บทที่495 อาเล็ก นายกล้าให้ฉันพูดจริงหรอ
เย้นโม่หลินเป็นคนสมบูรณ์แบบมาโดยตลอด ไม่ว่าเรื่องอะไรก็จัดการได้อย่างง่ายดาย ไม่เคยมีตอนไหนที่เห็นเขาถูกต้อนจนมุม ยากที่จะเห็นเขาเผยข้อบกพร่องสักครั้งเดียว ป่ายฉีต้องคว้าโอกาสที่แสนหายากนี้เยาะเย้ยให้เต็มที่
“คู่รักเด็กๆเขาทะเลาะกัน ก็ห่างเหินจนเหมือนคนแปลกหน้าที่ไม่เคยรู้จักได้ แต่ถ้าดีกันแล้ว นั่นก็เป็นการทะเลาะที่หอมหวานของคู่แต่งงานใหม่ ตัวติดกัน24ชั่วโมงเป็นเรื่องพื้นฐานที่สุด”
เย้นโม่หลินเบิกตากว้าง ใบหน้าไม่อยากเชื่อ
การเปลี่ยนแปลงนี้ยิ่งใหญ่เกินไปแล้ว ไม่มีบรรทัดฐานของหลักการเลยหรือ?
ป่ายฉีเอื้อมมือไปตบไหล่ของเย้นโม่หลิน กลั้นขำไว้ แสร้งพูดเหมือนคนแก่
“นายเองก็ไม่หนุ่มแล้ว เป็นเวลาที่จะมีความรักสักครั้ง สัมผัสความมีชีวิตชีวา เลี่ยงไม่ให้ความเชื่อมั่นต่ำเกินไป โดนน้องสาวเมินใส่””
“พูดไร้สาระเยอะจริง”
เย้นโม่หลินหน้าหมองอย่างไม่สบายใจ พูดอย่างเย็นชา “ตอนนี้แอฟริกาตกอยู่ในภาวะสงคราม ขาดแคลนแพทย์ประจำกองทัพหนึ่งคน…..”
“คุณชายเย้น! ผมรู้สึกว่าคุณเป็นโสดไปตลอดชีวิตก็ดีแล้ว! บนโลกนี้ไม่มีผู้หญิงสักคนที่มีคุณสมบัติคู่ควรกับคุณ จริงๆครับ พูดจากใจจริง!”
ใบหน้าที่ยิ้มแย้มของป่ายฉีเปลี่ยนเป็นประจบสอพลอ กระตือรือร้นในทันที ขาดก็แค่หางสุนัขส่ายไปส่ายมาข้างหลังเขา
เย้นโม่หลินลุกขึ้นยืน “ในกรณีที่ นายไม่มีธุระอะไรไปเดินเล่นแถวเสี่ยวหว่านหน่อย ช่วยฉันจับตาดูพวกเขา”
“ได้! นายว่าไงก็ว่าตาม”
ป่ายฉีรับปาก
ไร้สาระ เย้นโม่หลินเป็นบอสของเขา ขัดได้เมื่อไหร่ก็ขัด ถ้าไปทำให้เย้นโม่หลินขุ่นเคือง ถูกส่งไปรับโทษที่แอฟริกาก็เป็นเพราะตัวเขาเอง
สถานที่นั้น เขาเคยไปครั้งหนึ่ง ก็ไม่อยากไปอีกเป็นครั้งที่สอง
สีหน้าของเย้นโม่หลินถึงดูดีขึ้นหน่อย ยกมือขึ้น รินไวน์ลงแก้วให้ตัวเองอีกครั้ง
จิบหนึ่งอึก คิดเรื่องราวด้วยแววตาบางเบา
บางทีที่ป่ายฉีพูดก็มีเหตุผล หรือว่าเขาคิดมากเกินไป?
ปัญหานี้ เป็นเหมือนที่ป่ายฉีพูด เขาไม่มีประสบการณ์ด้านความรัก ไม่มีเซลล์ที่มีความนัยในแง่มุมนั้น ไม่สามารถสรุปได้เลย
ป่ายฉีมองท่าทีที่ซับซ้อนของเย้นโม่หลิน ส่ายหัวอย่างน่าขำ ต่อให้เย้นหว่านกับกู้ซึงมีปัญหาอะไรจริงๆ เย้นโม่หลินเป็นคนอารมณ์งี่เง่า ไม่มีทางจับได้
เว้นแต่ว่าจู่ๆเขาจะตาสว่าง……
แต่ว่า เรื่องที่เกี่ยวกับเย้นหว่าน คุณหนูใหญ่ของบ้านเขา เขามีเวลาก็ต้องไปดูหน่อย
ทั้งสองต่างมีความคิด ดื่มไวน์อย่างเชื่องช้า
ในขณะเดียวกัน ตรงมุมมืดของทางเดิน ร่างสีดำกำลังจากไปอย่างเงียบๆ
เขาอาศัยสีในตอนกลางคืน ไม่ให้ใครพบเห็น เดินเข้าไปที่ลานของหยูซือห้านเสียงเบา
ไฟในห้องเปิดขึ้น สว่างอยู่บนหน้าเขา ก็คือหยูซือห้าน
หยูซือห้านสีหน้าหม่นหมอง แต่มุมปากกลับมีส่วนโค้งที่เป็นอันตราย
น้ำเสียงทุ่มต่ำดังสวนออกมาจากปากเขา
“ท่าทีเปลี่ยนไปกะทันหัน เหมือนกับเป็นสองคน? หึหึ เย้นโม่หลิน มีแต่นายที่โง่แบบนั้น ถึงได้คิดว่าพวกเขาแค่ทะเลาะกัน!”
หยูซือห้านยืนอยู่ข้างหน้าต่าง มองไปทางลานของเย้นหว่านด้วยสีหน้ามืดมน
มีประกายไฟอยู่ในตาอย่างชัดเจน
เขาว่าแล้ว ทำไมวันนั้นตอนที่ให้ป่ายฉีตรวจสอบใบหน้า กู้ซึงก็เป็นตัวกู้ซึงเอง ไม่มีร่องรอยของการปลอมแปลง
ตอนนี้มาคิดดู ต้องเป็นโห้หลีเฉินเตรียมการไว้นานแล้ว เรียกกู้ซึงตัวจริงไปอย่างเงียบๆ ทั้งสองแลกเปลี่ยนตัวตนกันเป็นการส่วนตัว
ดังนั้นตอนที่ตรวจสอบใบหน้า กู้ซึงจึงเป็นกู้ซึงจริงๆ
แล้วในขณะเดียวกัน โห้หลีเฉินยังมีเทคนิคการโคลนนิ่ง ปรากฏตัวที่ตระกูลหยูในคืนวันนั้น! ทำให้คนไม่อาจพูดอะไรได้
หยูซือห้านเอาแต่คิดไม่ออก ว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่ วันนี้ไปหาป่ายฉี สิ่งที่ได้ยินตรงมุมกำแพง ก็ทำให้เขาเข้าใจในทันที
ถ้าหากเขาเดาไม่ผิด ตอนนี้คนที่อยู่ในลานของเย้นหว่าน ก็คือโห้หลีเฉิน
แต่แม้ว่ามีการแลกเปลี่ยนตัวตนกัน ถ้าตระกูลหยูเรียกตัวอีกครั้ง โห้หลีเฉินจะต้องนำกู้ซึงมาแทนเขาอีกครั้งแน่
ถึงตอนนั้น……
“โห้หลีเฉิน นายรนหาที่ตายเอง อย่าหาว่าฉันใจไม้ไส้ระกำล่ะ!”
หยูซือห้านพูดทีละคำ ขบเคี้ยวเขี้ยวฟันพูดบีบออกมาจากลำคอ
ครั้งนี้ เขาจะทำให้โห้หลีเฉินดิ้นไม่หลุด หาที่ยืนไม่ได้!
——
เย้นหว่านตัวไม่ห่างจากโห้หลีเฉินมากนัก ตอนนี้ก็ไม่แน่ใจว่าจะได้อยู่ด้วยกันกับโห้หลีเฉินนานแค่ไหน เย้นหว่านทนไม่ได้ที่จะห่างโห้หลีเฉินแม้สักนาที นอกจากตอนที่ต่างคนต่างนอนแล้ว ปกติเธอจะตัวติดอยู่กับเขา
โห้หลีเฉินเดิมทีมาที่นี่เพื่ออยู่กับเย้นหว่าน ก็อยู่กับเธอตลอดเวลาเช่นกัน
เธอเดินเล่น เขาไปด้วย เขาทำงาน เธออยู่ด้วย
กู้จื่อเฟยเป็นคนที่มีสายตามากที่สุด ต่อหน้าก็ออกมากับเย้นหว่านกู้ซึงตามปกติ แต่พอถึงที่แล้ว เห็นว่าไม่มีคน เธอก็หยิบมือถือออกมาไปเล่นคนเดียว
ให้เวลาส่วนตัวแก่เย้นหว่านโห้หลีเฉิน
วันนี้ หลังจากที่เย้นหว่านกับโห้หลีเฉินเดินเล่นที่สวนแล้ว ส่งกู้จื่อเฟยไปตกปลา ก็นั่งลงที่ศาลาเล็กใกล้ๆ
โห้หลีเฉินหยิบโน๊ตบุ๊คออกมา วางลงบนโต๊ะ จัดการงาน
เนื้อหางานของเขาแน่นอนว่าเป็นของโห้หลีเฉิน ไม่สามารถใช้ชื่อของกู้ซึงมาแสร้งทำ ดังนั้นเวลาที่เขาทำธุระ คนที่อยู่ใกล้ต่างก็ใสสะอาด
แม้กระทั่งน้ำ เย้นหว่านก็ไปหยิบมาให้เอง
แผลบนแขนของโห้หลีเฉินยังไม่หายดี เย้นหว่านก็ไม่ให้เขาดื่มไวน์ ให้คนเตรียมน้ำผลไม้ให้เขาเป็นพิเศษ
เธอเดินไม่ช้าไม่เร็ว ถือน้ำผลไม้กลับมาอย่างระมัดระวัง ยังไม่ทันเดินถึงศาลา ก็มองเห็นด้านหลังศาลาไม่ไกลนัก มีร่างคนสูงใหญ่ยืนอยู่
ตำแหน่งที่เขายืน ไม่เยื้องไม่เอียง ตรงกับหลังของโห้หลีเฉินพอดี
เย้นหว่านสูดหายใจเข้าทันที โห้หลีเฉินตอนนี้มีสถานะเป็นกู้ซึง เนื้อหาที่จัดการ กลับเป็นเรื่องของโห้หลีเฉิน
คนที่รู้ประสา มองแวบเดียวก็สามารถรู้ได้ถึงเนื้อหาที่ไม่ควรรู้!
“หยูซือห้าน นายกำลังทำอะไร?!”
เย้นหว่านตะโกนด้วยความโมโห ก้าวเร็วเดินไปที่ศาลา ลมพัดใต้เท้า
โห้หลีเฉินขมวดคิ้วขึ้น “ปัง” ปิดโน๊ตบุ๊คลง
เขาหันตัวทันที สายตาคมกริบมองไปทางด้านหลัง
น้ำเสียงทุ้มต่ำบีบคั้นคน “นึกไม่ถึงว่าคุณชายหยูมีงานอดิเรกถ้ำมอง”
หัวใจของเย้นหว่านเต้นรัว จิตใจร้อนรน ว้าวุ่น หยูซือห้านเห็นไปเยอะแค่ไหน? จะเห็นเนื้อหาคับขันไหม รู้อะไรบ้าง……
ความอึดอัดแวบขึ้นมาบนใบหน้าของหยูซือห้าน แต่กลับควบคุมอารมณ์ได้ดีมาก มุมปากโค้งขึ้น ดวงตาคมกริบ
เขาก้าวขา เดินเข้ามาอย่างเอ้อระเหยทีละก้าว
“เดิมทีเดินผ่านที่นี่ บังเอิญเจอ อยากจะทักทาย กลับไม่คิดว่าเห็นบางอย่างที่น่าทึ่งโดยไม่ได้ตั้งใจ”
เห็นแล้ว!
เย้นหว่านหายใจถี่ ขวดน้ำผลไม้ที่ถืออยู่ในมือแทบจะไหลลงไปบนพื้น
หยูซือห้านมักจะไม่ถูกกับโห้หลีเฉิน ต่อต้านโห้หลีเฉินทั้งชัดเจนและแอบทำ การตรวจสอบใบหน้าครั้งก่อน ครั้งนี้เห็นแล้ว เขาไม่มีทางยอมแน่นอน
เรื่องการตรวจสอบใบหน้า โห้หลีเฉินเตรียมการไว้ล่วงหน้า ถึงหลบซ่อนไปได้ ครั้งนี้มาอย่างกะทันหัน แล้วยังถูกเห็นในสถานที่ ควรทำยังไงดี?
เย้นหว่านร้อนรนเหมือนมดบนกระทะ กระสับกระส่ายมาก
ดวงตาของโห้หลีเฉินหรี่ลงเล็กน้อย ยืนตัวตรง สีหน้าของเขายังคงสงบนิ่ง
เขามองไปที่หยูซือห้าน น้ำเสียงทุ้มนิ่ง
“อ่อ คุณชายหยูไม่พูดเสียหน่อย ว่าเห็นอะไรที่น่าทึ่ง?”
หยูซือห้านเดินมาถึงด้านหน้าของโห้หลีเฉิน ทิ้งระยะห่างไว้เพียงแค่สองก้าว
เขามองตรงไปที่เขา ออร่าบีบคั้น
ในน้ำเสียง มีการคุกคามที่ชัดเจน “นายกล้าให้ฉันพูดจริงๆหรอ อาเล็ก?”