บทที่471 ใครบอก
“ไม่ ไม่ใช่อย่างนั้นนะ….”
เย้นหว่านพูดอย่างตื่นตระหนก เผชิญหน้ากับสายตาที่ตั้งคำถามและคาดคั้น ลำคอของเธอแห้งผาก ไม่รู้ว่าจะต้องชี้แจงอย่างไร
ในหัวนั้นมีแต่ความยุ่งเหยิงและตื่นตระหนก
หยูซือห้านหรี่ตาอย่างมุ่งร้าย แต่สีหน้ากลับแสดงออกราวกำลังคิดแทนเธออยู่
“เสี่ยวหว่าน ฉันรู้ว่าในใจของเธอมีโห้หลีเฉินอยู่ แต่ในเมื่อมันเป็นแบบนี้ เธอก็ไม่จำเป็นต้องปกปิดแทนเขาหรอก เขาทำแบบนี้ มันไร้ศีลธรรมเกินแล้ว”
คำพูดผ่าเผยที่เอ่ยอยู่บนคุณธรรมสูงส่งนั้น แทบไม่ได้ช่วยอะไรเย้นหว่านเลย กลับกันได้ผลักเธอและโห้หลีเฉินตกไปยังพายุและเกลียวคลื่น
ในเวลานี้ข่าวลือได้แพร่สะพัดไปไม่หยุด ตอนนี้ทุกถ้อยประโยค ล้วนชี้โยงหัวข้อไปยังเรื่องของกู้ซึงกับโห้หลีเฉินทั้งสิ้น
เมื่อจำนวนครั้งที่เอ่ยคำมดเท็จมากมาย ก็จะกลายเป็นเรื่องจริง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหากมันเป็นความจริง
เย้นหว่านจิตใจว้าวุ่นอย่างรุนแรง สีหน้าซีดขาว ไม่อาจรู้ได้เลยว่าจะมีกำลังที่จะหักล้างเรื่องนี้อย่างสมบูรณ์ได้อย่างไร
เธอได้แต่ฝืนโต้กลับอย่าแข็งกระด้าง “มันไม่ใช่แบบนั้นอย่างที่คุณพูดนะ….”
“เสี่ยวหว่าน ที่จริงแล้วทุกคนไม่ได้จะตำหนิเธอและยังเข้าใจเธอด้วย แต่การโกหก ถึงยังไงก็ไม่ใช่เรื่องดี เรื่องที่กู้ซึงคือโห้หลีเฉิน ทุกคนรู้กันหมดแล้ว ปิดไม่อยู่หรอก”
หยูซือห้านเอ่ยอย่างน้ำใสใจจริง คำพูดที่ทำให้เย้นหว่านได้ชื่อว่าดี แต่กลับปิดกั้นทุกอย่างที่เธอต้องการจะอธิบายจนหมดสิ้น
เย้นหว่านโกรธจนสีหน้าทั้งขาวทั้งแดง ในใจยิ่งกระวนกระวาย ร้อนใจจนอยู่ไม่สุข
ไม่ง่ายเลยกว่าที่ตอนนี้เธอจะได้อยู่กับโห้หลีเฉินอย่างสงบสุข แต่มีความสุขได้ไม่กี่วัน ก็กลับเกิดปัญหาแบบนี้ขึ้นตอนนี้ หรือเธอจะถูกบังคับให้ต้องแยกจากโห้หลีเฉินอีกครั้งอย่างนั้นเหรอ?
แค่คิดถึง หัวใจของเย้นหว่านก็ปวดร้าวไปชั่ววูบ
ในขณะที่ทรวงอกของเย้นหว่านรู้สึกหนักหน่วง หดหู่จนอยากจะร้องไห้ ในตอนนั้นเอง กลับได้ยินเสียงผู้ชายที่ราวกับเสียงสวรรค์ดังขึ้น
“ทำไมผมไม่เห็นรู้เลยว่าผมไปเป็นโห้หลีเฉินตอนไหน?”
กู้ซึงสวมชุดสูทสีน้ำเงินเข้ม เดินมาจากห้องโถงอย่างสง่าผ่าเผย ย่างก้าวอย่างสูงส่ง มุมปากปรากฏรอยยิ้มเล็ก ๆ แฝงความแดกดันไว้อย่างสง่างาม
สายตาของเขากวาดไปทั่วฝูงชน สุดท้ายก็มาหยุดที่ตัวหยูซือห้าน แววตาเหยียดหยามนั้น ไร้การปิดบังใด ๆ
เมื่อถูกคนรังเกียจต่อหน้าคนมากมาย สีหน้าของหยูซือห้านก็แทบอดกลั้นไม่อยู่
เขาระงับความคิดอยากจะฉีกกู้ซึงเป็นชิ้น ๆ เอาไว้ มุมปากยกยิ้ม เชิดคางขึ้นอย่างสง่า
เอ่ย “คุณชายกู้ ข่าวลือใดล้วนต้องมีมูล ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ทั้งตระกูลเย้นก็รู้เรื่องนี้หมดแล้ว ว่าที่จริงคุณคือโห้หลีเฉิน จะยังยืนกรานแสร้งทำต่อไปก็ไม่มีความหมาย สารภาพออกมาแต่โดยดีจะดีกว่าไหมล่ะ? คิดว่าอย่างไรบ้างครับ คุณอา?”
คำพูดมุ่งเป้าอย่างเฉียบคมนั้น ทำเอาเย้นหว่านที่ได้ยินขมับเต้นตุบ ๆ
เธอมองไปยังกู้ซึงอย่างตกประหม่า เธอเดินขึ้นไปข้างหน้าด้วยจิตใต้สำนึกแล้วคว้ามือของเขาไว้
ร่างนั้นค่อย ๆ ขยับไปข้างหน้าอย่างเงียบ ๆ ขวางอยู่ด้านหน้าของเขาเล็กน้อย แสดงท่าทางปกป้องเขาเอาไว้
“มันเป็นคำพูดเพ้อเจ้อของพวกเขา อย่าเอามาใส่ใจเลย แล้วก็อย่าไปมีเอี่ยวกับเรื่องน่าเบื่อแบบนี้เลย ฉันจัดการได้ นายกลับบ้านไปก่อนเถอะ”
เย้นหว่านคิดอยากให้โห้หลีเฉินกลับไปก่อนอย่างร้อนรน ถึงยังไงถ้าเขาตัวจริงไม่อยู่ เรื่องก็คงไม่สามารถเอาแน่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์อยู่แล้ว แถมยังอาจจะมีทางหนีที่ไล่อยู่อีกหน่อยด้วย
กู้ซึงก้มหน้าลงเล็กน้อย สายตาเหลือบมองมือเล็กของเย้นหว่านที่จับมือของตัวเองเอาไว้
จากนั้น ริมฝีปากของเขาแย้มยิ้มออกมา น้ำเสียงนุ่มนวลเอ่ย
“ไม่ต้องกังวล”
เขาค่อย ๆ ปล่อยมือของเย้นหว่าน ก่อนเลื่อนสายตาไปยังหยูซือห้าน ในแววตาแสดงออกอย่างใจกว้าง “ผมก็คือผม ไม่ใช่ใครอื่นที่ไหนทั้งนั้น คุณชายหยูคำเรียกคุณอานั้นผมคงรับไม่ได้ และขอให้คุณชายหยูโปรดอย่ามาผูกสัมพันธ์ตามอำเภอใจจะดีกว่า”
ความประชดประชันในน้ำเสียงไร้การปิดบัง
สีหน้าของหยูซือห้านเปลี่ยนไปเล็กน้อย คำพูดนั้นของกู้ซึง ราวกับบอกว่าเขากำลังพยายามคบกับคนที่สูงส่งกว่าอย่างนั้น
เขาคุณชายแห่งตระกูลหยูผู้สง่าผ่าเผย ทั้งยังเป็นผู้ทรงอำนาจ ยังจะต้องไปผูกสัมพันธ์กับคุณชายตระกูลเล็ก ๆ ในเมืองหนานไปทำไมกัน?
คำพูดนั้นไม่เพียงทำให้อยากจะกระทืบเขาสักที กระทั่งทั้งตระกูลหยูก็อยากจะรุมกระทืบเขาด้วยซ้ำ
ทุกคนในตระกูลหยูได้ตัดสินแล้วว่ากู้ซึงก็คือโห้หลีเฉิน ตอนนี้เมื่อได้ยินกู้ซึงเอ่ยออกมาแบบนั้น แต่ละคนล้วนผิดคาดจนพูดอะไรไม่ออก
โห้หลีเฉินเป็นผู้สืบทอดอันดับหนึ่งของตระกูลหยู ความรุ่งโรจน์ของตระกูลหยูก็คือความรุ่งโรจน์ของเขา ถึงเขาและหยูซือห้านจะมีความเกลียดชังมากเพียงใดก็จะไม่ทำให้หน้าตาของตระกูลของตัวเองต้องด่างพร้อยมัวหมองแน่
สามารถพูดออกมาได้แบบนั้น หรือว่า กู้ซึงจะไม่ใช่โห้หลีเฉินจริง ๆ ?
หยูซือห้านเมื่อเห็นท่าทีลังเลของคนอื่น ๆ สีหน้าก็ยิ่งน่าเกลียดมากขึ้นไปอีก เขาพูดด้วยหน้าตาถมึงทึง “คุณอา คุณเป็นผู้สืบทอดอันดับหนึ่งของตระกูล จะทำเรื่องอะไรล้วนแสดงตระกูลหยูทั้งนั้น
คุณได้สร้างความอับอายให้กับตระกูลหยูด้วยการสวมรอยเป็นคนอื่นไปแล้ว ตอนนี้ยังจะพูดแบบนี้อีก ไม่สนใจหน้าตาของตระกูลหยูแล้วอย่างนั้นเหรอ?”
ตระกูลใหญ่นั้น สิ่งที่ให้ความสำคัญมากที่สุดก็คือหน้าตา
คำพูดนั้นของหยูซือห้าน ยืนยันว่าโห้หลีเฉินจงใจพูดแบบนั้นเพื่อไปตายเอาดาบหน้า และยิ่งเป็นการเปิดเผยโห้หลีเฉินเพื่อตัวเองแล้ว ไม่สนหน้าตาของตระกูล เป็นแค่คนเห็นแก่ตัวคนหนึ่ง
หากว่าเขาเป็นโห้หลีเฉินจริง ๆ อย่างนั้นเขาก็คือคนถ่อย พวกหน้าซื่อใจคดหัวจรดเท้า
“หน้าตาของตระกูลหยูเกี่ยวอะไรกับผมกัน?”
ใครจะไปนึก ภายใต้สายตาไต่สวนและคาดคั้น ท่าทีของกู้ซึงกลับนิ่งสงบ กระทั่งออกจะดูถูกดูแคลนด้วยซ้ำ
ท่าทางที่เย็นชาและเย่อหยิ่งนั้น ไม่เห็นตระกูลหยูอยู่ในสายตาอย่างสิ้นเชิง
ราวกับว่าตระกูลหยูไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาเลยแม้แต่น้อย
หยูซือห้านแทบหายใจไม่ออกเพราะคำพูดนั้น ท่าทีเฉยเมยของกู้ซึง ทำให้ชั่วขณะหนึ่งเขาไม่สามารถหาข้อโต้แย้งมาได้อย่างไม่คาดคิด
เขาคือกู้ซึง แน่นอนว่าตระกูลหยูกับเขาไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกัน! แต่เขาไม่ได้เป็นแค่กู้ซึง….
“คุณอา ผมเคารพคุณที่เปิดเผยตรงไปตรงมา ไม่นึกว่าพอเกิดเรื่อง คุณจะใช้ลูกไม้ตลบตะแลงอย่างไร้ยางอายแบบนี้”
หยูซือห้านพูดอย่างขมขื่นใจ ราวกับว่า สิ่งที่กู้ซึงทำนั้นน่าอับอายและน่ารังเกียจอย่างมาก
คนในตระกูลเย้นต่างก็มองไปที่กู้ซึงอย่างสงสัย ทีแรกพวกเขาฟังคำเล่าลือมา บวกกับคำพูดของหยูซือห้านครั้งแล้วครั้งเล่า จนเกือบจะเชื่อไปแล้วว่ากู้ซึงคือโห้หลีเฉิน
แต่ในตอนนี้การแสดงออกของกู้ซึง กลับเริ่มทำให้พวกเขาไม่แน่ใจขึ้นมา
ถึงยังไง ลูกหลานตระกูลใหญ่คนไหน ๆ ล้วนภาคภูมิใจในฐานะของคนในตระกูลทั้งนั้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้ที่อยู่บนจุดสูงสุดในความมั่งคั่งของโลกอย่างตระกูลหยู
เย้นหว่านยืนที่เหม่ออยู่ด้านข้าง มองร่างสูงของกู้ซึงตาปริบ ๆ ในใจเต็มไปด้วยความสั่นไหว แต่ก็กลับอึดอัดและกลัดกลุ้ม
เธอรู้สึกโชคดีในความเฉียบแหลมของเขา แค่ไม่กี่คำก็ทำให้รอดพ้นจากทางตันนี้ไปได้แล้ว ทำให้ความเคลือบแคลงของคนตระกูลหยูเริ่มสั่นไหวแล้ว
เธอเองก็รู้สึกแย่ที่เขาต้องทำให้ตัวเองเสื่อมเสียชื่อเสียง เดิมทีเขาก็เป็นคนของตระกูลหยู หลังจากนี้ตระกูลหยูจะถูกชี้นำโดยเขา การที่เขาสาดสีใส่ตระกูลตัวเองในตอนนี้ ในใจจะต้องรู้สึกเลวร้ายมากแน่
เพื่อเธอแล้ว โห้หลีเฉินจ่ายมากมายเกินไปจริง ๆ
เบ้าตาของเย้นหว่านแดงก่ำ อดกลั้นน้ำตาไว้อย่างยากเย็น ไม่ให้มันร่วงหล่นลงมา