็ได้ ช่วงนี้ นายก็ดูแลเสี่ยวหว่านให้ดี ถ้าเกิดว่ามีอะไรที่ต้องการ หรือไม่สบาย ก็บอกได้หมดเลย”
“ขอบคุณมากครับ”
โห้หลีเฉินพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ ความตึงเครียดในใจ สุดท้ายก็คลายลง
เหตุผลที่เขาต้องอยู่ข้างกายเย้นหว่าน เขาถึงจะได้เฝ้าเธอตลอดเวลา เพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นอีก
พวกกงจืออวีมาแล้ว โห้หลีเฉินถึงได้มีเวลา ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า
แล้วก็ลังเลว่าโห้หลีเฉินจะเฝ้าเย้นหว่านอยู่ตลอด หลังจากที่กงจืออวีเฝ้าอยู่นาน ก็กลับไป
ในห้องนั้นเงียบลง แล้วก็เหลือแต่โห้หลีเฉินกับป่ายฉีอีกครั้ง
ป่ายฉีรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย ลูบหลังหัวของตัวเอง ยิ้มแล้วพูดว่า “ดึกมากแล้ว ฉันเองก็ควรไปนอนได้แล้ว ห้องของฉันอยู่ด้านนอก ถ้ามีอะไรก็ตะโกนเรียกฉันก็ได้”
หลังจากพูดจบ ป่ายฉีก็เตรียมจะหลบออกไปเนียนๆ
สายตาที่แหลมคมของโห้หลีเฉินจ้องมองเหมือนเข็มปักที่ร่างกายของเขา เสียงของเขาต่ำลงอย่างอันตราย
“คุณป่ายฉี ไม่มีอะไรที่จำเป็นต้องอธิบายยังงั้นเหรอ? ”
ฝีเท้าที่กำลังจะก้าวหนีของป่ายฉีนั้นแข็งทื่อทันที
สมควรตายจริงๆ กู้ซึงมองทุกอย่างออกจริงๆ ด้วย แถมยังไม่คิดจะปล่อยเขาไปอีก จะถามเขาจนถึงที่สุด
เรื่องนี้ ที่ป่ายฉีปิดบังไว้ เพราะไม่อยากให้คนรู้เยอะ
เขาหมุนตัวกลับมา สีหน้าที่ล้อเล่นก็ได้หายไปแล้ว มันถูกแทนที่ด้วยการแสดงออกที่เย็นชาและเคร่งขรึม
“กู้ซึง นายเพียงแค่ควรจะดูแลเย้นหว่านให้ดีกว่านี้ เรื่องบางเรื่อง นายก็ไม่ควรจะรู้”
โห้หลีเฉินพูดเน้นทีละคำ มั่นคงและแข็งแรง “เรื่องที่เกี่ยวข้องกับเธอทั้งหมด ฉันจำเป็นต้องรู้ ไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่”
ป่ายฉีขมวดคิ้ว “นายรู้ไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก ไม่แน่ว่าอาจจะสร้างปัญหาให้มากกว่าเดิม”
“นั่นคือเรื่องของฉัน ไม่จำเป็นต้องให้นายมาคิดหนัก”
โห้หลีเฉินโต้กลับ ค่อยๆ หรี่ตาลง เสียงที่ทุ้มต่ำเต็มไปด้วยความข่มขู่อย่างไม่ปิดบัง “ถ้าเกิดว่านายไม่บอกฉัน ฉันก็จะไปสืบเอง”
เขาอยู่ที่บ้านตระกูลเย้น และเพราะว่ามีความสัมพันธ์กับเย้นหว่านเลยถูกสายตาหลายคู่จับจ้อง ถ้าเกิดว่าเขาออกมือทำอะไร คนอื่นก็จะรู้โดยไม่ช้า
จนถึงตอนนั้น คนทั้งตระกูลเย้นก็จะรู้เรื่องที่ป่ายฉีต้องการจะปิดบัง ก็อาจจะปิดบังไม่ได้แม้แต่นิดเดียว
เขากัดฟันด้วยความโกรธ แทบจะทนไม่ไหวที่จะบีบกู้ซึงให้ตาย แล้วก็โยนเข้าไปเผาเป็นเถ้าถ่าน
แต่ว่าความจริงแล้ว เขาไม่มีอารมณ์โกรธที่จะกล้าแตะต้องกู้ซึงแม้แต่ปลายผม
ไม่ยังงั้นถ้าเกิดว่าเย้นหว่านฟื้นขึ้นมานั้น คนที่ถูกบีบคอจนตายและถูกเผานั้นต้องกลายเป็นเขา…
ป่ายฉีขมวดคิ้ว สีหน้าเคร่งขรึม แล้วก็พูดด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำ
“เรื่องนี้ ฉันบอกนายก็ได้ แต่ว่านายต้องรับปากกับฉัน ว่าห้ามให้ใครรู้นอกจากนายกับฉัน”
ป่ายฉีเอาจริงเอาจังขนาดนี้ แสดงว่าต้องเป็นเรื่องที่ร้ายแรงอย่างมากแน่นอน
โห้หลีเฉินรู้สึกไม่สบายใจมากยิ่งขึ้น เขาพยักหน้าและพูดว่า “เป็นธรรมดาอยู่แล้ว”
เรื่องที่เกี่ยวข้องกับเย้นหว่าน เขาใส่ใจ ตื่นเต้นมากกว่าคนอื่นอยู่แล้ว