บทที่492 ไปอย่างเงียบๆ
“ไม่ ไม่ต้อง!”
เย้นหว่านรีบเอ่ยปากห้ามไว้ เขาเดินออกมา ภาพนั้นก็เป็นแค่ขีดจำกัด
เธอรีบเปลี่ยนเป็นถือเสื้อผ้ามือเดียว แล้วยัดเข้าไปในประตู
โห้หลีเฉินถือโอกาสหยิบเสื้อผ้ามา เย้นหว่านไม่ได้ล่าช้าสักวินาที ผลักประตูปิดไป
พอไม่เห็นใบหน้าที่ทำให้คนมีความผิดนั้นของชายหนุ่มแล้ว ใจที่เต้นตูมตามของเย้นหว่านถึงค่อยๆสงบลงเล็กน้อย
เพียงแต่คิดถึงว่าคืนนี้โห้หลีเฉินจะนอนกับเธอที่นี่ สองคนอยู่ในห้องเดียวกัน นอนเตียงเดียวกัน ใจของเธอก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงมันขึ้นมาอีก
เขากลับมาก็ดีแล้วจริงๆ ทำให้เธอดีใจ แต่ก็ตื่นเต้นเกินไปหน่อยแล้ว
ใจของเย้นหว่านว้าวุ่น นั่งลงบนโซฟา ทั้งหัวใจกลับฟังเสียงน้ำในห้องน้ำ บินมั่วไปรอบๆ
สงบลงไม่ได้เลย
ไม่ใช่เรื่องง่าย เสียงน้ำในห้องน้ำหยุดแล้ว
ร่างของเย้นหว่านเกร็งโดยไม่รู้ตัว นั่งแข็งทื่อ
หลังจากนั้นสักพัก ตามเสียงเปิดประตู โห้หลีเฉินสวนชุดนอน เดินออกมาจากห้องน้ำ
ผมของเขายังคงเปียก หยดน้ำแวววาวเกาะอยู่ที่ปลายผม ดูมีลักษณะเย้ายวนเป็นพิเศษ
เย้นหว่านอดไม่ได้ที่จะมองตาค้าง
แวบแรกสายตาของโห้หลีเฉินก็ตกลงบนตัวของเย้นหว่านแล้ว มองไปที่ท่าทางตาค้างของเธอ ไฟที่น้ำเย็นพึ่งจะระงับไป ก็ถูกจุดขึ้นมาอีกครั้ง
ดวงตาของเขามืดลงนิ่งๆ พูดด้วยน้ำเสียงสง่างาม “ยังไม่ไปอาบน้ำอีก?”
อาบน้ำ……
ห้องน้ำที่เขาพึ่งใช้
ใบหน้าเล็กๆของเย้นหว่านแดงขึ้นมาอีกครั้ง
มุมปากของโห้หลีเฉินแอบกระตุกขึ้นมา พูดคลุมเครือยุแหย่ด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ฉันรอเธอบนเตียง”
สมองของเย้นหว่านเกิดเสียงระเบิด เขินและโมโหจนหน้าแดงไปถึงหู
เขาไม่พูดให้มัน ให้มันคลุมเครือขนาดนี้ได้ไหม!
“ฉันฉันฉันอาบน้ำช้ามาก นายนายไม่ต้องรอฉัน”
ขณะที่พูด เย้นหว่านแทบทนไม่ได้ที่จะไม่กัดลิ้นตัวเอง นี่เธอกำลังพูดอะไรอยู่เนี่ย
เธอเขินจนไม่กล้าแม้แต่จะมองเขา ก้มหน้าวิ่งไปที่ห้องเสื้อผ้าสุ่มหยิบชุดนอนมาหนึ่งชุด แล้ววิ่งเข้าห้องน้ำไปด้วยความรีบร้อน
เสียง “ปัง” ปิดประตูลง สลัดสายตาที่ก้าวร้าวและเร่าร้อนของชายหนุ่ม เส้นประสาทที่ตึงทั่วร่างกายของเธอถึงค่อยผ่อนคลายลงเล็กน้อยเท่านั้น
แต่หัวใจ กลับเต้นเร็วขึ้นเรื่อยๆ
โห้หลีเฉินหมายความว่ายังไง?
หรือว่าคืนนี้เขา จะทำ……
อะไรกับเธอ
เพียงแค่คิด เย้นหว่านก็รู้สึกว่าเซลล์ในร่างกายกำลังเต้นอย่างไม่สงบ ประหม่าจนแทบไม่ไหว
แล้วยังสับสนจนแทบไม่ไหว
เธอสูดหายใจลึก ใบหน้าเล็กแดงก่ำ เดินไปถึงใต้ฝักบัว เปิดน้ำเทลงมา
ใจเย็น เธอต้องใจเย็น
อาบไปได้สักพักใหญ่ จนผิวหนังบนร่างกายแทบจะลอกออกมาหนึ่งชั้น เย้นหว่านถึงปิดน้ำในที่สุด เดินออกมาจากห้องน้ำอย่างหวั่นเกรง
เดินออกมา เธอก็มองไปที่เตียงโดยไม่รู้ตัว กลับบังเอิญมองเห็น ว่าบนเตียงว่างเปล่า โห้หลีเฉินไม่ได้อยู่บนนั้น
ผ้าห่มก็สะอาดสะอ้าน ท่าทางไม่เหมือนมีคนเคยขึ้นไปนอน
เมื่อกี้เขาไม่ใช่บอกว่าจะรอเธออยู่บนเตียงหรอ? ไหนล่ะ?
เย้นหว่านสงสัย รีบร้อนมองไปในห้อง ก็ยิ่งประหลาดใจเมื่อพบว่า ภายในห้องกลับไม่มีใครอยู่
ใจของเธอตึงเครียด รีบเดินไปทางด้านนอก “ลูกผู้พี่?”
เย้นหว่านเดินไปถึงประตูห้องอย่างร้อนรน ก้าวเท้าเร็วเล็กน้อย ชนเข้ากับคนที่เดินเข้ามาจากด้านนอกโดยไม่ได้ตั้งรับ
อ้อมกอดกว้าง กลิ่นอายที่คุ้นเคยลอยเข้าจมูกทันที
เย้นหว่านกอดเอวของเขาไว้อย่างร้อนรน “นายไปไหนมา?”
“อะไรกัน ไม่เจอแป๊ปเดียว ก็คิดถึงฉันแล้วหรอ?”
โห้หลีเฉินก้มหน้าลง ยั่วเย้าอย่างขี้เล่น
รอยยิ้มที่มุมปากสดใสแพรวพราว
แก้มของเย้นหว่านแดงเล็กน้อย ปล่อยเอวของเขาด้วยความเขิน ก้มหน้าเดินไปทางด้านในห้องสองสามก้าว
“ฉันเปล่าซะหน่อย”
โห้หลีเฉินมองดูท่าทางปากไม่ตรงกับใจของเธอ ส่วนโค้งของมุมปากก็เพิ่มขึ้นอีก เขาเอื้อมมือไป ดึงเธอมาไว้ในอ้อมแขน
ริมฝีปากบางกดลง จูบลงบนหน้าผากของเธอเล็กน้อย
“ฉันแค่ไปหาเสี่ยวฮวน ให้หล่อนซื้อโซฟาใหม่กลับมา”
บนหน้าผากของเย้นหว่านร้อนขึ้นเล็กน้อย แก้มแดงก่ำ
เธอเอ่ยถามอย่างสงสัย “ซื้อโซฟาใหม่ทำไม?”
โห้หลีเฉินโอบเย้นหว่านไว้ ถือโอกาสพาเธอเข้าไปในห้อง เขานั่งลงบนเตียงอย่างสบายๆ ผลักผลักดึงดึง แล้วก็ดึงเย้นหว่านเข้ามาในอ้อมแขน
เขาพูดยิ้มเสียงเบา “หรือว่าเธอจะอยากให้ฉันอยู่ในห้องของเธอทุกคืนจริงๆ?”
คำว่าทุกคืน เขาเน้นหนักเล็กน้อย ยั่วเย้าอย่างคลุมเครือ
แก้มของเย้นหว่านร้อนผ่าว แม้ว่าในใจอยากอยู่กับเขานานหน่อย ก็รีบส่ายหน้าด้วยความเขิน
เธอใจเต้นหน้าแดงเปลี่ยนเรื่องคุย
“นายอยากจะนอนบนโซฟา?”
เตียงที่กู้ซึงเคยนอน เป็นธรรมดาที่โห้หลีเฉินจะไม่นอนอีก แต่ว่าตอนนี้เขายังมีสถานะเป็นกู้ซึง ก็ไม่อาจทำเรื่องที่จะทำให้คนเกิดความสงสัยได้ ยิ่งไม่อาจเปลี่ยนเตียงทั้งหมดได้
ดังนั้นจึงยอมถอย แล้วขอเปลี่ยนโซฟาสักอันก็ยังพอได้
“เพียงแต่ นอนบนโซฟาไม่สบายมากเลย นายจะชินได้ไหม?”
เย้นหว่านมองไปที่โห้หลีเฉินด้วยความเป็นห่วง ความปวดใจ ความรู้สึกผิด
ผู้ชายที่ถูกเลี้ยงดูด้วยความเอาอกเอาใจมาอย่างดี เกรงว่าชีวิตนี้จะไม่เคยนอนบนโซฟาเลยหรือเปล่า
โห้หลีเฉินมองไปที่เย้นหว่านอย่างมีความหมายลึกซึ้ง พูดเสียงทุ้ม “ถ้าฉันนอนได้ไม่คุ้นชิน ก็มาเกาะเตียงเธอ ดีไหม?”
คำพูดนี้มัน!
แก้มของเย้นหว่านแดงขึ้นอีกเล็กน้อย จ้องไปที่เขาอย่างอารมณ์เสีย
“ไม่สุภาพ”
โห้หลีเฉินรอยยิ้มกว้างขึ้น “ไม่สุภาพตรงไหน ตอนนี้ฉันก็ไม่ใช่เกาะเตียงเธออยู่?”
เขาโอบเอวของเย้นหว่าน ทันใดนั้นก็ตะแคงตัว ร่างสูงใหญ่กดลงบนตัวของเธอครึ่งหนึ่ง
ใบหน้าอันหล่อเหลาอยู่ใกล้เธอมาก ลมหายใจที่อุ่นร้อนรดลงบนหน้าของเธอ
ราวกับเปลวไฟเล็กๆ อาบแก้มของเย้นหว่านอยู่
เย้นหว่านประหม่าจนตัวเกร็งขึ้นมาทันที แม้แต่ลมหายใจก็ตื้น
เธอเอ่ยปากพูดอย่างไม่สงบใจ “งั้น……งั้นโซฟาจะมาถึงเมื่อไหร่?”
“ไม่รีบ”
น้ำเสียงของโห้หลีเฉินทุ้มต่ำมืดมน ราวกับแต่งแต้มด้วยไฟ
นิ้วมือของเขาไหลเวียนอยู่บริเวณเอวของเย้นหว่าน ริมฝีปากบางค่อยๆเข้าใกล้เธอ
ลมหายใจของทั้งสอง ประสานรวมกัน แนบชิดไม่อาจแยกออก
หัวใจของเย้นหว่านเต้นรัว มองชายหนุ่มตรงหน้าที่ตนคิดถึงเช้าเย็น รักฝังเข้าไปในกระดูก ไม่อาจปฏิเสธได้เลย
ร่างที่เกร็งตึงของเธอ ค่อยๆหลับตาลง
เซลล์ทั่วร่างกายกำลังสั่นด้วยความตื่นเต้น
แต่ ผ่านไปพักใหญ่ เย้นหว่านก็สัมผัสไม่ได้ถึงจูบของชายหนุ่ม
ตรงหน้านิ่งเงียบ ไม่มีการตอบสนองแม้แต่น้อย
ถ้าไม่ใช่ว่าเขากอดเธออยู่ มีความอบอุ่นเร่าร้อน เธอคงนึกว่าเขาไม่อยู่แล้ว
เย้นหว่านแปลกใจ พอจะลืมตาขึ้น จู่ๆก็มีลมหายใจอุ่นร้อนที่ข้างหู กับเสียงพูดทุ้มต่ำ
“เย้นหว่าน ถ้าถูกขัดจังหวะกลางคันอีกครั้ง ฉันกลัวว่ามันจะทำลายความสุขชั่วชีวิตของเธอ”
เย้นหว่านลืมตาขึ้นในทันที ดวงตากะพริบต่อเนื่องด้วยความเขินอาย
ขัดจังหวะกลางคัน……
ความสุขชั่วชีวิต……
ที่เขาพูดมันคืออะไรนั่นไม่ใช่หรอ!
“นายนายนายอย่าพูดมั่วซั่ว”
เย้นหว่านเอ่ยปากพูดอย่างติดๆขัดๆ มุดหน้าเข้าไปในอ้อนแขนของโห้หลีเฉินด้วยความเขิน พูดด้วยเสียงไม่ชัดเจน
“ฉันจะนอนแล้ว อีกเดี๋ยวโซฟามาถึงแล้ว นายออกไปเองเงียบๆ”